- Details
- Category: พาณิชย์
- Published: Thursday, 10 November 2016 09:11
- Hits: 2425
พาณิชย์ แนะจับตานโยบายสหรัฐหลังทรัมป์ชนะเลือกตั้งปธน. ชี้ส่งออกไทยมีความเสี่ยงมากขึ้น
นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า หลังจากที่ทั่วโลกต่างจับตามองผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา 2016 นั้น ซึ่งล่าสุดปรากฏผลแล้วว่า สหรัฐฯ จะมีประธานาธิบดีคนใหม่เป็นนายโดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ขอแสดงความยินดีต่อว่าที่ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นประเทศคู่ค้าสำคัญของไทย
ทั้งนี้ นโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ มีแนวโน้มที่เน้นการปฏิรูปและไม่สนับสนุนการเปิดเสรีทางการค้า ซึ่งจะทำให้ทิศทางการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีความแตกต่างจากรัฐบาลชุดก่อนค่อนข้างชัดเจน โดยเน้นให้ความสำคัญกับการเพิ่มอุปสงค์ภายในประเทศ (โดยเฉพาะการส่งเสริมการลงทุน ผ่านมาตรการภาษี) เน้นนโยบายปกป้องการค้าของสหรัฐฯ มีความชัดเจนที่จะปฏิเสธ ผู้ลี้ภัยต่างชาติและแรงงานต่างชาติ และลดความสำคัญลงสำหรับประเด็นสิ่งแวดล้อม สำหรับนโยบายต่างประเทศ มีแนวโน้มที่จะทบทวนความสัมพันธ์และการให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศพันธมิตรใหม่ อย่างไรก็ตาม ยังมีประเด็นความเป็นไปได้ของนโยบายเหล่านี้ว่าจะสามารถปฏิบัติได้จริงหรือไม่ ซึ่งอาจนำไปสู่ความไม่เชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจและเกิดความผันผวนในระยะสั้นได้
ผลกระทบระยะสั้น คาดว่าจะมีผลกระทบในตลาดเงินตลาดทุนอย่างชัดเจน แต่ภาคเศรษฐกิจจริง (Real Sector) คงไม่น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยตลาดเงินตลาดทุนคงได้รับผลกระทบอย่างชัดเจน เช่นเดียวกันกับผลกระทบจากกรณี Brexit ที่ทำให้ตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลกผันผวน ค่าเงินดอลลาร์ สรอ.อ่อนค่า ตลาดหุ้นตกอย่างมาก อย่างไรก็ตาม คาดว่าในช่วงที่เหลือของปี สถานการณ์เศรษฐกิจสหรัฐฯและเศรษฐกิจโลกโดยรวมน่าจะยังไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก ดังนั้นการส่งออกของไทยในช่วงที่เหลือยังคงมีแนวโน้มขยายตัวได้ตามการคาดการณ์
สำหรับ ในปีต่อไปนั้น ไทยคงต้องจับตาการเปลี่ยนแปลงนโยบายด้านต่างๆ ของสหรัฐฯ ที่อาจจะเริ่มส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะความเสี่ยงและไม่แน่นอนที่อาจมีขึ้นในเศรษฐกิจโลกที่อาจส่งผลด้านต่างๆ เช่น การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะมีขึ้นหรือไม่ ราคาน้ำมันจะขึ้นตามที่คาดไว้หรืออาจจะเกิดการผันผวนอย่างมาก ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะปรับดอกเบี้ยขึ้นตามที่คาดหรือไม่ ฯลฯ ซึ่งความผันผวนเหล่านี้ จะส่งผลต่อการส่งออกและการค้าระหว่างประเทศอย่างมีนัยสำคัญ โดยจะส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์มีความผันผวน และราคาสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ทองคำ ปรับตัวสูงขึ้น ในขณะ ที่ผลกระทบจากนโยบายลดภาษียังต้องรอความชัดเจนอีกครั้ง โดยคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯและเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวต่ำกว่าการคาดการณ์ของ IMF (ร้อยละ 2.2 และร้อยละ 3.4 ตามลำดับ) โดยภาพรวมแล้วจะทำให้การส่งออกของไทยในปี 2560 มีความเสี่ยงและท้าทายมากขึ้น เพื่อที่จะกลับมาขยายตัวครั้งแรกในรอบ 5 ปี
ผลกระทบระยะยาว ด้านนโยบายการค้าระหว่างประเทศ นายโดนัลด์ ทรัมป์ มีแนวโน้มคัดค้าน TPP อย่างชัดเจน แต่คาดว่าจะมีการเจรจาการค้าฉบับใหม่ที่มีลักษณะปกป้องผลประโยชน์พลเรือนอเมริกันมากขึ้น ซึ่งอาจนำมาสู่การขยายแนวความคิดด้านชาตินิยมและไม่ให้ความสำคัญกับการค้าเสรีไปสู่ประเทศต่างๆ ซึ่งจะเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการขยายตัวปริมาณการค้าโลก ซึ่งในประเด็นนี้ไทยก็พร้อมจะพิจารณาสานความสัมพันธ์ทางการค้าผ่านเวทีอื่นๆ เพื่อเป็นทางเลือก
ด้านนโยบายการคลัง ความไม่สอดคล้องกันระหว่างการลดภาษีภายในประเทศเพื่อกระตุ้นการลงทุน ผนวกกับแนวโน้มการกีดกันการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ เมื่อรวมกับผลกระทบจากต้นทุนทางการเงิน และหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้น อาจนำไปสู่ความยุ่งยากในการดำเนินนโยบายด้านเศรษฐกิจ ซึ่งในระยะยาว อาจส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างมีนัยสำคัญได้ นอกจากนั้น นโยบายปรับลดภาษีนิติบุคคล เพื่อส่งเสริมการลงทุนและการจ้างงานในประเทศ ในขณะที่มีการปกป้องการค้าจากประเทศอื่นๆ เพิ่มขึ้น น่าจะทำให้การลงทุนของสหรัฐฯ ในต่างประเทศยังอยู่ในระดับปกติ (เพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาดไว้) โดยเฉพาะประเทศ/กลุ่มคู่ค้าที่มีศักยภาพสูง ส่วนเศรษฐกิจโลก ความผันผวนและนโยบายกีดกัน อาจทำให้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวช้ากว่าคาดการณ์เดิม ราคาสินค้าโภคภัณฑ์และอัตราแลกเปลี่ยนมีความผันผวน และจะมีความซับซ้อนจากการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ที่นายทรัมป์อาจจะประกาศต่อไป
รมว.พาณิชย์ กล่าวถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการส่งออกไทยว่า การส่งออกจะมีความเสี่ยงมากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทย (ถ้าไม่นับอาเซียน 10 ประเทศรวมกัน) โดยในปี 2558 ไทยมีมูลค่าส่งออกไปสหรัฐฯ 24,055 ล้านดอลลาร์ สรอ. หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 11.2 ของมูลค่าการส่งออกของไทยทั้งหมด โดยมีสินค้าสำคัญ อาทิ คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยาง อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องใช้ไฟฟ้า รถยนต์และส่วนประกอบ และเครื่องนุ่มห่ม รวมทั้งอาหารทะเลและผลไม้กระป๋องแปรรูป ซึ่งสินค้าเหล่านี้มีสัดส่วนรวมกันถึงร้อยละ 51.4 ของการส่งออกไทยไปสหรัฐฯทั้งหมด ดังนั้นหากสหรัฐฯ มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าในทิศทางที่มีการกีดกันมากขึ้น ประกอบกับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจของสหรัฐฯที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการค้าโลกโดยรวม จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการส่งออกของไทยทั้งทางตรงและทางอ้อมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยในขณะนี้ค่อนข้างมีพื้นฐานที่แข็งแกร่ง จึงมั่นใจว่าผลกระทบต่อเราจะไม่รุนแรงมากนัก แต่อยากให้ผู้ประกอบการโดยเฉพาะรายเล็กเตรียมปรับตัวเพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงและความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นไว้ โดยเฉพาะที่เกิดจากอัตราแลกเปลี่ยน
ในด้านการเจรจาการค้ากับประเทศอื่นๆ อาจจะมีโอกาสที่จะปรับตัวดีขึ้น เพื่อชดเชยการค้าที่ลดลงกับสหรัฐฯ ในขณะที่การลงทุนโดยตรงจากสหรัฐฯ ในไทย ในระยะนี้อาจไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงมากนัก เนื่องจากไทยเป็นศูนย์กลางของอาเซียนและมีศักยภาพในการขยายตัวในเกณฑ์ดี ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จะติดตามและประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเป็นระยะๆอย่างต่อเนื่อง
"กระทรวงพาณิชย์ก็ขอยินดีกับว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ ภายใต้นโยบายใหม่ๆ ซึ่งไม่ว่าใครจะได้รับการคัดเลือกจากประชาชนให้เข้ามาเป็นผู้นำสหรัฐฯ รัฐบาลไทยก็ยินดีและพร้อมจะทำงานด้วยทุกคน เพื่อประโยชน์ของประชาชนของทั้งสองประเทศ" รมว.พาณิชย์ ระบุ
อินโฟเควสท์
ก.พาณิชย์ หวั่น"โดนัลด์ ทรัมป์"ชนะเลือกตั้งปธน.สหรัฐฯ 2016 กระทบภาคส่งออกไทย หลังสหรัฐฯเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทย
นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ว่า หลังจากที่ทั่วโลกต่างจับตามองผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา 2016 ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร วันนี้ก็ปรากฏออกมาแล้วว่า สหรัฐฯ จะมีประธานาธิบดีคนใหม่เป็นนายโดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ขอแสดงความยินดีต่อว่าที่ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นประเทศคู่ค้าสำคัญของไทย
นางอภิรดีฯ ได้กล่าวต่อไปว่า นโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ มีแนวโน้มที่เน้นการปฏิรูปและไม่สนับสนุนการเปิดเสรีทางการค้า ซึ่งจะทำให้ทิศทางการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีความแตกต่างจากรัฐบาลชุดก่อนค่อนข้างชัดเจน โดยเน้นให้ความสำคัญกับการเพิ่มอุปสงค์ภายในประเทศ (โดยเฉพาะการส่งเสริมการลงทุน ผ่านมาตรการภาษี) เน้นนโยบายปกป้องการค้าของสหรัฐฯ มีความชัดเจนที่จะปฏิเสธ ผู้ลี้ภัยต่างชาติและแรงงานต่างชาติ และลดความสำคัญลงสำหรับประเด็นสิ่งแวดล้อม สำหรับนโยบายต่างประเทศ มีแนวโน้มที่จะทบทวนความสัมพันธ์และการให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศพันธมิตรใหม่ อย่างไรก็ตาม ยังมีประเด็นความเป็นไปได้ของนโยบายเหล่านี้ว่าจะสามารถปฏิบัติได้จริงหรือไม่ ซึ่งอาจนำไปสู่ความ ไม่เชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจและเกิดความผันผวนในระยะสั้นได้
ผลกระทบระยะสั้น คาดว่าจะมีผลกระทบในตลาดเงินตลาดทุนอย่างชัดเจน แต่ภาคเศรษฐกิจจริง (Real Sector) คงไม่น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ โดย ตลาดเงินตลาดทุนคงได้รับผลกระทบอย่างชัดเจน เช่นเดียวกันกับผลกระทบจากกรณี Brexit ที่ทำให้ตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลกผันผวน ค่าเงินดอลลาร์ สรอ. อ่อนค่า ตลาดหุ้นตกอย่างมาก อย่างไรก็ตาม คาดว่าในช่วงที่เหลือของปี สถานการณ์เศรษฐกิจสหรัฐฯและเศรษฐกิจโลกโดยรวมน่าจะยังไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก ดังนั้นการส่งออกของไทยในช่วง ที่เหลือยังคงมีแนวโน้มขยายตัวได้ตามการคาดการณ์
สำหรับ ในปีต่อไปนั้น ไทยคงต้องจับตาการเปลี่ยนแปลงนโยบายด้านต่างๆ ของสหรัฐฯ ที่อาจจะเริ่มส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะความเสี่ยงและไม่แน่นอนที่อาจมีขึ้น ในเศรษฐกิจโลก ที่อาจส่งผลด้านต่างๆ เช่น การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะมีขึ้นหรือไม่ ราคาน้ำมันจะขึ้นตามที่คาดไว้หรืออาจจะเกิดการผันผวนอย่างมาก ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะปรับดอกเบี้ยขึ้นตามที่คาดหรือไม่ ฯลฯ ซึ่งความผันผวนเหล่านี้ จะส่งผลต่อการส่งออกและการค้าระหว่างประเทศอย่างมีนัยสำคัญ โดยจะส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์มีความผันผวน และราคาสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ทองคำ ปรับตัวสูงขึ้น ในขณะ ที่ผลกระทบจากนโยบายลดภาษียังต้องรอความชัดเจนอีกครั้ง โดยคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯและเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวต่ำกว่าการคาดการณ์ของ IMF (ร้อยละ 2.2 และร้อยละ 3.4 ตามลำดับ) โดยภาพรวมแล้วจะทำให้การส่งออกของไทยในปี 2560 มีความเสี่ยงและท้าทายมากขึ้น เพื่อที่จะกลับมาขยายตัวครั้งแรกในรอบ 5 ปี
ผลกระทบระยะยาว ด้านนโยบายการค้าระหว่างประเทศ นายโดนัลด์ ทรัมป์ มีแนวโน้มคัดค้าน TPP อย่างชัดเจน แต่คาดว่าจะมีการเจรจาการค้าฉบับใหม่ที่มีลักษณะปกป้องผลประโยชน์พลเรือนอเมริกันมากขึ้น ซึ่งอาจนำมาสู่การขยายแนวความคิดด้านชาตินิยมและไม่ให้ความสำคัญกับการค้าเสรีไปสู่ประเทศต่างๆ ซึ่งจะเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการขยายตัวปริมาณการค้าโลก ซึ่งในประเด็นนี้ไทยก็พร้อมจะพิจารณาสานความสัมพันธ์ทางการค้าผ่านเวทีอื่นๆเพื่อเป็นทางเลือก
ด้านนโยบายการคลัง ความไม่สอดคล้องกันระหว่างการลดภาษีภายในประเทศเพื่อกระตุ้นการลงทุน ผนวกกับแนวโน้มการกีดกันการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ เมื่อรวมกับผลกระทบจากต้นทุนทางการเงิน และหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้น อาจนำไปสู่ความยุ่งยากในการดำเนินนโยบายด้านเศรษฐกิจ ซึ่งในระยะยาว อาจส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างมีนัยสำคัญได้ นอกจากนั้น นโยบายปรับลดภาษีนิติบุคคล เพื่อส่งเสริมการลงทุนและการจ้างงานในประเทศ ในขณะที่มีการปกป้องการค้าจากประเทศอื่นๆ เพิ่มขึ้น น่าจะทำให้การลงทุนของสหรัฐฯ ในต่างประเทศยังอยู่ในระดับปกติ (เพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาดไว้) โดยเฉพาะประเทศ/กลุ่มคู่ค้าที่มีศักยภาพสูง ส่วนเศรษฐกิจโลก ความผันผวนและนโยบายกีดกัน อาจทำให้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวช้ากว่าคาดการณ์เดิม ราคาสินค้าโภคภัณฑ์และอัตราแลกเปลี่ยนมีความผันผวน และจะมีความซับซ้อนจากการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ที่นายทรัมป์อาจจะประกาศต่อไป
