- Details
- Category: พาณิชย์
- Published: Tuesday, 09 February 2016 22:21
- Hits: 3011
พาณิชย์ปั้น 3 โครงการ ดันข้าวไรซ์เบอรี่ยึดตลาดสินค้าสุขภาพฮ่องกง
นางมาลี โชคล้ำเลิศ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ฮ่องกงเป็นตลาดหลักข้าวคุณภาพสูงของไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าวหอมมะลิ โดยฮ่องกงเป็นตลาดข้าวหอมมะลิใหญ่เป็นอันดับ 2 ของไทย รองจากสหรัฐอเมริกา ด้วยส่วนแบ่งในตลาดมากกว่าร้อยละ 56 และความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดระหว่างผู้ส่งออกไทยและผู้นำเข้าฮ่องกงมากว่า 50 ปี
“ปัจจุบันแนวโน้มการบริโภคข้าวคุณภาพสูงได้ขยายตัวไปยังข้าวสุขภาพ ข้าวออแกนิค ข้าวกล้อง และข้าวสีต่างๆ ซึ่งมีคุณประโยชน์แตกต่างกัน แม้ว่าแนวโน้มการบริโภคข้าวสวยในฮ่องกงจะลดลงบ้างในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ผู้บริโภครุ่นใหม่หันไปนิยมรับประทานขนมปังและเส้นเพิ่มมากขึ้นตามสภาพความเป็นอยู่ที่เร่งรีบ แต่สิ่งเหล่านี้กำลังจะเป็นโอกาสทองของข้าวกล้องไทย โดยเฉพาะข้าวไรซ์เบอรี่ และแป้งข้าวไรซ์เบอรี่ เนื่องจากมีคุณประโยชน์ทางโภชนาการสูง อาทิ โอเมก้า3 ธาตุสังกะสี เหล็ก วิตามินอี บี1 ฯลฯ อีกทั้งตัวแป้งสามารถนำมาทำเป็นขนมปังและอาหารประเภทอื่นๆ ได้อย่างหลากหลายมีกลิ่นหอมและรสชาติอมหวาน อร่อยกว่าแป้งสาลีมาก” อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศกล่าว
นายวิทยากร มณีเนตร ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ เมืองฮ่องกง (สคร. ฮ่องกง) กล่าวว่า จากยุทธศาสตร์ Demand Driven สู่กลยุทธ์การเจาะตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ ในปี 2559 นี้ สคร. ฮ่องกง ได้วางแผนดำเนินโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อผลักดันการขยายตลาดข้าวไรซ์เบอรี่ในฮ่องกง โดยแบ่งเป็นการเจาะกลุ่มลูกค้าทั้งในส่วนตลาดบน ตลาดกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจเรื่องสุขภาพ และตลาดผู้รักสุขภาพทั่วไป ตลอดจนการเชิญสื่อมวลชนสายไลฟ์สไตล์ อาหาร สุขภาพ และบล๊อกเกอร์รายสำคัญเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ อย่างต่อเนื่อง
โครงการแรกได้แก่ โครงการประชาสัมพันธ์ข้าวไรซ์เบอรี่ในงานไทยเฟสติวัล ระหว่างวันที่ 5 – 30 เมษายน 2559 ณ โรงแรมมีร่า โดยสคร. ฮ่องกงร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ณ เมืองฮ่องกง โรงแรมมีร่า และผู้นำเข้าข้าวไรซ์เบอรี่ในฮ่องกง จัดเทศกาลประชาสัมพันธ์อาหารและการท่องเที่ยวไทยขึ้น ไฮไลท์ของงานคือการนำข้าวไรซ์เบอรี่และแป้งจากข้าวชนิดดังกล่าวมาทำเมนูอาหารและขนมปัง เพื่อเจาะตลาดระดับบน ให้ทราบถึงประโยชน์ของข้าวชนิดนี้ นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมสอนทำอาหารจากข้าวไรซ์เบอรี่ และโปรแกรมเดินทางไปเที่ยวชมแหล่งปลูกข้าวไรซ์เบอรี่ที่ประเทศไทยด้วย ซึ่งนับเป็นการผสมผสานการค้าและการท่องเที่ยวเข้าด้วยกันตามนโยบายของรัฐบาล
