WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

MOCอภรด ตนตราภรณพาณิชย์ จับมือหน่วยงานทั้งไทยและเทศ ดันสินค้าออร์แกนิกไทยสู่เวทีโลก

    นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ปัจจุบันผู้บริโภคทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศหันมาให้ความสำคัญกับการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ตลอดจนใช้ผลิตภัณฑที่ปลอดสารเคมีและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมกันมากขึ้นส่งผลให้มีความต้องการบริโภคสินค้าออร์แกนิคเพิ่มมากขึ้นเป็นเงาตามตัวไม่เว้นแม้แต่ในประเทศไทย เกษตรอินทรีย์ หรือ ออกร์แกนิค จึงเป็นตัวเลือกที่อยู่ในลำดับต้นๆ ของกลุ่มคนที่หันกลับมาดูแลรักษาสุขภาพกันมากขึ้น

      ทั้งนี้ ในแง่ของผู้ผลิตสินค้าออกร์แกนิก นอกเหนือจากการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับมาตรฐานออร์แกนิคแล้ว การทำการตลาดผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคก็ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะผู้ประกอบการต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ โดยการพัฒนาตลาดสินค้า ออร์แกนิค นั้น มีสิ่งที่ต้องคำนึงถึงและให้ความสำคัญ อาทิ 1) การใช้ช่องทางการตลาดที่เหมาะสม ทั้งในรูปแบบดั้งเดิม เช่น ซุปเปอร์มาร์เก็ต ชุมชนออร์แกนิค ร้านขายสินค้าออร์แกนิค ตลาดชุมชน และในรูปแบบของตลาดดิจิตอล ซึ่งผู้บริโภคสามารถที่จะเข้าถึงได้ทุกที่ ทุกเวลา 2) การเจาะกลุ่มตลาด เช่น สมาชิกแฟรนไชส์ การท่องเที่ยวเชิงอนุลักษณ์ และความสวยความงาม ซึ่งแต่ละกลุ่มตลาดก็มีความต้องการที่แตกต่างกันไปตามไลฟ์สไตล์การบริโภค 3) การสนับสนุนด้านการตลาด เช่น การมีระบบตรวจสอบย้อนกลับ การขนส่งที่มีประสิทธิภาพ การสร้างความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือ และการมีระบบการบริหารจัดการที่ดี ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้จะช่วยลดต้นทุนและยังเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือของผลิตภัณฑ์ในสายตาของผู้บริโภคด้วยอีกทางหนึ่ง ซึ่งในแวดวงผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคนั้น ความเชื่อถือในตัวผลิตภัณฑ์ถือได้ว่าเป็นสิ่งที่มีความสำคัญเป็นอันมาก และ 4) ปัจจัยภายนอก เช่น การค้าที่เป็นธรรม การเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การประหยัดพลังงาน สวัสดิภาพของแรงงานและสัตว์ และความปลอดภัยด้านอาหาร ซึ่งปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ ถูกใช้เป็นข้อกีดกันทางการค้าในหลายๆ ประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว

       สำหรับ ในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ ก็ได้มีการวางยุทธศาสตร์ด้านการตลาดสินค้าออร์แกนิค ปี 2560-2564 ซึ่งประกอบด้วย 4 ยุทธศาสตร์ ที่สำคัญ ได้แก่ 1) การสร้างการรับรู้ของผู้ที่เกี่ยวข้องตลอดห่วงโซ่อุปทาน ตลอดจนพัฒนาฐานข้อมูลที่มีความทันสมัย เพื่อรองรับการดำเนินการด้านการตลาดและก้าวทันต่อการการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมนี้ 2) ผลักดันมาตรฐานและระบบการรับรองออร์แกนิค โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาความรู้และมาตรฐานการผลิตเพื่อให้ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคขอไทยได้รับความน่าเชื่อถือในตลาดต่างประเทศ 3) การพัฒนาและขยายตลาดสินค้าและบริการออร์แกนิค โดยส่งเสริมการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีความหลากหลายและตรงกับความต้องการของผู้บริโภค และ 4) การพัฒนาและสร้างมูลค่าสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับออร์แกนิค ทั้งในตลาดภายในและตลาดต่างประเทศ

      รมว.พาณิชย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงพาณิชย์ได้มีการทำงานร่วมกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชนมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงวิทยาศาสตร์ กระทรวงมหาดไทย สมาคมออร์แกนิคแห่งประเทศไทย ท๊อปซุปเปอร์มาร์เก็ต เลมอนฟาร์ม และโมเดิร์นเทรดเป็นต้น โดยได้มีการดำเนินโครงการในรูปแบบต่างๆ เพื่อเข้าไปพัฒนาผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคร่วมกับชุมชนเพื่อให้มั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคของชุมชนนั้นได้คุณภาพและมาตรฐานจนถือมือผู้บริโภค ซึ่งจะส่งผลให้ชุมชน มีรายได้สามารถเลี้ยงครอบครัวได้เพิ่มสูงขึ้นโดยที่ผ่านมากระทรวงพาณิชย์ได้ร่วมกับหน่วยงานภาคเอกชนดำเนินโครงการเพื่อสนับสนุนการพัฒนาออร์แกนิคของไทย แยกเป็นการส่งเสริมตลาดออร์แกนิคในประเทศ เช่น การเปิดโอกาสให้เกษตรกรจากประเทศได้เข้ามาเรียนรู้การทำเกษตรอินทรีย์และสร้างเครือข่ายกับเกษตรกรไทย (Opportunity on Organic Farm) การร่วมมือกับภาคเอกชนในการพัฒนาและรับซื้อผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคจากชุมชน การส่งเสริมการตลาดสินค้าออร์แกนิคร่วมกับโมเดิร์นเทรดและห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ ในส่วนของตลาดต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ได้สร้างเครือข่ายออร์แกนิกร่วมกับสมาคมการค้าออร์แกนิคของสหรัฐฯ การเข้าร่วมงานแสดงสินค้าออร์แกนิคระดับโลก เช่น ANUGA BioFach และ All Things Organic เป็นต้น นอกจากนั้นแล้วกระทรวงพาณิชย์ก็พร้อมที่จะร่วมมือกับหน่วยงานด้านออร์แกนิคของประเทศในกลุ่มอาเซียนจัดการประชุมจัดตั้งสมาพันธ์เกษตรอินทรีย์อาเซียน (The Federation of ASEAN Organic Producer and Trader Association) ขึ้น ในช่วงระหว่างงาน Organic & Natural Expo ที่จะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 27-30 กรกฎาคม 2560 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านออร์แกนิคระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน

     “การประชุมจัดตั้งสมาพันธ์เกษตรอินทรีย์อาเซียนนี้ ถือได้ว่าเป็นก้าวแรกในการสร้างความร่วมมือด้านออร์แกนิคระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน ในอันที่จะแลกเปลี่ยนข้อมูลและร่วมกันส่งเสริมและพัฒนาผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคของภูมิภาคนี้ให้กลายเป็นผู้นำด้านการผลิตสินค้าออร์แกนิคโดยเฉพาะอย่างยิ่งในผลิตภัณฑ์ด้านอาหาร เนื่องจากอาเซียนถือได้ว่าเป็นภูมิภาคที่มีความสมบูรณ์และเพียบพร้อมไปด้วยทรัพยากรในด้านต่างๆ ที่จะเกื้อหนุนต่อการเป็นแหล่งอาหารปลอดภัยของโลกได้ แต่สิ่งสำคัญที่ต้องดำเนินการในระยะเวลาอันใกล้ คือ การพัฒนาบุคลากรให้มีความเชี่ยวชาญด้านออร์แกนิค การใช้เทคโนโลยีการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และตลอดจนมีการพัฒนาฐานข้อมูลที่ทันสมัย เป็นต้น ซึ่งต้องได้รับความร่วมมือจากทุกประเทศในอาเซียนช่วยกันผลักดันเรื่องดังกล่าวอย่างจริงจัง" นางอภิรดี กล่าว

       อินโฟเควสท์

ปั้นตลาดประชารัฐชายแดนเพิ่มการค้า

     พาณิชย์ * "อภิรดี" สั่งสำรวจตลาดติดชายแดน ดันเป็นตลาดประชารัฐ หวังดึงประเทศเพื่อนบ้านข้ามฝั่งมาซื้อสินค้าไทย นำร่องคุย สปป.ลาว ตั้งตลาด 2 ฝั่ง

       นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้สั่ง การให้พาณิชย์จังหวัดที่ชาย แดนไทยติดกับประเทศเพื่อนบ้าน ทั้ง สปป.ลาว กัมพูชา เมียน มา และมาเลเซีย และกรมการค้าภายใน ทำการสำรวจตลาดในพื้นที่ ก่อนจะพัฒนาให้เป็นตลาดประชารัฐ โดยเข้าไปปรับปรุงให้ตลาดมีมาตรฐาน และผลักดันให้เป็นตลาดที่ทำ การซื้อขายสินค้าของคนในพื้นที่ และดึงให้คนจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาซื้อขาย เพื่อขยายมูลค่าการค้าชายแดน

     "แผนการผลักดันตลาดประชารัฐในรูปแบบนี้ ไม่เพียงแต่ช่วยให้เกษตรกร ประชาชน ผู้ผลิตสินค้าชุมชนในพื้นที่ มีสถานที่จำหน่ายสินค้า แต่ยังเป็นการเชื่อมโยงการค้าออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน โดยดึงให้เข้ามาซื้อสินค้าในตลาดฝั่งไทย และยิ่งเป็นตลาดที่ติดกับด่านชายแดน จะช่วยทำให้การค้ามีความคึกคักได้มากขึ้น" รมว.พาณิชย์ ระบุ

       ในเบื้องต้นได้ใช้โอกาสที่ร่วมคณะนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ไปเยือน สปป.ลาว ได้หารือกันเพื่อให้มีการจัดตั้งตลาดประชารัฐไทย-สปป.ลาว โดยการนำสินค้าจาก สปป.ลาว มาขายในพื้นที่ของตลาดอุดรเมืองทอง จ.อุดรธานี และตลาดเจริญศรี จ.อุบลราชธานี

       รวมทั้งเสนอให้ฝ่าย สปป.ลาว พิจารณาจัดตั้งตลาดประชารัฐในลักษณะเดียวกันนี้ที่บ่อเต็น ซึ่งเป็นจุดกระจายสินค้าของไทยและ สปป.ลาว ไปยังประเทศอื่นๆ ซึ่งฝ่าย สปป. ลาว ให้ความสนใจและพร้อมที่จะสนับสนุนโครงการดังกล่าว นี้ โดยหน่วยงานของทั้งสองประเทศจะได้มีการหารือแนว ทางการจัดตั้งตลาดประชารัฐไทย-สปป.ลาว โดยเร็วต่อไป

       สำหรับ การขยายการค้า ชายแดนไทย-สปป.ลาว ทั้งสอง ฝ่ายได้ตั้งเป้าหมายการค้าเป็น 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐภาย ใน 5 ปี

พาณิชย์ดันตั้งตลาดประชารัฐชายแดนวางเป้าดันการค้าไทย-ลาวแตะหมื่นล้านดอลล์ใน 5 ปี

     นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.พาณิชย์ สั่งการให้พาณิชย์จังหวัดที่อยู่ติดชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งลาว กัมพูชา เมียนมา และมาเลเซีย และกรมการค้าภายใน สำรวจตลาดเพื่อพัฒนาให้เป็นตลาดประชารัฐ โดยกระทรวงฯ จะช่วยปรับปรุงให้ตลาดมีมาตรฐาน และผลักดันให้เป็นตลาดที่ซื้อขายสินค้าของคนในพื้นที่ รวมถึงจะดึงให้คนจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาซื้อขายเพื่อขยายมูลค่าการค้าชายแดน

