- Details
- Category: พาณิชย์
- Published: Tuesday, 29 August 2017 06:56
- Hits: 3874
สมคิด สั่ง พาณิชย์ ส่งออกปี 60 ต้องโตไม่ต่ำกว่า 6% เร่งขยายตลาดใหม่-เพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร
’สมคิด’สั่ง พาณิชย์ ส่งออกปี 60 ต้องโตไม่ต่ำกว่า 6% พร้อมเร่งขยายตลาดใหม่ สั่งเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร อย่าเน้นแต่ปริมาณ ฝากร้านโชว์ห่วยวางขายสินค้าจำเป็นตามนโยบายประชารัฐฯ ช่วยคนจน คาดเข้า ครม.เร็วๆ นี้ ก่อนแจกบัตร ต.ค.60 พร้อมสั่งให้ทำดัชนีภาคบริการ หลังโตดี คาดเริ่มได้ต.ค.นี้
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังมอบนโยบายและติดตามงานกับผู้บริหารระดับสูงกระทรวงพาณิชย์ ว่า ขณะนี้เริ่มเห็นสัญญาณการส่งออกเริ่มฟื้นตัวดี โดยล่าสุดกระทรวงพาณิชย์ได้ปรับเป้าหมายการส่งออกปี 2560 เพิ่มขึ้นเป็น 6% จากเดิมที่ระดับ 5% แต่ทั้งนี้ ได้ ฝากกระทรวงพาณิชย์ในเรื่องการส่งออกว่า ขอให้ทำให้ดีที่สุด และเป้าหมายที่ระดับ 6% นั้น ขอให้เป็นขั้นต่ำ ดังนั้นจะต้องเติบโตได้มากกว่าที่ตั้งเป้าไว้ แต่จะเป็นเท่าไหร่นั้นขอไม่บอกตัวเลขและยืนยันว่า พอใจกับผลงานของกระทรวงพาณิชย์ในช่วงที่ผ่านมา
“ตัวเลข 6% ขอเป็นขั้นต่ำเท่านั้น ขอให้ทำงานให้ดีที่สุด และจะต้องไม่อยู่เฉย เราจะต้องมีเป้าของเรา ซึ่งพาณิชย์รู้ตัวอยู่แล้วว่าจะต้องทำเท่าไหร่ อย่าเดาว่าจะ 7% หรือ 8% ไม่ต้องทำตามคาดการณ์ แต่ต้องดีที่สุด และพยายามหาตลาดใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นจีน ที่จะต้องเตรียมพร้อมเรื่องยุทธศาสตร์การค้าขาย จะทำอย่างไรในการเจาะมณฑลตอนใต้ของจีนได้บ้าง อินเดีย รัฐเสียจะเจรจาการค้าอย่างไร ขณะที่การเยือนสหรัฐ ยืนยันว่า ขณะนี้รัฐบาลมีความพร้อมที่จะเข้าพอ ซึ่งต้องอยู่ระหว่างการรอความชัดเจนในเรื่องกำหนดการของทางสหรัฐ”นายสมคิด กล่าว
อย่างไรก็ตาม แม้ว่า การส่งออกจะเริ่มเห็นสัญญาณดี แต่เมื่อเทคโนโลยีมีมากขึ้น การตลาดกว้างมากขึ้น โดยเฉพาะการค้าขายผ่านช่องทางออนไลน์ หรือ ตลาดอีคอมเมิร์ซนั้น ได้มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์เร่งหาตลาดอีคอมเมิร์ซ เพื่อให้เป็นช่องทางให้กับกลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอีมีตลาดซื้อขายสินค้าเพิ่มมากขึ้น และสะดวกมากขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมา พบว่า กลุ่ม ลาซาด้า และอะเมซอนเริ่มเข้ามามีบทบาท และขยายตลาดในวงกว้าง โดยเรื่องดังกล่าวกระทรวงพาณิชย์จะต้องเร่งดำเนินการและต้องให้แล้วเสร็จภายใน 2-3 เดือนนี้
“ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ได้รายงานว่า ช่องทางดิจิทัลอีคอมเมิรซ์ได้อยู่ระหว่างการดำเนินการ ซึ่งคาดว่าในเดือนกันยายนนี้จะสามารถเปิดตัวได้ ดังนั้นจึงได้ฝากกระทรวงพาณิชย์ว่า ในเมื่อทำแล้วขอให้โครงการดังกล่าวเป็นโครงการใหญ่ และต้องเกิดขึ้นให้จริง นอกจากนี้ ยังพบว่า ในปัจจุบัน อุตสาหกรรมภาคบริการมีบทบาทมากขึ้น และมีมูลค่าสูงมาก ดังนั้น จึงควรจัดทำดัชนีภาคบริการ โดยจัดทำดัชนีภาคบริการในแต่ละด้าน ทั้ง โรงแรม ภัตตาคาร โลจิสติกส์ ไฟแนนซ์ เป็นต้น เนื่องจากมองว่า อุตสาหกรรมภาคบริการกำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และจะเป็นอุตสาหกรรมที่ขยายตัวดีในอนาคต โดยจะต้องเริ่มดำเนินการในเดือนตุลาคมนี้เป็นต้นไป”นายสมคิด กล่าว
นายสมคิด กล่าวว่า ในเร็วๆนี้ กระทรวงการคลังจะเสนอมาตรการประชารัฐสวัสดิการเข้าประชุมคณะรัฐมนตรี หรือ ครม. พิจารณาภายใน 1-2 สัปดาห์นี้ โดยจะแจกบัตรสวัสดิการ 1 ใบ เพื่อเติมเงินในบัตรเป็นรายเดือน ให้กับผู้มีรายได้น้อย นำไปจับจ่ายซื้อสินค้าในร้านธงฟ้าประชารัฐ ที่รัฐบาลเตรียมจัดไว้ให้ ดังนั้นภายหลังจากครม.อนุมัติแล้ว กระทรวงพาณิชย์จะต้องเร่งทำงานกับกระทรวงการคลัง เพื่อหาจุดจำหน่ายสินค้า และสินค้าที่จำเป็น โดยสินค้านั้นจะต้องต่ำกว่าต้นทุน ส่วนจุดจำหน่าย เช่น ร้านธงฟ้าประชารัฐ ร้านที่กระทรวงพาณิชย์สนับสนุน รวมถึงอยากให้กระทรวงพาณิชย์ประสานกับร้านโชว์ห่วยเข้ามาช่วยดำเนินการด้วย เพื่อกระจายสินค้าให้ทั่วถึงกับประชาชนผู้มีรายได้น้อย โดยคาดว่าบัตรสวัสดิการน่าจะแจกได้ในช่วงเดือนตุลาคมนี้
“พาณิชย์ต้องทำงานล่วงหน้า ร้านค้าที่จำหน่าย มีสินค้าอะไรบ้าง ให้คนยากจนได้รับความช่วยเหลือ ส่วนการดึงโชว์ห่วยเข้ามาก็จะส่งผลดีด้านเกิดการหมุนเวียนเชิงการค้า ซึ่งจะต้องทำงานล่วงหน้าไว้ในการเตรียมความพร้อม โดยการช่วยเหลือจะเป็นรูปแบบทั้งลดค่าใช้จ่าย และเพิ่มรายได้ แบ่งการช่วยเหลือเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่มีรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาทต่อปี และกลุ่มที่มีรายได้ต่ำกว่า 100,000 บาทต่อปี”นายสมคิด กล่าว
นอกจากนี้ หลังจากที่ได้หารือกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ ในช่วงที่ผ่านมานั้น ได้สั่งการให้บีโอไอหามาตรการในการส่งเสริมสินค้าเกษตร โดยเฉพาะการแปรรูปสินค้า เน้นการสร้างมูลค่า อย่าเน้นปริมาณ เนื่องจากพบว่า สินค้าเกษตรมีมาร์จิ้นสูง และประชาชนจำนวนมากอยู่ในภาคเกษตร หากสามารถเพิ่มมูลค่าสินค้าได้ จะทำให้กลุ่มดังกล่าวมีรายได้มากขึ้น และภาคเกษตรจะหายจนในที่สุด โดยเรื่อืงนี้จะต้องเกิดการร่วมลงทุนเกิดขึ้น ดังนั้น เรื่องนี้ กระทรวงพาณิชย์ จะต้องหาแนวทาง โดยเฉพาะการหาทางออกของสินค้าเกษตรจะทำได้อย่างไรบ้าง การเพิ่มมูลค่าสินค้า การแปรรูป การสร้างแบรนด์ โดยจะต้องร่วมมือกับเอกชน ทั้งด้านโลจิสติกส์ และและมูลค่าสินค้า การสร้างแบรนด์สินค้า
นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ในเบื้องต้นกระทรวงพาณิชย์มีเป้าหมายในการทำงานว่า การส่งออกจะต้องเติบโตที่ระดับ 7% จากเป้าปัจจุบันที่ 6% ซึ่งได้ปรับเป้าหมายเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา สำหรับการทำตลาดหลังจากนี้ไปนั้น กระทรวงพาณิชยจะเน้นตลาดแบบเจาะเมืองใหญ่ เช่น จีน จะเจาะไปเมืองใดบ้าง อินเดีย เมืองอะไรบ้าง เป็นต้น ส่วนการทำดัชนีภาคบริการนั้น ที่ผ่านมา ยืนยันว่า กระทรวงพาณิชย์ได้เก็บข้อมูลมาระยะหนึ่งแล้ว ซึ่งมั่นใจว่าจะทำไดตามเวลาที่รองนายกฯกำหนดไว้ภายใน 2 เดือนแน่นอน
นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ จะใช้กลยุทธ์ พาทเนอร์ชิพมาใช้ โดยเกิดการร่วมมือในด้านการค้า และร่วมลงทุนมากขึ้น ซึ่งมองว่า กลยุทธ์ดังกล่าวจะส่งผลดีต่อภาพรวมของเศรษฐกิจในระยะต่อไปด้วย
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีช่วยกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ส่วนความพร้อมในการดำเนินการนโยบายประชารัฐสวัสดิการนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างรอกระทรวงการคลัง ในการกำหนดเงื่อนไขวงเงิน และกลุ่มสินค้าที่จะให้ผู้มีรายได้น้อยไว้จับจ่ายซื้อสินค้า โดยกระทรวงพาณิชย์จะมีหน้าที่จัดจุดขายสินค้าราคาต่ำทุน และจัดสินค้าตามนโยบายที่กำหน เพื่อรองรับผู้มีรายได้น้อยประมาณ 11.67 ล้านคน สำหรับปัจจุบัน กลุ่มร้านค้าประชารัฐ ประกอบด้วยร้านธงฟ้า และร้านโชว์ห่วย ร้านเครือข่ายในชุมชน ซึ่งในช่วงแรกนั้นอาจยังไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่ แต่ยืนยันว่าจะเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มความสะดวกให้กับผู้มีรายได้น้อยในการซื้อสินคาตามประชารัฐสวัสดิการ
“ตอนนี้รอเงื่อนไขที่จะออกมา ซึ่ง เงื่อนไขวงเงินในบัตร การวางเครื่องรับบัตร หรือ กลุ่มสินค้าที่จะซื้อได้นั้น กระทรวงการคลังจะกำหนดทั้งสิ้น กระทรวงพาณิชย์มีหน้าที่เป็นผู้จัดหาสินค้าให้พอกับผู้มีรายได้น้อย และจัดจุดซื้อสินค้าให้เพียงพอ แต่อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่า จะประสานงานและทำงานร่วมกันอย่างต่อเนื่องแน่นอน”นายสนธิรัตน์ กล่าว
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย