- Details
- Category: พาณิชย์
- Published: Saturday, 24 June 2017 19:27
- Hits: 2327
ส่งออกพ.ค.พุ่งทุบสถิติ 52 เดือน เอ็กซิมผุดสินเชื่อช่วยเอสเอ็มอี
ไทยโพสต์ * ส่งออก พ.ค.พุ่ง 13.21% ขยายตัวสูงสุดรอบ 52 เดือน ทำ 5 เดือนส่งออกโตแล้ว 7.21% สูงสุดรอบ 6 ปี 'พาณิชย์’มองเป้า 5% ทำได้แน่ เอ็กซิมแบงก์ผุด ‘สินเชื่อส่งออกทันใจทวีค่า'
น.ส.พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การ ค้า เปิดเผยว่า การส่งออกไทยเดือน พ.ค.2560 มีมูลค่า 19,944.2 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 13.21% ซึ่งเป็นอัตรา ขยายตัวสูงสุดในรอบ 52 เดือน นับจากเดือน ม.ค.2556 ที่มีอัตราขยายตัว 16.09% ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า 19,000.2 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 18.16% โดยเกินดุลการค้ามูลค่า 944 ล้านเหรียญสหรัฐ
ส่วนการส่งออกในช่วง 5 เดือนของปี 2560 (ม.ค.-พ.ค.) มีมูลค่า 93,264.9 ล้าน เหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 7.21% ซึ่งเป็นอัตราขยายตัวสูงสุดในรอบ 6 ปี ส่วนการนำเข้า ช่วง 5 เดือน มีมูลค่า 88,211.3 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 15.24% ส่งผลให้ไทยเกินดุล การค้ามูลค่า 5,053.6 ล้านเหรียญสหรัฐ
"การส่งออกเดือน พ.ค. ที่ขยายตัวสูงสุดในรอบ 52 เดือน เป็นผลจากการฟื้นตัว ของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะ มูลค่าการค้าโลกในเดือน เม.ย. เพิ่มขึ้น 2.8% ซึ่งขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 สะท้อนถึงการฟื้นตัวของการค้าโลกที่กลับมามีความแข็งแรงมากขึ้น ซึ่งหากดูตัวเลขภาพรวมการส่งออกในขณะนี้ เชื่อว่าการผลักดันส่งออกทั้งปี 2560 จะขยายตัวในระดับ 5% ได้ตามเป้า" น.ส.พิมพ์ชนกกล่าว
ด้าน นายพิศิษฐ์ เสรีวิ วัฒนา กรรมการผู้จัดการ ธนา คารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) หรือเอ็กซิมแบงก์ เปิดเผยว่า ธนาคารได้ออกบริการใหม่ 'สินเชื่อส่งออกทันใจทวีค่า'ให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีใช้เป็นเงินทุน หมุนเวียน วงเงินกู้สูงสุด 2 ล้านบาท ไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน อัตราดอกเบี้ย 5% ต่อปีในปีแรก นอกจากนี้ยังให้วงเงินสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า (For ward Contract) มูลค่าเทียบเท่าวงเงินสินเชื่ออีกด้วย
สำหรับ ภาพรวมการส่งออกของไทยในปีนี้ คาดว่าจะขยายตัวได้สูงกว่า 3% ต่อปี โดยภาคการส่งออกจะกลับมาเป็นกลไกในการช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจอีกครั้ง หลังจากยอดส่งออกหดตัวติดต่อกันถึง 3 ปี โดยเริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัวขึ้นตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ปี 2559 และขยายตัวอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้น.