      "แผนการผลักดันตลาดประชารัฐในรูปแบบนี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้เกษตรกร ประชาชน ผู้ผลิตสินค้าชุมชนในพื้นที่ มีสถานที่จำหน่ายสินค้า แต่ยังเป็นการเชื่อมโยงการค้าไปยังประเทศเพื่อนบ้าน โดยดึงให้เข้ามาซื้อสินค้าในตลาดฝั่งไทย และยิ่งเป็นตลาดที่ติดกับด่านชายแดน ก็จะช่วยทำให้การค้ามีความคึกคักได้มากขึ้น" นางอภิรดี กล่าว

      เบื้องต้นได้ใช้โอกาสที่ร่วมคณะนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ไปเยือนลาวระหว่างวันที่ 23-25 พ.ค.60 หารือกับทางการลาวเพื่อร่วมกันจัดตั้งตลาดประชารัฐไทย-ลาว โดยนำสินค้าจากลาวมาขายในตลาดอุดรเมืองทอง จ.อุดรธานี และตลาดเจริญศรี จ.อุบลราชธานี รวมทั้งเสนอให้ลาวพิจารณาจัดตั้งตลาดประชารัฐในลักษณะเดียวกันนี้ที่บ่อเต็น ซึ่งเป็นจุดกระจายสินค้าของไทยและลาวไปยังประเทศอื่นๆ ซึ่งรัฐบาลลาวให้ความสนใจ และพร้อมสนับสนุนโครงการนี้ โดยหน่วยงานของทั้ง 2 ประเทศจะได้หารือแนวทางการจัดตั้งตลาดประชารัฐไทย-ลาวโดยเร็วต่อไป

     ส่วนในจังหวัดที่ติดชายแดนอื่นๆ จะสำรวจสถานที่เพื่อผลักดันเปิดเป็นตลาดประชารัฐต่อไป ซึ่งจะเน้นในจังหวัดที่มีด่านชายแดน เพื่อให้ประชาชนของประเทศเพื่อนบ้านข้ามฝั่งเข้ามาซื้อสินค้าได้โดยสะดวก เช่น ตลาดแถวด่านแม่สอด จ.ตาก ตลาดโรงเกลือ จ.สระแก้ว เป็นต้น

     สำหรับ การผลักดันการขยายการค้าชายแดนไทย-ลาวนั้น ทั้ง 2 ฝ่ายได้ตั้งเป้าหมายการค้าเป็น 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายใน 5 ปี และเพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามที่ตั้งไว้ ทั้ง 2 ฝ่ายเห็นควรให้ดำเนินการที่สำคัญ โดยการยกระดับด่านท้องถิ่นของลาว ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับจุดผ่านแดนถาวรของไทย โดยไทยขอให้ลาวพิจารณายกระดับด่านท้องถิ่นเป็นด่านสากลจำนวน 7 ด่าน เพื่อส่งเสริมและอำนวยความสะดวกการค้าชายแดน เช่น ด่านเมืองละคอนเพ็ง แขวงสาละวัน ตรงข้ามกับจุดผ่านแดนถาวรบ้านปากแซง อ.นาตาล จ.อุบลราชธานี เป็นต้น โดยฝ่ายลาวรับจะไปหารือกับกระทรวงการต่างประเทศต่อไป

      นอกจากนี้ ไทยเสนอให้พิจารณาจัดทำร่างยุทธศาสตร์ไทย-ลาว เพื่อเตรียมหาแนวทางเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ One Belt One Road ของจีนที่จะเข้ามามีบทบาทในอินโดจีน ซึ่งลาวรับที่จะไปหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และหารือกับฝ่ายไทยในรายละเอียดต่อไป

     อินโฟเควสท์

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!