นางอภิรดีฯ ยังได้กล่าวเพิ่มเติมถึง ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการส่งออกไทย ว่าการส่งออกจะมีความเสี่ยงมากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันสหรัฐฯเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทย (ถ้าไม่นับอาเซียน 10 ประเทศรวมกัน) โดยในปี 2558 ไทยมีมูลค่าส่งออกไปสหรัฐฯ 24,055 ล้านดอลลาร์ สรอ. หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 11.2 ของมูลค่าการส่งออกของไทยทั้งหมด โดยมีสินค้าสำคัญ อาทิ คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยาง อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องใช้ไฟฟ้า รถยนต์และส่วนประกอบ และเครื่องนุ่มห่ม รวมทั้งอาหารทะเลและผลไม้กระป๋องแปรรูป ซึ่งสินค้าเหล่านี้มีสัดส่วนรวมกันถึงร้อยละ 51.4 ของการส่งออกไทยไปสหรัฐฯทั้งหมด ดังนั้น หากสหรัฐฯ มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าในทิศทางที่มีการกีดกันมากขึ้น ประกอบกับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจของสหรัฐฯที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการค้าโลกโดยรวม จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการส่งออกของไทยทั้งทางตรงและทางอ้อมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยในขณะนี้ค่อนข้างมีพื้นฐานที่แข็งแกร่ง จึงมั่นใจว่า ผลกระทบต่อเราจะไม่รุนแรงมากนัก แต่อยากให้ผู้ประกอบการโดยเฉพาะรายเล็กเตรียมปรับตัวเพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงและความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นไว้ โดยเฉพาะที่เกิดจากอัตราแลกเปลี่ยน
ในด้านการเจรจาการค้ากับประเทศอื่นๆ อาจจะมีโอกาสที่จะปรับตัวดีขึ้น เพื่อชดเชยการค้าที่ลดลงกับสหรัฐฯ ในขณะที่การลงทุนโดยตรงจากสหรัฐฯ ในไทย ในระยะนี้อาจไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงมากนัก เนื่องจากไทยเป็นศูนย์กลางของอาเซียนและมีศักยภาพในการขยายตัวในเกณฑ์ดี ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จะติดตามและประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเป็นระยะๆอย่างต่อเนื่อง
ท้ายสุด กระทรวงพาณิชย์ก็ขอยินดีกับว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ ภายใต้นโยบายใหม่ๆ ซึ่งไม่ว่าใครจะได้รับการคัดเลือกจากประชาชนให้เข้ามาเป็นผู้นำสหรัฐฯ รัฐบาลไทยก็ยินดีและพร้อมจะทำงานด้วยทุกคน เพื่อประโยชน์ของประชาชนของทั้งสองประเทศ
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย
TISCO มอง `ทรัมป์`คว้าชัยเลือกตั้งสหรัฐฯ กดดันตลาดหุ้นกลุ่มปท.เกิดใหม่ `ทอง-เยน-บอนด์` ได้แรงหนุนจากฟันด์โฟลว์