โครงการที่สองได้แก่ โครงการประชาสัมพันธ์ข้าวไรซ์เบอรี่ร่วมกับห้าง AEON สคร. ฮ่องกง ได้คัดเลือกห้าง AEON ดำเนินกิจกรรมดังกล่าว เนื่องจากเป็นห้างระดับกลาง – บน มีกลุ่มลูกค้าที่รักสุขภาพ และภายในห้างได้จัดสัดส่วนของสินค้าออแกนิคไว้ชัดเจน ซึ่งจะมีการจัดกิจกรรมการสาธิตการปรุงอาหารจากข้าวไรซ์เบอรี่และการนำผลิตภัณฑ์สินค้าประเภท Ready to Cook มาจัดแสดงและจำหน่ายในระหว่างเดือนพฤษภาคม-มิถุนายนนี้
นอกจากนี้ ยังมีโครงการพัฒนาข้าว/แป้งไรซ์เบอรี่ร่วมกับ Maxim’s Group โดยสคร. ฮ่องกงได้จับมือกับผู้เกี่ยวข้อง 3 ฝ่ายได้แก่ ผู้นำเข้า ผู้ประกอบการไทย และบริษัท Maxim’s Group ซึ่งเป็นเจ้าของเครือข่ายร้านอาหารและเบเกอรี่ที่ใหญ่ที่สุดในฮ่องกง มีสาขาถึง 380 สาขา รวมถึงเป็นผู้ถือแฟรนไชน์ Starbucks ในฮ่องกง เพื่อนำข้าว/แป้งจากข้าวไรซ์เบอรี่มาทำเป็นอาหารและขนมชนิดต่างๆ ทั้งขนมปัง ครัวซอง มัฟฟิ้น คุ้กกี้ เค้ก เป็นต้น ตลอดจนการทำขนมไหว้พระจันทร์เพื่อจำหน่ายในร้านอาหารและเบเกอรี่ของกลุ่ม Maxim’s Group โดยคาดว่าจะดำเนินการในช่วงเดือนกรกฎาคมเป็นต้นไป
แม้ว่า จะยังไม่มีการแยกสถิติการนำเข้าข้าวไรซ์เบอรี่โดยเฉพาะ แต่ตลาดข้าวสุขภาพ/ข้าวออแกนิคในฮ่องกงเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาทั้งด้านปริมาณและมูลค่า ในปี 2558 ฮ่องกงนำเข้าข้าวประเภทดังกล่าวรวมทั้งสิ้น 2,215 ตัน เพิ่มขึ้นจากปี 2557 ที่นำเข้า 1,985 ตันหรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.7 โดยไทยเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ครองส่วนแบ่งตลาดมากกว่าร้อยละ 92.2 ในขณะที่สหรัฐอเมริกาและแคนาดาเป็นอันดับ 2 และ 3
ในขณะที่ด้านมูลค่าการนำเข้าของข้าวชนิดนี้ในฮ่องกง เมื่อปี 2558 สูงถึง 299.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราคาเฉลี่ย 1,352.3 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน ในขณะที่ราคาข้าวหอมมะลิในปี 2558 เฉลี่ย 914.6 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน ซึ่งจะเห็นได้ว่าราคาข้าวสุขภาพ/ข้าวออแกนิคมีราคาสูงกว่าข้าวหอมมะลิถึงร้อยละ 40 และราคาขายปลีกสูงกว่าร้อยละ 100 ขึ้นไป โดยไทยเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่มีส่วนแบ่งตลาดมากกว่าร้อยละ 84.4 และมีอัตราการขยายตัวร้อยละ 12.8
Hong Kong Organic Resource Center ได้รายงานพฤติกรรมผู้บริโภคสินค้าออแกนิคในฮ่องกงว่า อัตราการขยายตัวของตลาดสินค้าดังกล่าวในปี 2558 เพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 18.4 ซึ่งขยายตัวอย่างต่อเนื่องในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา และพฤติกรรมการเลือกซื้อสินค้าดังกล่าวส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญกับเครื่องหมายรับรองออแกนิคบนฉลากสินค้าเป็นอันดับแรก (ร้อยละ 80.5) และยอมจ่ายสูงกว่าสินค้าปกติหากมีเครื่องหมายดังกล่าว
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย