- Details
- Category: พาณิชย์
- Published: Friday, 09 May 2014 12:39
- Hits: 3883
พาณิชย์ เผย มี.ค.ส่งออกหด 3.12%,นำเข้าหด 14.19% เกินดุล 1,459 ล้านดอลล์
นางศรีรัตน์ รัษฐปานะ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เผยตัวเลขการส่งออกของไทยในเดือน มี.ค.57 หดตัวลดลง 3.12% ที่มูลค่า 19,940.2 ล้านดอลลาร์ ขณะที่การนำเข้าหดตัวลดลง 14.19% ที่มูลค่า 18,481 ล้านดอลลาร์ ส่งผลให้ในเดือน มี.ค.57 เกินดุลการค้า 1,459.6 ล้านดอลลาร์
ทั้งนี้ ส่งผลให้การส่งออกในช่วงไตรมาสแรก(ม.ค.-มี.ค.)ของปี 57 หดตัว 1% ที่มูลค่า 56,211.1 ล้านดอลลาร์ ขณะที่การนำเข้าหดตัวลดลง 15.41% ที่มูลค่า 55,505.1 ล้านดอลลาร์ ส่งผลให้เกินดุลการค้าอยู่ 706 ล้านดอลลาร์
"การส่งออกของไทยไตรมาสแรกชะลอตัวในอัตราที่ลดลง โดยการส่งออกสินค้ากลุ่มอุตสาหกรรมปรับตัวดีขึ้น และตลาดหลักขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็นไตรมาสที่ 2" นางศรีรัตน์ กล่าว
โดยปัจจัยที่มีผลต่อการส่งออกสินค้า ได้แก่ ราคาส่งออกข้าวไทย โดยเฉพาะข้าวขาว 5% ปรับตัวลดลง และมีระดับราคาที่ไม่แตกต่างกับประเทศคู่แข่งจึงสามารถแข่งขันได้ ทำให้การส่งออกข้าวขาวไปยังโตโก มาเลเซีย และแคเมอรูน ขยายตัวมากขึ้น, ความต้องการยางพาราของผู้นำเข้ารายใหญ่อย่างจีน มาเลเซีย และญี่ปุ่นปรับตัวลดลง รวมทั้ง เศรษฐกิจจีน สหรัฐฯ และญี่ปุ่นชะลอตัว ส่งผลกระทบต่ออุปสงค์ยาง ประกอบกับสต็อกยางทั่วโลก ยังคงมีอยู่ในระดับสูง, จีนซึ่งเป็นคู่ค้าที่สำคัญมีความต้องการใช้มันเส้นและแป้งมันอย่างต่อเนื่อง
ผลผลิตกุ้งลดลง เนื่องจากฟาร์มเพาะลูกกุ้งยังมีพ่อแม่พันธุ์จำกัด ประกอบกับความต้องการจากตลาดญี่ปุ่นยังคงซบเซา จากการที่รัฐบาลขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มเป็น 8% จะส่งผลให้ผู้บริโภคระมัดระวังในการใช้จ่ายในระยะสั้นๆ, ความต้องการผักและผลไม้กระป๋องและแปรรูปในตลาดโลกมีสูง อาทิ ความต้องการข้าวโพดหวานกระป๋องในตุรกี และความต้องการลิ้นจี่กระป๋องในสหรัฐฯ รวมทั้งการปรับเปลี่ยนมาตรการนำเข้าของอินโดนีเซีย ทำให้ไทยสามารถส่งออกผลไม้ได้มากขึ้น โดยเฉพาะลำไย, สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น นำเข้าไก่สดแช่เย็นแช่แข็งเพิ่มขึ้น หลังยกเลิกมาตรการห้ามนำเข้า ประกอบกับลาว มีความต้องการบริโภคไก่สดแช่เย็นแช่แข็งเพิ่มขึ้นเช่นกัน, อินโดนีเซีย ผู้นำเข้าน้ำตาลทรายรายใหญ่ ลดปริมาณการนำเข้าลง หลังจาก The Indonesian Sugar Council คาดการณ์ว่าผลผลิตน้ำตาลปี 57 จะเพิ่มขึ้น เนื่องจากสภาพอากาศเอื้ออำนวย ประกอบกับอุปสงค์น้ำตาลทั่วโลกลดลง เนื่องจากในช่วงที่ราคาตกต่ำ ได้มีการซื้อขายไปเป็นจำนวนมากแล้ว