ส่งออกพค.พุ่งทุบสถิติสูงสุดรอบ 52 เดือน/'สมคิด'เมินบาทแข็ง
แนวหน้า : เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2560 ตลาดหลักทรัพยแห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้จัดงาน "Thailand's Big Strategic Move" พบผู้ลงทุนทั่วโลกพร้อมกันเป็น ครั้งแรก ณ โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ กรุงเทพฯ โดยมีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นำทีมรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ประกอบด้วย นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง มาสร้างความมั่นใจให้กับกลุ่ม ผู้ลงทุนสถาบันทั้งไทยและต่างประเทศ ทั้งด้านภาพรวมนโยบายในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและความคืบหน้าอย่างเป็น รูปธรรม รวมถึงมาตรการต่างๆ ที่จะช่วยสนับสนุนการลงทุน การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม
นายสมคิดกล่าวว่า อัตราการขยายตัว ทางเศรษฐกิจของไทยในปี 2560 คาดว่าจะเติบโตได้ที่ระดับ 3.5% เนื่องจากเศรษฐกิจเริ่มการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ประกอบกับภาครัฐบาลเร่งการลงทุนในโครงสร้าง พื้นฐาน โดยเฉพาะด้านคมนาคมที่มากกว่า 2.4 ล้านล้านบาท ทั้งการสร้างถนน ทางด่วน มอเตอร์เวย์ รถไฟรางคู่ รถไฟความเร็วสูง ท่าเรือ ขนส่งสินค้า
ขณะที่ภาคการส่งออกเริ่มเห็นการฟื้นตัวดีขึ้น จากเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าที่มีการเติบโต อีกทั้งมองว่าในปีนี้ ภาคการ ส่งออกของไทยมีโอกาสเติบโตได้อยู่ที่ระดับ 2 หลัก จากปัจจุบันคาดการณ์เป้าหมายการส่งออกไว้ที่ 5%
ขณะที่ตลาดการทุนในประเทศเริ่มเห็นการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งแต่ปี 2554-2559 กำไรสุทธิของบริษัท จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เฉลี่ยอยู่ที่ 7% และไตรมาส 1/2560 ที่ผ่านมา กำไรของบริษัทจดทะเบียนสูงถึง 300,000 ล้านบาท หรือเติบโตอยู่ที่ 21% จากปีก่อน ประกอบกับขนาดตลาดได้ขยายตัวถึง 122% ของ GDP ท่ามกลางสถานการณ์โลกที่มีความตึงเครียดทางการเมืองและเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน นอกจากนี้นักลงทุน ต่างประเทศยังให้ความสนใจที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทย เนื่องจากมองว่าเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ส่งผลให้นักลงทุนสนใจลงทุนเป็นจำนวนมาก
นายสมคิด กล่าวว่า อย่างไรก็ตามภาคเอกชนยังน่าเป็นห่วงในเรื่องของค่าเงินบาทที่ปรับตัวแข็งค่าขึ้น อาจกระทบต่อการส่งออก แต่ยังเชื่อมั่นว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะสามารถบริหารจัดการได้ อย่างไรก็ดี ภาคเอกชนเองก็ต้องเร่งพัฒนาคุณภาพของสินค้า โดยเฉพาะการสร้างมูลค่าเพิ่ม นำนวัตกรรมมาใช้ เพื่อรองรับกับการแข่งขัน
ในส่วนแนวคิดการจัดตั้งกองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน หรือ CMDF วงเงิน 8,000 ล้านบาทนั้น ในเร็วๆนี้ กระทรวงการคลัง และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ตลท. จะหารือร่วมกันในเรื่องดังกล่าว
ส่วนที่ กระทรวงพาณิชย์ วันเดียวกัน น.ส.พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการ สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) แถลงตัวเลขการส่งออก ว่า การส่งออกไทยในเดือนพฤษภาคม 2560 พบว่าขยายตัวสูงสุดในรอบ 52 เดือน หรือเติบโตสูงถึง 13.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1.99 หมื่นล้านดอลลาร์ มีปัจจัยมาจากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว ที่ทำให้การค้าโลกขยายตัวดี โดยเฉพาะ กลุ่มสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรที่เติบโตต่อเนื่อง ทั้งในด้านราคาและปริมาณ อาทิ ยางพารา น้ำตาลทราย ผัก ผลไม้สด แช่แข็ง กระป๋องและแปรรูป ไก่สดแช่แข็งและแปรรูป ในขณะที่กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ยางรถยนต์และส่วนประกอบ แผงวงจรไฟฟ้า คอมพิวเตอร์และ ส่วนประกอบ ฯลฯ
สำหรับ แนวโน้มการส่งออกของไทยในปี 2560 คาดว่าจะปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้นกว่าปีก่อน กระทรวงยังคงเป้าส่งออกปีนี้ไว้ที่ 5% ซึ่งจะต้องจับตาดูปัจจัยลบจากราคาน้ำมัน และค่าเงินที่ผันผวนด้วย
SCB EIC คาดส่งออกปีนี้โต 2.5% แม้ พ.ค.พุ่ง 13.2% แต่ยังเสี่ยงกีดกันการค้า-บาทแข็ง
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) คาดมูลค่าการส่งออกทั้งปี 60 จะขยายตัว 2.5% จากเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น และความเสี่ยงทั่วโลกที่เบาบางลง ซึ่งอาจส่งผลให้ความต้องการสินค้าอุตสาหกรรมหลักจากไทยฟื้นตัวได้อย่างค่อยเป็นค่อยไปในช่วงที่เหลือของปี
แม้ว่า มูลค่าการส่งออกไทยเดือน พ.ค.ขยายตัว 13.2%YOY โดยเติบโตดีในเกือบทุกกลุ่มสินค้า และครอบคลุมในทุกตลาดส่งออกสำคัญ โดยสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับราคาน้ำมันขยายตัวตามราคาน้ำมันในช่วงดังกล่าวที่ยังคงเติบโตสูง นอกจากนี้ การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมหลัก ทั้งสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นกว่า 24.2% และ 13.8% ตามลำดับ ตามการส่งออกฮาร์ดดิสไดรฟ์และแผงวงจรไฟฟ้าที่ขยายตัวสูง ในขณะที่การส่งออกรถยนต์และส่วนประกอบขยายตัวสูงสุดในรอบ 9 เดือนที่ 8.7%YOY จากการส่งออกไปยังออสเตรเลีย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ในขณะที่การส่งออกรถยนต์และส่วนประกอบไปยังตลาดตะวันออกกลางยังหดตัวกว่า 17.8% ตามภาวะเศรษฐกิจที่ยังชะลอตัว
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มการส่งออกในระยะต่อไปยังคงมีความเสี่ยงจากนโยบายการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ที่มีต่อ 16 ประเทศคู่ค้า รวมถึงไทย ในการออกคำสั่งตรวจสอบและหามาตรการเพื่อลดการขาดดุลการค้า โดยอาจกระทบสินค้าในกลุ่มที่ได้รับสิทธิพิเศษ GSP ซึ่งคิดเป็น 23.2% ของการส่งออกไปสหรัฐฯ ทั้งหมด
อีกทั้ง ค่าเงินบาทที่แข็งค่ากว่าประเทศคู่แข่งในภูมิภาคอาจกระทบความสามารถในการแข่งขันทางด้านราคาของผู้ส่งออก โดยเฉพาะสินค้าโภคภัณฑ์ และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์บางประเภท ซึ่งเป็นกำลังขับเคลื่อนส่งออกไทยในช่วงที่ผ่านมา นอกจากนั้น ราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ยางพาราและน้ำตาล ที่ปรับลดลงอย่างต่อเนื่องอาจทำให้การส่งออกสินค้าที่เกี่ยวข้อง ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนรวมกว่า 20% ของการส่งออกทั้งหมด ไม่สามารถขยายตัวได้สูงในช่วงที่เหลือของปี
ขณะที่คาดว่า มูลค่าการนำเข้าทั้งปี จะขยายตัวที่ 7.2%YOY ตามความต้องการสินค้าวัตถุดิบ และสินค้าทุนซึ่งมีแนวโน้มขยายตัวตามการลงทุนในประเทศที่คาดว่าอาจเริ่มฟื้นตัวในช่วงครึ่งหลังของปี นอกจากนี้ การนำเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ มีแนวโน้มเติบโตตามการส่งออกในสินค้ากลุ่มดังกล่าวที่ดีขึ้นด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม มูลค่าการนำเข้าสินค้าเชื้อเพลิงอาจเริ่มทรงตัวในช่วงที่เหลือของปีตามแนวโน้มราคาน้ำมัน
ทั้งนี้ ในเดือนพ.ค.60 มูลค่าการนำเข้าเติบโตชะลอลงที่ 18.2%YOY จากการนำเข้าสินค้าเชื้อเพลิงที่ขยายตัว 19.8%YOY และการนำเข้าสินค้าในกลุ่มเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบที่เติบโตกว่า 12.4%YOY ตามแนวโน้มการส่งออกสินค้าในกลุ่มดังกล่าวที่ฟื้นตัว นอกจากนี้ การนำเข้าสินค้าทุน (ไม่รวมเครื่องบินและเรือ) ขยายตัวสูงสุดในรอบ 53 เดือนที่ 14.4% ตามการผลิตในภาคส่งออกที่ฟื้นตัว
อินโฟเควสท์
พาณิชย์ เผย พ.ค.60 ส่งออกโต 13.2% สูงสุดรอบ 52 เดือน, นำเข้าโต 18.2% เกินดุล 944 ล้านดอลล์
กระทรวงพาณิชย์ แถลงตัวเลขการค้าระหว่างประเทศของไทยในเดือน พ.ค.60 การส่งออกมีมูลค่า 19,944 ล้านดอลลาร์ สรอ. ขยายตัว 13.2% สูงสุดในรอบ 52 เดือน ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า 19,000 ล้านดอลลาร์ สรอ. ขยายตัว 18.2% ส่งผลให้ดุลการค้า พ.ค.เกินดุล 944 ล้านดอลลาร์ สรอ.
"การส่งออกของไทยในเดือนพฤษภาคม 2560 ขยายตัวสูงสุดในรอบ 52 เดือน ที่ 13.2% หรือคิดเป็นมูลค่า 19,944 ล้านดอลลาร์ สรอ.ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก โดยการส่งออกขยายตัวดีขึ้นในทุกตลาดสำคัญ และขยายตัวในระดับสูงในทุกกลุ่มสินค้า" เอกสารเผยแพร่ ระบุ
ทั้งนี้ ส่งผลให้ภาวะการค้าระหว่างประเทศในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-พ.ค.) การส่งออกมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 93,265 ล้านดอลลาร์ สรอ. ขยายตัว 7.2% สูงสุดในรอบ 6 ปี ส่วนการนำเข้ามีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 88,211 ล้านดอลลาร์ สรอ. ขยายตัว 15.2% ส่งผลให้ดุลการค้าเกินดุลรวม 5,054 ล้านดอลลาร์ สรอ.
น.ส.พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การส่งออกของไทยในเดือนพ.ค.60 ขยายตัวตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก โดยพบว่าการส่งออกขยายตัวดีขึ้นในทุกตลาดที่สำคัญ และขยายตัวในระดับสูงในทุกกลุ่มสินค้า โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรที่เติบโตต่อเนื่องทั้งด้านราคาและปริมาณ เช่น ยางพารา น้ำตาลทราย ผัก ผลไม้สดแช่แข็ง เป็นต้น ในขณะที่กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ยาง รถยนต์และส่วนประกอบ แผงวงจรไฟฟ้า คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ ซึ่งสะท้อนถึงศักยภาพในการแข่งขันและความสามารถในการปรับตัวเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของตลาดโลกที่เปลี่ยนแปลงไปได้
