- Details
- Category: พาณิชย์
- Published: Thursday, 20 April 2017 23:30
- Hits: 10471
นบข. เห็นชอบขายข้าวในสต็อกของรัฐที่ไม่ใช่การบริโภคของคนล็อตแรก 1.62 ล้านตัน พร้อมเปิดประมูลข้าวที่ไม่ใช่การบริโภคของคนและสัตว์ 1.03 ล้านตัน
ประธานกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ได้เห็นชอบให้กระทรวงพาณิชย์โดยกรมการค้าต่างประเทศจำหน่ายข้าวสารในสต็อกของรัฐเข้าสู่อุตสาหกรรมที่ไม่ใช่การบริโภคของคน ครั้งที่ 1/2560 ให้แก่ ผู้ชนะการประมูล 13 ราย จำนวน 125 คลัง ปริมาณ 1.62 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่าเสนอซื้อ 7,929.58 ล้านบาท และเปิดประมูลข้าวเข้าสู่อุตสาหกรรมที่ไม่ใช่การบริโภคของคนและสัตว์ ครั้งที่ 1/2560 ปริมาณ 1.03 ล้านตัน โดยเชิญผู้สนใจรับฟังการชี้แจงเงื่อนไขประมูลในวันที่ 20 เมษายน นี้ เวลา 13.00 น.
นางดวงพร รอดพยาธิ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่าภายหลังจากที่คณะทำงานดำเนินการระบายข้าวในสต็อกรัฐได้ออกประกาศให้ผู้สนใจยื่นซองเสนอราคาซื้อข้าวสารในสต็อกของรัฐเข้าสู่อุตสาหกรรมที่ไม่ใช่การบริโภคของคน ครั้งที่ 1/2560 เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2560 ปริมาณ 3.66 ล้านตัน ปรากฏว่ามีผู้สนใจยื่นซองเสนอราคาซื้อข้าวสารในสต็อกของรัฐที่เสนอราคาซื้อสูงสุด จำนวน 15 ราย ใน 157 คลัง ปริมาณ 2.07 ล้านตัน ซึ่งคณะอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าวและประธานกรรมการ นบข. ได้พิจารณาผลการยื่นซองเสนอราคาดังกล่าวแล้ว ตกลงขายให้กับผู้เสนอซื้อสูงสุด จำนวน 13 ราย ใน 125 คลัง ปริมาณ 1.62 ล้านตัน (ร้อยละ 44.32 ของปริมาณข้าวที่เปิดประมูล) มูลค่าเสนอซื้อ 7,929.58 ล้านบาท ซึ่งเป็นการตกลงขายให้ผู้เสนอซื้อในราคาสูงสุดที่เหมาะสมกับสภาพข้าวโดยคำนึงถึงภาระค่าใช้จ่ายของรัฐในการเก็บรักษาข้าว และผลกระทบต่อตลาดข้าวและธัญพืชอื่นๆ ทั้งนี้ กรมฯ ได้มีหนังสือแจ้งให้ผู้ชนะการประมูลเข้าทำสัญญาซื้อขายข้าวกับองค์การคลังสินค้า และองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร ภายใน 15 วันทำการแล้ว
อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ได้เปิดเผยเพิ่มเติมว่า เมื่อวันที่ 12 เมษายนที่ผ่านมา ประธานกรรมการ นบข. ได้เห็นชอบให้กรมการค้าต่างประเทศ ในฐานะประธานคณะทำงานฯ ออกประกาศการจำหน่ายข้าวสารในสต็อกของรัฐเข้าสู่อุตสาหกรรมที่ไม่ใช่การบริโภคของคนและสัตว์ ครั้งที่ 1/2560 ปริมาณ 1.03 ล้านตัน ตามแผนการระบายข้าวคงเหลือในสต็อกของรัฐที่คณะกรรมการ นบข. ได้ให้ความเห็นชอบแล้ว