TISCO เตือนนักลงทุน หลัง ทรัมป์ คว้าชัยเลือกตั้งสหรัฐฯ กดดันตลาดหุ้นกลุ่มตลาดเกิดใหม่ แต่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะ Outperform ส่วน ‘ทอง-เยน-บอนด์’ จะได้รับแรงหนุนทุนไหลเข้าสินทรัพย์ปลอดภัย แต่อาจเกิดขึ้นในระยะสั้นๆ แนะจับตาการดำเนินนโยบายของทรัมป์ในระยะยาว
นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO)กล่าวว่า ชัยชนะของนายโดนัล ทรัมป์ ผู้สมัครพรรครีพับลิกัน น่าจะกดดันราคาสินทรัพย์เสี่ยง โดยเฉพาะตลาดหุ้นในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ ซึ่งจะถูกกระทบจากนโยบายกีดกันทางการค้า เช่น การตั้งกำแพงภาษีนำเข้าสินค้าโดยเฉพาะจากจีน และเสนอให้ทบทวนข้อตกลงทางการค้า ทั้ง NAFTA (North American Free Trade Agreement) และWTO (World Trade Organization) ใหม่อีกครั้ง นโยบายดังกล่าวนับเป็นความเสี่ยงที่สำคัญต่อเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่การค้าโลกอยู่ในภาวะซบเซา
ด้าน ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ น่าจะอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับค่าเงินเยน และยูโร แต่จะแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเงินบาทและเงินสกุลอื่นๆ ในตลาดเกิดใหม่ ส่วนทองคำ ค่าเงินเยน และพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ น่าจะได้รับผลบวกจากกระแสเงินทุนที่ไหลเข้าสินทรัพย์ปลอดภัย
ราคาน้ำมันน่าจะได้รับผลบวกจากท่าทีที่แข็งกร้าวขึ้นของสหรัฐฯ ต่อกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง โดยนายทรัมป์อาจพิจารณายกเลิกข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่าน ซึ่งจะส่งผลให้อิหร่านต้องลดการส่งออกน้ำมันลงและทำให้อุปทานน้ำมันในตลาดโลกกลับมาตึงตัวขึ้น ส่วนราคาถ่านหินจะได้รับผลบวกจากนโยบายสนับสนุนการใช้ถ่านหิน ซึ่งในทางกลับกันจะส่งผลลบต่อราคาก๊าซธรรมชาติซึ่งเป็นสินค้าทดแทน
เศรษฐกิจสหรัฐฯ ในภาพรวมอาจได้ผลบวกจากมาตรการกระตุ้นทางการคลัง เช่น การลดภาษี ซึ่งนายทรัมป์เสนอให้ลดอัตราภาษีรายได้บุคคลธรรมดาขั้นสูงสุดลงเป็น 25% จาก 39.6% และลดภาษีนิติบุคคลลงเป็น15% จาก 35% ซึ่งนโยบายดังกล่าวน่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ในระยะสั้น แต่ในระยะยาวการลดภาษีลงต่ำเกินไปก็อาจเป็นการเพิ่มหนี้ภาครัฐ และเป็นความเสี่ยงต่อฐานะการคลัง ซึ่งอาจทำให้ต้นทุนการกู้ยืมของรัฐบาลสหรัฐฯ เพิ่มสูงขึ้นในอนาคต
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ น่าจะ Outperform ตลาดหุ้นอื่นๆ เนื่องจากค่าเงินดอลลาร์ที่กลับมาอ่อนค่า ประกอบกับนโยบายลดภาษีจะช่วยสนับสนุนกำไรของบริษัทจดทะเบียน ในขณะที่ตลาด Emerging Market จะถูกกดันจากความเสี่ยงต่อการค้าโลกจากนโยบายของนายทรัมป์ และปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ในช่วงที่เหลือของปี เช่น การทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญของอิตาลี ในวันที 4 ธ.ค. และการประชุม Fed ในวันที่ 14 ธ.ค. ซึ่งเราคาดว่า Fed จะขึ้นดอกเบี้ย 25bps
อย่างไรก็ดี การเคลื่อนไหวของตลาดดังกล่าวอาจเป็นแค่เพียงระยะสั้น แต่ในระยะยาวเรายังต้องจับตามองว่านโยบายต่างๆ ที่นายทรัมป์ เสนอไว้ในช่วงหาเสียงจะสามารถนำไปปฎิบัติจริงได้มากน้อยเพียงใด