สำหรับ การส่งออกไปยังตลาดหลักที่สำคัญยังคงขยายตัวดีอย่างต่อเนื่อง โดยการส่งออกไปยังตลาดหลักขยายตัวถึง 15.2% ตลาดศักยภาพสูง ขยายตัว 20% โดมีสาเหตุสำคัญจากการขยายตัวสูงอย่างต่อเนื่องขอตลาดจีน ในขณะที่ตลาดศักยภาพระดับรอง ขยายตัวได้ 6.3% โดยเฉพาะการส่งออกไปตะวันออกกลางที่ขยายตัวสูงสุดในรอบ 38 เดือน
น.ส.พิมพ์ชนก กล่าวถึงแนวโน้มการส่งออกของไทยในปีนี้ว่า มีทิศทางการฟื้นตัวดีขึ้นอย่างชัดเจน และมีแนวโน้มจะขยายตัวได้ใกล้เคียงกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 5% โดยมีปัจจัยบวกสำคัญจากสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศคู่ค้าที่สำคัญมีสัญญาณการฟื้นตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ ราคาสินค้าเกษตรที่สำคัญ และราคาสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมันอยู่ในระดับที่ดีขึ้นกว่าปีก่อน จึงเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้มูลค่าการส่งออกจะสามารถขยายตัวได้ตามเป้าหมายที่คาดการณ์ไว้
โดยขณะนี้ กระทรวงพาณิชย์จะยังคงเป้าหมายการส่งออกในปีนี้ไว้ตามเดิมที่ 5% แม้ล่าสุดนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี จะออกมาระบุว่ามีโอกาสที่การส่งออกของไทยในปีนี้จะเติบโตได้ถึง 2 หลักก็ตาม เนื่องจากตัวเลขการส่งออกล่าสุดในเดือนพ.ค.ที่ออกมาเติบโตได้สูงนั้น เพราะยังไม่ได้รับผลกระทบของภาวะเงินบาทแข็งค่า เนื่องจากเป็นสินค้าที่มีการสั่งซื้อและตกลงราคากันไว้ก่อนล่วงหน้าแล้ว ดังนั้นจึงต้องรอดูสถานการณ์การส่งออกในช่วงครึ่งปีหลังจากนี้ไปด้วย เพราะการเติบโตของการส่งออกในช่วงครึ่งหลังปีนี้อาจไม่ได้สูงมาก เนื่องจากในช่วงเดียวกันของปีก่อนมีฐานที่สูง
"สนค.ยังไม่ปรับประมาณการส่งออก เพราะต้องดูปัจจัยหลัก 2 ตัวคือ ค่าเงินบาท ซึ่งเงินบาทก็ไม่น่าห่วงมากเพราะเป็นปัจจัยระยะสั้น ส่วนราคาน้ำมันก็ขึ้นๆ ลงๆ ถ้าจะปรับคงต้องดูเรื่องราคาน้ำมันเป็นหลัก แต่ตอนนี้จะยังไม่มีการปรับ...ทั้งปีน่าจะยังใช้เป้าหมายที่ 5% แต่ครึ่งปีหลังการเติบโตอาจจะไม่ดีเท่านี้ ต้องทำใจไว้ล่วงหน้า คงต้องปรับเข้าสู่สภาพความเป็นจริง" น.ส.พิมพ์ชนกกล่าว
พร้อมระบุว่า ในเรื่องของเงินบาทแข็งค่านั้นจะเป็นเพียงปัจจัยระยะสั้นที่เข้ามากระทบต่อการส่งออกของไทย แต่เชื่อว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะสามารถดูแลได้ ในขณะที่ผู้ประกอบการเองก็ควรเตรียมรับมือด้วยการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนไว้ด้วย อย่างไรก็ดี ในช่วงที่เงินบาทแข็งค่าเช่นนี้ถือเป็นโอกาสดีที่ผู้ประกอบการจะใช้จังหวะนี้ในการนำเข้าสินค้าทุนหรือวัตถุดิบจากต่างประเทศ เพราะจะทำให้มีต้นทุนที่ถูกลง
น.ส.พิมพ์ชนก กล่าวว่า สำหรับปัจจัยเสี่ยงต่อการส่งออกของไทยที่ควรต้องให้ความสำคัญ คือ ควมเสี่ยงจากความไม่ชัดเจนของนโยบายกีดกันทางการค้า, ทิศทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ และความชัดเจนในการปรับลดวงเงินถือครองทรัพย์สินของสหรัฐ
"สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยที่สร้างความผันผวนด้านอัตราแลกเปลี่ยน และเพิ่มความไม่แน่นอนของการค้า และการลงทุนของโลกในระยะต่อไป ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จะเร่งดำเนินการทุกรูปแบบ เพื่อให้การส่งออกสินค้าของไทยขยายตัวได้ใกล้เคียงเป้าหมายให้มากที่สุด"ผู้อำนวยการ สนค.ระบุ
อินโฟเควส