สำหรับ ตลาดส่งออกที่ขยายตัวได้ดี ได้แก่ ตลาดหลัก ขยายตัว 2.7%(YoY) โดย สหรัฐอเมริกา EU (15) และญี่ปุ่น ขยายตัว 3.6%, 2.9% และ 1.6% (YoY) ตามลำดับ สำหรับตลาดศักยภาพสูง หดตัว 8.5%(YoY) โดยอาเซียน (9) และจีน หดตัว 10.9% และ 11.2% ตามลำดับ ขณะที่ฮ่องกงและอินเดีย ขยายตัว 0.1% และ 6.7% ตามลำดับ เช่นเดียวกับตลาดศักยภาพรอง ที่หดตัว 5.3%(YoY) โดยทวีปออสเตรเลีย และลาตินอเมริกา หดตัว 23.3% และ 6.3% ตามลำดับ ขณะที่แอฟริกา EU (12) และตะวันออกกลาง ขยายตัว 6.7%, 3.8% และ 1.3% ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม ตลาดอื่นๆ ยังคงขยายตัวสูง 253.7% โดยเฉพาะสวิสเซอร์แลนด์ ขยายตัว 459.1% จากการนำเข้าอัญมณีและเครื่องประดับค่อนข้างมาก
ขณะที่ช่วงไตรมาสแรก ตลาดหลักขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็นไตรมาสที่ 2 ซึ่งขยายตัว 2.4% (AoA) ในทางตรงกันข้าม ตลาดศักยภาพสูง และตลาดศักยภาพรอง ยังคงหดตัวต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 2 โดยหดตัว 4.7% และ 3.4%(AoA) ตามลำดับ ขณะที่ตลาดอื่นๆ กลับมาขยายตัวเป็นบวกเป็นไตรมาสแรก หลังจากติดลบในปี 2556 ที่ผ่านมา โดยขยายตัว 188.6% (AoA) จากการนำเข้าอัญมณีและเครื่องประดับ เป็นสำคัญ
ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ยังคงคาดการณ์การส่งออกของไทยในปี 57 จะสามารถขยายตัวได้ 5% ภายใต้สมมติฐาน 1) อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกขยายตัว 3.6-3.7%(ตามการคาดการณ์ของ IMF) 2) ราคาสินค้าวัตถุดิบอุตสาหกรรมโลก สูงขึ้น 1.3% และ 3) อัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 31.5 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ(ปัจจุบันอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทไทยเท่ากับ 32.7 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ)
ขณะที่คาดการณ์ว่า การส่งออกของไทยในไตรมาสที่ 2 ปี 2557 จะสามารถขยายตัวได้ 4.0-4.5% ที่มูลค่าประมาณ 58,600-58,900 ล้านดอลลาร์ จากที่ไตรมาสแรกการส่งออกติดลบ 1% ภายใต้สมมติฐานเดียวกัน และคาดว่าการส่งออกในช่วงครึ่งปีหลัง จะเติบโตได้ถึง 7-9% ที่มูลค่า 123,500-125,800 ล้านดอลลาร์ ซึ่งจะทำให้ทั้งปี 57 การส่งออกสามารถเติบโตได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ 5% พร้อมมองว่าหากสถานการณ์การเมืองในประเทศกลับสู่ภาวะปกติก็มีโอกาสที่ส่งออกปีนี้จะโตได้ถึง 10%
โดยสาเหตุหลักที่ทำให้เชื่อว่าการส่งออกในช่วงครึ่งหลังของปีนี้จะเติบโตได้สูง 7-9% เป็นผลมาจากแนวโน้มเศรษฐกิจโลกตามที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ(IMF) คาดการณ์ไว้ว่าเศรษฐกิจโลกในปีนี้จะฟื้นตัวขึ้นเป็น 3.6% เพิ่มขึ้นจากในปี 56 ที่เศรษฐกิจโลกเติบโตได้ 3.0% ซึ่งจะส่งผลดีต่อกำลังซื้อของประเทศคู่ค้าที่เป็นตลาดหลักของไทยให้สามารถนำเข้าสินค้าจากไทยได้เพิ่มมากขึ้น รวมทั้งแนวโน้มเงินบาทที่อ่อนค่า ซึ่งจะช่วยเอื้อต่อการส่งออกของไทยได้อีกทาง
และจากการสำรวจดัชนีคาดการณ์ภาวะธุรกิจส่งออก ซึ่งจัดทำโดยสำนักสารสนเทศและดัชนีเศรษฐกิจการค้า สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า พบว่า ผู้ประกอบการส่งออก 42.6% คาดว่าการส่งออกในไตรมาสที่ 2 ของปี 57(เม.ย.-มิ.ย.) จะดีขึ้น อีก 39.7% คาดว่าไม่เปลี่ยนแปลง และที่เหลือ 17.7% คาดว่าลดลง ทำให้ดัชนีคาดการณ์ภาวะธุรกิจส่งออกมีค่าเท่ากับ 62.4 แสดงว่าการส่งออกของไทยจะมีทิศทางที่ดีขึ้นซึ่งสอดคล้องกับคาดการณ์การส่งออกของไทยในไตรมาสที่ 2 ของปี 57
“เราคาดว่าส่งออกไตรมาส 2 จะฟื้นมาเป็นบวกที่ 4-4.5% และช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะโตได้ 7-9% ดังนั้นเฉลี่ยทั้งปีจึงน่าจะโตได้ถึง 5% ตามเป้าหมาย ซึ่งจากที่คุยกับภาคเอกชนก็ยังเชื่อมั่นว่าปีนี้ส่งออกจะโตได้ถึง 5%” ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ระบุ
อย่างไรก็ดี ปัจจัยที่จะต้องจับตามองซึ่งจะมีผลต่อการส่งออกในช่วงที่เหลือของปีนี้ คือ ความไม่แน่นอนของปัญหาการเมืองในประเทศ, ภาวะภัยแล้ง, สถานการณ์ที่ตึงเครียดระหว่างยูเครนกับรัสเซีย, การที่สินค้าไทยถูกสหรัฐฯ ตัดสิทธิ GSP และความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยลดลง แต่ทั้งนี้ยังพอมีปัจจัยบวกที่ช่วยหนุนการส่งออกของไทยได้ คือ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและประเทศคู่ค้าหลัก เช่น สหรัฐ, สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น, ปัญหาการระบาดในโรคกุ้งทะเลตายด่วนได้เริ่มคลี่คลายลง และญี่ปุ่นเปิดตลาดไก่สด
ทั้งนี้ IMF คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกในปีนี้จะเติบโตได้ 3.6% โดยเป็นผลจากเศรษฐกิจสหรัฐ โต 2.8% เศรษฐกิจสหภาพยุโรป โต 1.2% เศรษฐกิจญี่ปุ่น โต 1.4% และเศรษฐกิจอาเซียน โต 6.7%
ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวต่อว่า นายกรัฐมนตรีมีความเป็นห่วงต่อสถานการณ์การส่งออกของไทย เนื่องจากประเทศไทยยังจำเป็นต้องพึ่งพาการส่งออกในอัตราที่สูง ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องหันมาพัฒนาตลาดในประเทศที่เป็นตลาดขนาดกลางให้มากขึ้น เพราะมองว่ากำลังซื้อของผู้บริโภคในกลุ่มนี้ยังมีสูง ซึ่งสังเกตได้จากการเดินทางออกไปท่องเที่ยวยังต่างประเทศที่ช่วงวันหยุดยาว
"เศรษฐกิจไทยต้องได้รับการกระตุ้นจากทั้งภาคการส่งออกและการบริโภคภายในประเทศควบคู่กัน" ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ระบุ
อินโฟเควสท์