สำหรับ ข้าวสารในสต็อกของรัฐที่นำออกมาจำหน่ายเข้าสู่อุตสาหกรรมที่ไม่ใช่การบริโภคของคนและสัตว์ในครั้งนี้ เป็นข้าว 16 ชนิด ประกอบด้วย ข้าวหอมมะลิ 100 % ชั้น 2 ข้าวหอมจังหวัด ข้าวขาว 5% ข้าวขาว 10% ข้าวขาว 15% ข้าวขาว 25% เลิศ ข้าวปทุมธานี ข้าวเหนียวขาว 10% ข้าวท่อนหอมมะลิ ข้าวท่อนหอมจังหวัด ข้าวท่อนปทุมธานี ปลายข้าวหอมมะลิ ปลายข้าวหอมจังหวัด ปลายข้าวปทุมธานี ปลายข้าว A1 เลิศ และปลายข้าว A1 ปริมาณรวมทั้งสิ้น 1.037 ล้านตัน จำนวน 157 คลัง ใน 34 จังหวัด โดยคณะกรรมการ นบข. ให้ความสำคัญกับการจัดระบบมาตรการการตรวจสอบ การกำกับดูแล และการติดตามการนำข้าวดังกล่าวไปใช้ในอุตสาหกรรมที่ไม่ใช่เพื่อการบริโภคของคนและสัตว์อย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันข้าวรั่วไหลเข้าสู่ระบบการค้าปกติ
ทั้งนี้ กรมฯ ได้เปิดให้ผู้สนใจเข้าดูสภาพข้าวในคลังสินค้า ระหว่างวันที่ 19 – 25 เมษายน 2560 ตั้งแต่เวลา 09.00 ถึง 16.00 น. เว้นวันหยุดราชการ และได้มีกำหนดจะเชิญผู้สนใจเข้ามารับฟังการชี้แจงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการออกประกาศประมูล (TOR) ดังกล่าวนี้ ในวันที่ 20 เมษายน 2560 เวลา 13.00 น. ณ ห้องอเนกประสงค์ ชั้น 3 อาคารกองมาตรฐานสินค้านำเข้าส่งออก กรมการค้าต่างประเทศ โดยผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ของกรมการค้าต่างประเทศ www.dft.go.th
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย
'นบข.'อนุมัติโละข้าวเสื่อม 1.6 ล.ตันสกัดวนเข้าตลาด
ไทยโพสต์ : พาณิชย์ * นบข.ไฟเขียว ขายข้าวสต็อกรัฐเข้าสู่อุตสาหกรรมที่ไม่ใช่คนบริโภค 1.62 ล้านตัน จากที่เปิดประมูล 3.6 ล้านตัน ยันขายตามราคาเสนอซื้อสูงสุด พร้อมเปิดประมูลข้าวเสื่อมเข้าสู่อุตสาหกรรมที่ไม่ใช่คน-สัตว์บริโภคอีกล้านตัน 28 เม.ย.นี้ คุมเข้มเส้นทางขนส่ง หวั่นหลุดรอดเข้าสู่ตลาดข้าวปกติ
นางดวงพร รอดพยาธิ์ อธิบดีกรมการ ค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ได้เห็นชอบอนุมัติขายข้าวสารในสต็อกรัฐบาลปริมาณ 1.62 ล้านตัน มูลค่าเสนอซื้อ 7,929.58 ล้านบาท ให้กับผู้เสนอซื้อราคาสูงสุด 13 ราย ในการประมูลซื้อข้าวสารในสต็อกรัฐบาลเข้าสู่อุตสาหกรรมที่ไม่ใช่การบริโภคของคน ครั้งที่ 1/2560 เมื่อวันที่ 23 มี.ค.ที่ผ่านมา คิดเป็นสัดส่วน 44.32% ของปริมาณที่นำมาเปิดประมูลทั้งสิ้น 3.66 ล้านตัน
สำหรับ ราคาที่เสนอซื้อนั้น คณะอนุกรรม การพิจารณาระบายข้าว ที่มีปลัดกระทรวงพา ณิชย์เป็นประธาน ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า เป็นราคาเสนอซื้อสูงสุด ที่เหมาะสมกับสภาพข้าว โดยใช้เกณฑ์เรื่องภาระค่าใช้จ่ายของรัฐบาลในการเก็บรักษาข้าว หากไม่ขายตามที่มีการเสนอซื้อ รวมถึงผลกระทบต่อตลาดข้าว และธัญพืชอื่นๆ มาพิจารณาประกอบ
โดยกรมได้มีหนังสือแจ้งให้ผู้ชนะการประมูลมาทำสัญญาซื้อขายข้าวกับองค์การคลังสินค้า (อคส.) และองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) ภายใน 15 วันทำการแล้ว
ทั้งนี้ ตั้งแต่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) บริหารประเทศ สามารถระบายข้าวในสต็อกรัฐบาลไปได้แล้วกว่า 11 ล้านตัน มูลค่ากว่า 110,000 ล้านบาท จากปริมาณที่รับภาระมาจากรัฐบาลชุดก่อนประมาณ 18 ล้านตัน โดยกระทรวงตั้งเป้าหมายระบายข้าวในสต็อกให้หมดภายในปีนี้
นอกจากนี้ นบข. ยังเห็นชอบให้กรมการค้าต่างประเทศ ในฐานะประธานคณะทำ งานพิจารณาการระบายข้าว ออกประกาศการจำหน่ายข้าวสารในสต็อกของรัฐบาลเข้าสู่อุตสาหกรรมที่ไม่ใช่การบริโภคของคนและสัตว์ ครั้งที่ 1/2560 ปริมาณ 1.03 ล้านตัน ประกอบด้วยข้าว 16 ชนิด ได้แก่ ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 2, ข้าวหอมจังหวัด, ข้าวขาว 5%, ข้าวขาว 10%, ข้าวขาว 15%, ข้าวขาว 25% เลิศ, ข้าวปทุมธานี, ข้าวเหนียวขาว 10%, ข้าวท่อนหอมมะลิ, ข้าวท่อนหอม จังหวัด, ข้าวท่อนปทุมธานี, ปลายข้าวหอมมะลิ, ปลายข้าวหอมจังหวัด, ปลายข้าวปทุม ธานี, ปลายข้าว เอ วัน เลิศ และปลายข้าวเอ วัน ที่เก็บใน 157 คลัง ใน 34 จังหวัด
"นบข.ให้ความสำคัญกับการจัดระบบมาตรการการตรวจสอบ การกำกับดูแล และ การติดตามการนำข้าวดังกล่าวไปใช้ในอุตสาห กรรมที่ไม่ใช่เพื่อการบริโภคของคนและสัตว์อย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันไม่ให้ข้าวรั่วไหลเข้าสู่ระบบการค้าปกติ เพราะข้าวล็อตนี้ไม่เหมาะกับการบริโภคทั้งของคน และสัตว์" นางดวงพรกล่าว
ทั้งนี้ กรมเปิดให้ผู้สนใจดูสภาพข้าวในคลังสินค้า วันที่ 19-25 เม.ย.นี้ และเปิดรับฟังการชี้แจงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการออกประกาศประมูล (ทีโออาร์) วันที่ 20 เม.ย. จากนั้นวันที่ 26 เม.ย. จะเปิดให้ผู้สนใจยื่นซองคุณสมบัติ และจะประกาศรายชื่อผู้ผ่านคุณสมบัติ พร้อมเปิดให้ยื่นซองเสนอราคาซื้อวันเดียวกันในวันที่ 28 เม.ย.นี้.
พาณิชย์ เปิดยื่นซองประมูลข้าวเข้าอุตสาหกรรมที่ไม่ใช่การบริโภคของคนและสัตว์ 1.03 ล้านตัน วันที่ 28 เม.ย.นี้
นางดวงพร รอดพยาธิ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 12 เมษายนที่ผ่านมา ประธานกรรมการ นบข. ได้เห็นชอบให้กรมการค้าต่างประเทศ ในฐานะประธานคณะทำงานฯ ออกประกาศการจำหน่ายข้าวสารในสต็อกของรัฐเข้าสู่อุตสาหกรรมที่ไม่ใช่การบริโภคของคนและสัตว์ ครั้งที่ 1/2560 ปริมาณ 1.03 ล้านตัน ตามแผนการระบายข้าวคงเหลือในสต็อกของรัฐที่คณะกรรมการ นบข. ได้ให้ความเห็นชอบแล้ว
สำหรับข้าวสารในสต็อกของรัฐที่นำออกมาจำหน่ายเข้าสู่อุตสาหกรรมที่ไม่ใช่การบริโภคของคนและสัตว์ในครั้งนี้ เป็นข้าว 16 ชนิด ประกอบด้วย ข้าวหอมมะลิ 100 % ชั้น 2 ข้าวหอมจังหวัด ข้าวขาว 5% ข้าวขาว 10% ข้าวขาว 15% ข้าวขาว 25% เลิศ ข้าวปทุมธานี ข้าวเหนียวขาว 10% ข้าวท่อนหอมมะลิ ข้าวท่อนหอมจังหวัด ข้าวท่อนปทุมธานี ปลายข้าวหอมมะลิ ปลายข้าวหอมจังหวัด ปลายข้าวปทุมธานี ปลายข้าว A1 เลิศ และปลายข้าว A1 ปริมาณรวมทั้งสิ้น 1.037 ล้านตัน จำนวน 157 คลัง ใน 34 จังหวัด โดยคณะกรรมการ นบข. ให้ความสำคัญกับการจัดระบบมาตรการการตรวจสอบ การกำกับดูแล และการติดตามการนำข้าวดังกล่าวไปใช้ในอุตสาหกรรมที่ไม่ใช่เพื่อการบริโภคของคนและสัตว์อย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันข้าวรั่วไหลเข้าสู่ระบบการค้าปกติ
ทั้งนี้ กรมฯ ได้เปิดให้ผู้สนใจเข้าดูสภาพข้าวในคลังสินค้า ระหว่างวันที่ 19 – 25 เมษายน 2560 ตั้งแต่เวลา 09.00 ถึง 16.00 น. เว้นวันหยุดราชการ และได้มีกำหนดจะเชิญผู้สนใจเข้ามารับฟังการชี้แจงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการออกประกาศประมูล (TOR) ดังกล่าวนี้ ในวันที่ 20 เมษายน 2560 เวลา 13.00 น. จากนั้นวันที่ 26 เม.ย. จะเปิดให้ผู้สนใจยื่นซองคุณสมบัติ และจะประกาศรายชื่อผู้ผ่านคุณสมบัติ พร้อมเปิดให้ยื่นซองเสนอราคาซื้อวันเดียวกันในวันที่ 28 เม.ย.นี้
นางดวงพร กล่าวถึงผลการยื่นซองเสนอราคาซื้อข้าวสารในสต็อกของรัฐเข้าสู่อุตสาหกรรมที่ไม่ใช่การบริโภคของคน ครั้งที่ 1/2560 เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2560 ปริมาณ 3.66 ล้านตันว่า มีผู้สนใจยื่นซองเสนอราคาซื้อข้าวสารในสต็อกของรัฐที่เสนอราคาซื้อสูงสุด จำนวน 15 ราย ใน 157 คลัง ปริมาณ 2.07 ล้านตัน ซึ่งคณะอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าวและประธานกรรมการ นบข. ได้พิจารณาผลการยื่นซองเสนอราคาดังกล่าวแล้ว ตกลงขายให้กับผู้เสนอซื้อสูงสุด จำนวน 13 ราย ใน 125 คลัง ปริมาณ 1.62 ล้านตัน (ร้อยละ 44.32 ของปริมาณข้าวที่เปิดประมูล) มูลค่าเสนอซื้อ 7,929.58 ล้านบาท ซึ่งเป็นการตกลงขายให้ผู้เสนอซื้อในราคาสูงสุดที่เหมาะสมกับสภาพข้าวโดยคำนึงถึงภาระค่าใช้จ่ายของรัฐในการเก็บรักษาข้าว และผลกระทบต่อตลาดข้าวและธัญพืชอื่นๆ ทั้งนี้ กรมฯ ได้มีหนังสือแจ้งให้ผู้ชนะการประมูลเข้าทำสัญญาซื้อขายข้าวกับองค์การคลังสินค้า และองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร ภายใน 15 วันทำการแล้ว
ทั้งนี้ ตั้งแต่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) บริหารประเทศ สามารถระบายข้าวในสต๊อกรัฐบาลไปได้แล้วกว่า 11 ล้านตัน มูลค่ากว่า 110,000 ล้านบาท จากปริมาณที่รับภาระมาจากรัฐบาลชุดก่อนประมาณ 18 ล้านตัน โดยกระทรวงตั้งเป้าหมายระบายข้าวในสต๊อกให้หมดภายในปีนี้
อินโฟเควสท์
โรงสี 149 รายร่วมสต๊อกข้าว พาณิชย์มั่นใจมีเงินพอชดเชยดอกเบี้ย
แนวหน้า : นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค อธิบดีกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ว่า ขณะนี้มาตรการชดเชยดอกเบี้ยให้โรงสี 3% เพื่อเข้าร่วมโครงการเก็บสต๊อกข้าวเปลือกนาปรัง ฤดูกาลปี 2560 ได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน-31 กรกฎาคม 2560 โดยโรงสีที่เข้าร่วมโครงการจะต้องเก็บสต๊อกข้าวเป็นระยะเวลา 6 เดือน ขณะนี้มีโรงสีเข้าร่วมโครงการแล้ว 149 ราย วงเงินที่กู้ยืมธนาคารเพื่อเก็บสต๊อกข้าวอยู่ที่ 474 ล้านบาท ส่วนโรงสีภาคใต้ที่เข้าร่วมโครงการจะเริ่มวันที่ 1 กรกฎาคม-31 ตุลาคม 2560 คาดว่าจะช่วยดูดซับปริมาณข้าวเปลือกนาปรังมาเก็บไว้ในสต๊อกตามเป้าหมาย 5.9 ล้านตัน มูลค่า 4.7 หมื่นล้านบาท
"มาตรการชดเชยดอกเบี้ยให้โรงสี 3% จะใช้วงเงินเดิมที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติวงเงิน 940 ล้านบาท ตั้งแต่โครงการเก็บสต๊อกข้าวเปลือกนาปี ฤดูกาลปี 2560/2561 ซึ่งอนุมัติเมื่อปลายปี 2559 และยังมีวงเงินเหลืออยู่ เนื่องจากใช้ไปเพียง 368 ล้านบาท เชื่อว่าเพียงพอต่อการดึงราคาข้าวเปลือกนาปรังไม่ให้ตกต่ำได้"นางนันทวัลย์ กล่าว
สำหรับ ราคาซื้อขายข้าวเปลือกในตลาดขณะนี้ พบว่าราคาข้าวเปลือกหอมมะลิอยู่ที่ตันละ 9,000-11,000 บาท ข้าวเปลือกเหนียว (ยาว) ตันละ 1.1-1.3 หมื่นบาท ข้าวเปลือกเหนียว (คละ) ตันละ 1.05-1.2 หมื่นบาท ข้าวเปลือกเจ้า 5% ตันละ 7,300-7,700 บาท และข้าวเปลือกหอมปทุมฯ ตันละ 8,000-8,500 บาท
นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า ได้สั่งการให้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ มอบหมายให้ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ หรือทูตพาณิชย์ เชิญผู้ซื้อ ผู้นำเข้าสินค้าที่เกี่ยวกับข้าว ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากข้าว มันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์มันแปรรูป ให้เดินทางมาร่วมชมงานแสดงสินค้าอาหาร (ไทยเฟกซ์) 2560 ซึ่งจะจัดขึ้นวันที่ 31 พฤษภาคม- 4 มิถุนายน 2560 ที่อิมแพค เมืองทองธานี
ทั้งนี้ เพื่อผลักดันให้มีการส่งออกสินค้าอาหารได้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะสินค้าข้าว ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากข้าว มันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์มันแปรรูป ที่จะนำมาจัดแสดงในงานนี้เป็นจำนวนมาก เนื่องจากงานไทยเฟกซ์ในปี 2560 นี้จะมีการจัดแสดงอาหารที่ทำจากข้าว ซึ่งมีการใช้นวัตกรรม เพราะกระทรวงฯต้องการขยายตลาดในส่วนนี้ให้เพิ่มขึ้น