WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

Gสมคด สมคิด สั่งลุยส่งออกปีนี้โต 5%ยันไม่ลดเป้าแม้ศก.โลกยังไม่ดี-กำลังซื้ออ่อน

    นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวในการมอบนโยบายแก่ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ(ทูตพาณิชย์) โดยยืนยันที่จะกำหนดเป้าหมายการส่งออกของไทยในปีนี้ไว้ที่ 5% แม้จะยอมรับว่าสถานการณ์เศรษฐกิจโลกในปีนี้อาจจะยังเติบโตได้ไม่ดีนัก ทำให้คู่ค้ากำลังซื้ออ่อนลง โดยล่าสุดกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจโลกในปีนี้ลงเหลือโต 3.4%

      นายสมคิด ขอให้ทุกฝ่ายทั้งภาครัฐและเอกชนร่วมมือกันอย่างเต็มที่ ใช้วิกฤติที่เกิดขึ้นเป็นโอกาสในการพัฒนาสินค้า เจาะลึกรายตลาดสินค้า ให้ความสำคัญกับการค้าชายแดน และส่งเสริมให้ผู้ประกอบการ SMEs เข้ามาอยู่ในระบบการค้าแบบ E-commerce มากขึ้น เพื่อเป็นการสร้างนักรบใหม่ หรือ new exporter ให้เข้ามามีส่วนช่วยในการผลักดันการส่งออกของไทยในปีนี้ได้มากขึ้น

     "ปีนี้เราจะวิ่งเต็มที่ ไม่ลดเป้า ผมไม่ concern ว่าจะได้กี่เปอร์เซ็นต์ แต่ขอให้วิ่งให้เต็มที่" รองนายกรัฐมนตรี กล่าว

     ขณะที่กระทรวงพาณิชย์ คาดส่งออกไทยปี 58 ติดลบ 5.5-5.8% มูลค่า 2.14-2.15 แสนล้านดอลล์

       นายสมคิด กล่าวว่า ในปี 58 ที่ผ่านมา แม้การส่งออกของไทยจะติดลบประมาณ 5-6% แต่ถือว่าอยู่ในอันดับที่ดีกว่าประเทศอื่นๆ มาก เนื่องจากมีข้อมูลพบว่าประเทศไทยในฐานะที่เป็นประเทศผู้ส่งออกรายใหญ่ มีการส่งออกในปีที่ผ่านมาเป็นอันดับ 4 ของโลก เป็นรองแค่จีน, ฮ่องกง และเม็กซิโก ในขณะที่หลายประเทศการส่งออกติดลบมากกว่าระดับ 10% เช่น รัสเซีย อินเดีย เป็นต้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าฐานการส่งออกของไทยยังอยู่ในระดับที่เข้มแข็ง

     อย่างไรก็ดี ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่โลกที่อาจยังไม่ฟื้นตัวดีนักในปีนี้ กระทรวงพาณิชย์จะต้องมีการปรับกลยุทธ์สำหรับการส่งออกด้วยการเจาะลึกสินค้าในรายตลาดให้มากขึ้น ทั้งที่เป็นตลาดหลักๆ เช่น ตลาดสหรัฐ, จีน และญี่ปุ่น รวมทั้งตลาดในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน(CLMV หรือ กัมพูชา, ลาว, เมียนมาร์ และเวียดนาม) รวมทั้งเพิ่มจำนวนบุคลากรในสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศในประเทศต่างๆ ที่มีความจำเป็น

     "ต้องทำวิกฤติให้เป็นโอกาส เราต้องมองในแง่บวก ในเมื่อพรุ่งนี้เศรษฐกิจยังไม่ดี เราต้องเอาช่วงเวลานี้มาสร้างสิ่งใหม่ๆ รองรับอนาคตข้างหน้า อย่ามัวแต่กอดเข่า กลัวแต่ว่าวันหน้าจะแย่ ถ้าคิดแบบนั้น วันหน้าก็ไม่ต้องทำอะไรกัน" รองนายกรัฐมนตรี กล่าว

      พร้อมกันนี้ ได้เน้นเรื่องของการทำการค้าผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์(E-commerce) โดยต้องการให้สินค้าจากผู้ผลิตที่เป็น SMEs ได้เข้าไปมีโอกาสขยายตลาดในระดับต่างประเทศมากขึ้น ซึ่งการทำการค้าผ่าน E-commerce นี้จะช่วยทำให้สินค้าของผู้ประกอบการทั้งระดับ SMEs หรือในระดับชุมชนสามารถเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางมากขึ้นในตลาดโลก เพราะในอนาคตการค้าระบบนี้จะเริ่มเข้ามาทดแทนการค้าในแบบปกติหรือการขายสินค้าผ่านหน้าร้านมากขึ้น แต่ทั้งนี้จะต้องอาศัยความร่วมมือจากกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(ไอซีที) และกระทรวงอุตสาหกรรม ในการเชื่อมโยงสินค้าของผู้ประกอบการไทยเข้าสู่เว็บไซต์ที่เป็นตัวกลางในการจำหน่ายสินค้าซึ่งเป็นที่รู้จักและนิยมกันอย่างแพร่หลายในทั่วโลก เช่น อาลีบาบา โดยต้องการจะเห็นผลงานที่เป็นรูปเป็นร่างภายใน 3 เดือนนับจากนี้

      นายสมคิด กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ยังต้องการให้สินค้าเกษตรของไทยโดยเฉพาะผลไม้ไทยได้ก้าวเข้าสู่เวทีโลกมากขึ้น ซึ่งจะเป็นการเชื่อมโยงระหว่างเกษตรกรหรือแหล่งเพาะปลูกพืชผลทางการเกษตรกับร้านค้าในต่างประเทศ หรือ outlet ที่จำหน่ายพืชผัก-ผลไม้โดยตรง ลดขั้นตอนในการจำหน่ายผ่านพ่อค้าคนกลาง เพื่อให้รายได้เข้าถึงเกษตรกรได้โดยตรงมากขึ้น

     ด้านนางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์พร้อมที่จะดำเนินตามนโยบายดังกล่าวของรัฐบาลในการเร่งผลักดันการส่งออก โดยที่ผ่านมาได้มีการวางยุทธศาสตร์และดำเนินโครงการต่างๆ เพื่อเจาะตลาดเก่าและแสวงหาตลาดใหม่ๆ เพิ่มเติม โดยในปีนี้กระทรวงพาณิชย์ได้ตั้งเป้าหมายการส่งออกไว้ที่ 5%

       รมว.พาณิชย์ ยังกล่าวถึงการเชื่อมโยงสินค้าเกษตรไทยสู่ตลาดโลกว่า กระทรวงพาณิชย์เตรียมจะเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อขอจัดสรรงบประมาณราว 700 ล้านบาท สำหรับมาใช้ในการดำเนินโครงการจัดสร้างศูนย์กระจายสินค้าเกษตร ซึ่งจะเป็นการเชื่อมโยงสินค้าเกษตรไทยสู่สากลและยกระดับราคาสินค้าเกษตรของไทย โดยศูนย์กระจายสินค้านี้จะมีการจัดสร้างคลังเก็บสินค้าเกษตร ห้องเย็น รวมทั้งช่วยดูแลเรื่องการขนส่งสินค้า และการบรรจุหีบห่อ ซึ่งได้วางเป้าหมายการจัดสร้างศูนย์กระจายสินค้าเกษตรไว้เบื้องต้นไว้ใน 5 จังหวัด คือ เชียงราย, อุดรธานี, ราชบุรี, จันทบุรี และนครศรีธรรมราช

     "เรากำลังจะเสนอของบประมาณเพิ่มเติมเพื่อเข้ามาช่วยเหลือในภาคเกษตร โดยจะสร้างศูนย์กระจายสินค้าไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เราจะพัฒนาตลาดพืชผลเกษตรในระดับชุมชน ดูแลตั้งแต่การเก็บเกี่ยว รวบรวมผลผลิต เชื่อมโยงสู่ตลาดกลางผัก-ผลไม้ ซึ่งจะทำให้เกิดการพัฒนาตลาดสินค้าเกษตร เพิ่มช่องทางการจำหน่ายได้มากขึ้น" รมว.พาณิชย์ ระบุ

     นางมาลี โชคล้ำเลิศ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กล่าวด้วยว่า ในการประชุมทูตพาณิชย์ครั้งนี้ สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า ได้นำเสนอภาพรวมเศรษฐกิจโลกและแนวโน้มการค้าโลก ในขณะที่นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานภาคเอกชนในคณะทำงานด้านการส่งเสริมการส่งออกและการลงทุนในต่างประเทศ ได้นำเสนอแนวทางการผลักดันการส่งออกและการลงทุนในต่างประเทศของภาคเอกชน ซึ่งจะมีการดำเนินงานอย่างใกล้ชิดร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ ภายใต้กลไกของคณะทำงานฯ และกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ได้นำเสอนแนวทางการปฏิรูปการค้า และแผนงานของกรมฯ ในแต่ละภูมิภาคหลัก เพื่อผลักดันให้การส่งออกของไทยในปีนี้ขยายตัวได้ 5% ตามเป้าหมาย

     อย่างไรก็ดี ยอมรับว่าเป้าหมายที่ 5% เป็นเป้าหมายที่ท้าทายมาก เนื่องจากในปีนี้มีปัจจัยเสี่ยงจากภายนอกที่ส่งผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศอยู่พอสมควร ทั้งราคาน้ำมันที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะเศรษฐกิจจีนและสหภาพยุโรปที่เป็นคู่ค้าหลักของไทย ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ รวมทั้งค่าเงินผันผวน

     "เชื่อมั่นว่า จากแนวนโยบายของรองนายกรัฐมนตรี แผนงานของกรมฯ และภาคเอกชนที่ร่วมกันระดมสมองปรับกลยุทธ์เพื่อเร่งรัดการส่งออกในครั้งนี้ ประกอบกับปัจจัยบวก เช่น การขยายตัวของตลาดอาเซียนอย่างมีเสถียรภาพ โดยเฉพาะกลุ่ม CLMV และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะช่วยขับเคลื่อนการส่งออกให้บรรลุเป้าหมายได้" นางมาลี กล่าว

       สำหรับ ภารกิจของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศที่เพิ่มเติม นอกเหนือจากการจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาด ได้แก่ การส่งเสริมผู้ประกอบการไทยไปลงทุนในต่างประเทศ ในส่วนของ Non-Manufacturing Sector เช่น การเปิดธุรกิจหรือเฟรสไชส์ในต่างประเทศ รวมถึงการตั้งผู้แทนจัดจำหน่ายสินค้า การสนับสนุนการส่งออกบริการใน 6 ด้านหลัก(ธุรกิจด้านสุขภาพ, บันเทิงและดิจิทัลคอนเทนท์, ธุรกิจการจัดงาน, โลจิสติกส์, ธุรกิจการศึกษา และธุรกิจบริการวิชาชีพ) การยกระดับการให้บริการข้อมูลและคำปรึกษา จากเดิมที่เป็นเพียงการให้ความรู้เกี่ยวกับสินค้าและตลาดในระดับพื้นฐานรายอุตสาหกรรมในภาพกว้างสู่การเป็นหน่วยงานอัจฉริยา ซึ่งสามารถให้ข้อมูลเป็นรายธุรกิจ โดยพัฒนาการให้บริการข้อมูลเชิงลึกแก่ผู้ประกอบการที่ครอบคลุม Value chain ด้านการส่งออกและการไปลงทุนในต่างประเทศ การส่งเสริมธุรกิจ E-commerce ผ่านเว็บไซต์ thaitrade.com นำไปสู่มูลค่าการส่งออกที่เพิ่มขึ้นจากการค้าออนไลน์ รวมทั้งการสนับสนุนด้านการเงินแก่ผู้ประกอบการ SMEs ผ่านกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และโครงการ SMEs Proactive

                อินโฟเควสท์

ทูตพาณิชย์ ทำแผนเสนอ'สมคิด'-'พม่า-อินเดีย'สดใส-เซี่ยงไฮ้กำลังซื้อยังมีพณ.บุก 10 ตลาดส่งออก

     แนวหน้า ; สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ จัดเวทีเสวนา ชี้ช่องผู้ส่งออกและนักลงทุนไทย เจาะตลาด 10 ภูมิภาค ทั่วโลก ที่มีโอกาสขยายตัว เผยพม่ายังเนื้อหอม โดยเฉพาะธุรกิจบริการ-เกษตร ขณะที่ผู้บริโภคก็นิยมสินค้าจากไทย ส่วนตลาดอินเดีย ต้องเน้นให้มาก เหตุศก.โตปีละ 7-8% ส่วนจีนยังมีกำลังซื้อ โดยเฉพาะ หัวเมืองระดับรอง ที่รัฐบาลปักกิ่ง พยายามจะกระจายความเจริญลงไป ฝรั่งเศส สั่งซื้อ รถตุ๊กตุ๊กไฟฟ้า

     ผู้สื่อข่าวรายงาน เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2559 ได้มีการจัดงานสัมมนาเรื่อง "พบทูตพาณิชย์พิชิตตลาดโลก...เจาะลึกประเภทอุตสาหกรรม และกิจกรรมให้ คำปรึกษารายภูมิภาค หรือ (Export Clinic)" ซึ่งจัดขึ้น ระหว่างการประชุมผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ หรือทูตพาณิชย์ เพื่อพิจารณา แผนงานส่งเสริมการส่งออกปี 2559 โดยมีทูตพาณิชย์มาให้ความรู้เกี่ยวกับตลาดและอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพเป็นรายภูมิภาค แบ่งเป็น 10 ภูมิภาค ได้แก่ ตลาดอาเซียน ตลาดจีน (รวมฮ่องกงและไต้หวัน) ตลาดยุโรป ตลาดแอฟริกา ตลาดเอเชียตะวันออกและโอเชียเนีย ตลาดตะวันออกกลาง ตลาดเอเชียใต้ ตลาดรัสเซีย ตลาด ลาตินอเมริกา และตลาดอเมริกาเหนือ

     นายผกายเนติ์ เล่งอี้ ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ประจำกรุงย่างกุ้ง สหภาพเมียนมา กล่าวว่า ตั้งเป้าการส่งออกไปตลาดเมียนมาปีนี้ขยายตัว 12% จากปีที่ผ่านมา ซึ่งมีมูลค่าการส่งออกในช่วง 11 เดือนที่ผ่านมากว่า 3,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่มูลค่าการค้าระหว่างกันมีสูงถึง 7,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเศรษฐกิจเมียนมาขณะนี้ มีการเติบโตดี หลังการเลือกตั้งและถือว่าเป็นโอกาสดีกับภาคธุรกิจในการเข้าไปลงทุนและส่งออก เพื่อทดแทนตลาดหลักที่ยังชะลอตัว เพราะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลก ซึ่งเอกชนไทยมีความตื่นตัวและขอคำปรึกษาในการเข้าไปลงทุนถึงวันละ 5-6 ราย

     สำหรับ กลุ่มธุรกิจที่เข้าไปลงทุนสูง คือ กลุ่มธุรกิจ ภาคเกษตรและธุรกิจบริการ โดยสินค้าอุปโภคบริโภค เครื่องดื่ม ของไทยได้รับความนิยมสูง และถือว่าสินค้าไทยมีส่วนแบ่งการตลาดในเมียนมาค่อนข้างสูง จึงถือเป็นโอกาสในการเข้าไปทำธุรกิจของไทยอย่างมาก โดยเฉพาะ ธุรกิจแฟรนไชส์ แต่ไทยต้องหาพันธมิตรท้องถิ่นในการร่วมลงทุนด้วย นอกจากนี้ ผู้ประกอบการอาจมีความยากลำบากและระมัดระวังเกี่ยวกับการทำธุรกรรมทางการเงินจากการนำเงินเข้าออกประเทศเมียนมา

        ด้านนางสาวบุณิกา แจ่มใส ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ประจำนครเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน กล่าวว่า เศรษฐกิจจีนประสบปัญหาชะลอตัวตั้งแต่ช่วงปลายปี แต่รัฐบาลมีนโยบายในการพยุงเศรษฐกิจไม่ให้ตกต่ำมาก ทั้งการปฏิรูปเศรษฐกิจ สังคม ภาคการเงิน และนโยบายลูกคนที่ 2 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ ประกอบกับ จีนมีนโยบายกระจายความเป็นเมืองสู่ชนบท ซึ่งตรงกับนโยบายการส่งเสริมการส่งออกของกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งเศรษฐกิจเมืองรองยังขยายตัว แต่สินค้าที่ไทยส่งไปจีนจะต้องเน้นคุณภาพ สร้างความน่าเชื่อถือ เพราะอำนาจการซื้อของจีนยังสูง ดังนั้น ราคาอาจไม่ใช่ปัญหาหลัก เพราะจีนต้องการสินค้าคุณภาพ โดยสินค้าหลักที่จีนต้องการ คืออาหารสำเร็จรูป เสื้อผ้า เครื่องหนัง อัญมณี

     นอกจากนี้ ช่องทางการค้าขายสินค้ากับจีนผ่านทางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ หรืออี-คอมเมิร์ซ รวมถึงแอพพลิเคชั่น และช่องทางออนไลน์ กำลังได้รับความนิยมสูงจากจีน ซึ่งผู้ประกอบการคนไทยควรใช้ช่องทางดังกล่าวในการค้าด้วย ทั้งนี้ อัตราการเติบโตของจีนมีการคาดการณ์ว่าจะขยายตัว 6.76% ปีนี้ และเศรษฐกิจจีนใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก และช่วยพยุงเศรษฐกิจโลกได้ และคาดว่าการส่งออกจากไทยไปจีนปีนี้น่าจะขยายตัวไม่ต่ำกว่า 3.5% ซึ่งจะนำแผนงานและเป้าหมายการส่งออกดังกล่าวเสนอนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีเศรษฐกิจ วันที่ 20 ม.ค.

     นางสาวสุวิมล ติลกเรืองชัย ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ เมือง มุมไบ อินเดีย กล่าวว่า ตลาดอินเดียถือเป็นประเทศเป้าหมายหลักของไทยในการผลักดันการส่งออก ด้วยเศรษฐกิจที่ขยายตัวแบบก้าวกระโดดท่ามกลางเศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัว โดยในปีที่ผ่านมาขยายตัวถึง 7% และปีนี้คาดว่าเศรษฐกิจอินเดียจะขยายตัว 7-8% เพราะ ขณะนี้รัฐบาลอินเดียเปิดรับการค้าและการลงทุน รวมทั้งกำลังพยายามสร้างให้เกิดเอสเอ็มอีรายใหม่ขึ้น ทำให้อินเดียเป็นตลาดที่สดใส และมีศักยภาพมาก ที่ผู้ประกอบการไทยสามารถเข้าไปทำตลาดได้ทันที โดยเฉพาะกลุ่มอาหาร โดยปีนี้กระทรวงพาณิชย์ตั้งเป้าผลักดันการส่งออกไปตลาดอินเดียให้ขยายตัวถึง 9% จากปี 2558 ที่ยังติดลบ

         ด้านนางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทผู้นำเข้ารถยนต์ในฝรั่งเศสได้นำเข้ารถตุ๊กตุ๊ก พลังงานไฟฟ้าจากไทยไปจดทะเบียนพาหนะในฝรั่งเศส ก่อนที่จะมีคำสั่งซื้อ (ออเดอร์) ไปจำหน่ายในกลุ่มประเทศยุโรป (อียู) โดยมีราคาเบื้องต้น คันละ 8,000 ยูโร หรือกว่า 300,000 บาท เพื่อใช้เป็นรถวิ่งระหว่างโรงแรม, สนามกอล์ฟ และในเมืองท่องเที่ยว เนื่องจากฝรั่งเศสมองว่าในอนาคตรถตุ๊กตุ๊กรถไฟฟ้าจะเป็นที่ต้องการมากในเมืองท่องเที่ยว เพราะใช้พลังงานสะอาด ไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสามารถลัดเลาะไปตามถนนเล็กได้ สำหรับสินค้าอื่นๆ ที่ได้มีการนำนวัตกรรมมาเพิ่มมูลค่า เช่น นวัตกรรมการแปรรูปเศษเหลือใช้ประเภท ข้อต่อกระดูกไก่ เอ็น นำมาป่นและผ่านกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ส่งไปขายที่ประเทศเยอรมนี เพื่อนำไปเป็นส่วนผสมของอาหารเสริมสำหรับผู้ป่วยโรคไขข้อ

      นางอภิรดี กล่าวว่า ขณะนี้กระทรวงพาณิชย์มีสำนักงานผู้แทนประจำอยู่ในประเทศทั่วโลก จำนวน 65 แห่ง และพร้อมที่จะหาช่องทางการจำหน่ายสินค้าที่มีนวัตกรรมใหม่ๆของไทย โดยในช่วงปลายเดือน ม.ค.-ก.พ. นี้จะเน้นเรื่องของการนำคณะนักธุรกิจในกลุ่มยางพารา และอุตสาหกรรมแปรรูปยางมาพบปะกับภาคเอกชนไทย โดยเฉพาะในเรื่องของการแปรรูปเป็น สินค้าใหม่ๆ เพื่อช่วยให้เกษตรสามารถขายวัตถุดิบได้ในราคาที่สูงขึ้น

พาณิชย์ ระดมสมองส่งออกปีลิง

        บ้านเมือง : ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในงานสัมมนา "พบทูตพาณิชย์พิชิตตลาดโลก. เจาะลึกประเภทอุตสาหกรรม และกิจกรรมให้คำปรึกษารายภูมิภาค หรือ (Export Clinic " จัดขึ้นระหว่างการประชุมผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ หรือทูตพาณิชย์ เพื่อพิจารณาแผนงานส่งเสริมการส่งออกปี 2559 โดยจะมีทูตพาณิชย์มาให้ความรู้เกี่ยวกับตลาดและอุตสาหกรรมศักยภาพเป็นรายภูมิภาค แบ่งเป็น 10 ภูมิภาค ได้แก่ ตลาดอาเซียน ตลาดจีน (รวมฮ่องกงและไต้หวัน) ตลาดยุโรป ตลาดแอฟริกา ตลาดเอเชียตะวันออกและโอเชียเนีย ตลาดตะวันออกกลาง ตลาดเอเชียใต้ ตลาดรัสเซีย ตลาด ลาตินอเมริกา และตลาดอเมริกาเหนือ เพื่อเป็นเวทีให้ผู้ประกอบการไทยรับรู้สถานการณ์กฎระเบียบทางการค้า การกีดกันการค้าที่เกี่ยวและไม่เกี่ยวภาษีในการทำตลาดได้ซักถามข้อสงสัย แนะนำการทำการค้าระหว่างประเทศให้สามารถแข่งขันได้

       นายผกายเนติ์ เล่งอี้ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ประจำกรุงย่างกุ้ง สหภาพเมียนมา กล่าวว่า ตั้งเป้าการส่งออกไปตลาดเมียนมาปีนี้ขยายตัว 12% จากปีที่ผ่านมา ซึ่งมีมูลค่าการส่งออกในช่วง 11 เดือนที่ผ่านมากว่า 3,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่มูลค่าการค้าระหว่างกันมีสูงถึง 7,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเศรษฐกิจเมียนมาขณะนี้มีการเติบโตดี หลังการเลือกตั้งและถือว่าเป็นโอกาสดีกับภาคธุรกิจในการเข้าไปลงทุนและส่งออก เพื่อทดแทนตลาดหลักที่ยังชะลอตัว เพราะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลก ซึ่งเอกชนไทยมีความตื่นตัวและขอคำปรึกษาในการเข้าไปลงทุนถึงวันละ 5-6 ราย

       สำหรับ กลุ่มธุรกิจที่เข้าไปลงทุนสูง คือ กลุ่มธุรกิจภาคเกษตรและธุรกิจบริการ โดยสินค้าอุปโภคบริโภค เครื่องดื่ม ของไทยได้รับความนิยมสูง และถือว่าสินค้าไทยมีส่วนแบ่งการตลาดในเมียนมาค่อนข้างสูง จึงถือเป็นโอกาสในการเข้าไปทำธุรกิจของไทยอย่างมาก โดยเฉพาะธุรกิจแฟรนไชส์ แต่ไทยต้องหาพันธมิตรท้องถิ่นในการร่วมลงทุนด้วย นอกจากนี้ ผู้ประกอบการอาจมีความยากลำบากและระมัดระวังเกี่ยวกับการทำธุรกรรมทางการเงินจากการนำเงินเข้าออกประเทศเมียนมา

       ด้านนส.บุณิกา แจ่มใส ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ประจำนครเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน กล่าวว่า เศรษฐกิจจีนประสบปัญหาชะลอตัวตั้งแต่ช่วงปลายปี แต่รัฐบาลมีนโยบายในการพยุงเศรษฐกิจไม่ให้ตกต่ำมาก ทั้งการปฏิรูปเศรษฐกิจ สังคม ภาคการเงิน และนโยบายลูกคนที่ 2 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ ประกอบกับ จีนมีนโยบายกระจายความเป็นเมืองสู่ชนบท ซึ่งตรงกับนโยบายการส่งเสริมการส่งออกของกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งเศรษฐกิจเมืองรองยังขยายตัว แต่สินค้าที่ไทยส่งไปจีนจะต้องเน้นคุณภาพ สร้างความน่าเชื่อถือ เพราะอำนาจการซื้อของจีนยังสูง ดังนั้น ราคาอาจไม่ใช่ปัญหาหลัก เพราะจีนต้องการสินค้าคุณภาพ โดยสินค้าหลักที่จีนต้องการ คืออาหารสำเร็จรูป เสื้อผ้า เครื่องหนัง อัญมณี

'สมคิด'สั่งพาณิชย์เจาะตลาดอาเซียน หลังพบอัตราเติบโตศก.เฉลี่ยปีละ 6-7% เล็งเพิ่มช่องทางการเงินให้ผู้ประกอบการไทย

     'สมคิด'สั่งพาณิชย์เจาะตลาดอาเซียน หลังพบอัตราเติบโตศก.ปีละเฉลี่ย 6-7% เล็งเพิ่มช่องทางการเงินให้ผู้ประกอบการไทย  เดินหน้าทำความเข้าใจกับประชาชนเกี่ยวกับ อีคอมเมิร์ซ เร่งทำบอร์ดแบรนด์ครอบคลุมเพื่อเพิ่มช่องทางจำหน่ายสินค้า 

    นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้กระทรวงพาณิชย์เข้าไปเจาะตลาดอาเซียน ที่ปัจจุบันมีมูลค่าการค้าค่อนข้างสูง เนื่องจากปัจจุบันเศรษฐกิจกลุ่มประเทศดังกล่าวมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 6-7% ต่อปี ซึ่งหากพบว่า การเจาะกลุ่มในเชิงลึกนัั้นหากขาดกำลังคน อยากให้จ้างพนักงานท้องถิ่นเป็นการชั่วคราว โดยมองว่าการสร้างรากฐานการเจาะตลาดกลุ่มดังกล่าวนั้นจะต้องวางรากฐานอย่างน้อย 3 ปีหลังจากนี้ไป โดยต้องการให้กระทรวงพาณิชย์แต่งตั้งคนมาดูแลเรื่องดังกล่าวเป็นการเฉพาะส่วน

   ขณะที่การค้าชายแดนที่มีบทบาทสำคัญ เช่น สระแก้ว อรัญประเทศ พื้นที่ทางเหนือ ใต้ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พบว่า เศรษฐกิจสามารถเติบโตได้ด้วยตนเอง โดยผ่านการขับเคลื่อนจากภาคเอกชนสู่ภาคเอกชน ขณะที่การเข้าไปช่วยสนับสนุนในส่วนของบรรยากาศการค้านั้นยังมีน้อย ดังนั้นต้องการให้กระทรวงพาณิชย์เข้าไปช่วยในการสร้างบรรยากาศการค้าขายให้มีความคึกคักมากยิ่งขึ้น หรือ ให้เกิดโมเดินเทรดในอนาคต

      “ในขณะที่ยังไม่มีการพัฒนาจากภาครัฐในเรื่องของการเจาะตลาดอาเซียน หรือ การค้าชายแแดน จึงทำให้บรรยากาศไม่คึกคักมากนัก ดังนั้นจึงอยากให้มีนโยบาย มาตรการสนับสนุนต่างๆออกมาจากกระทรวงพาณิชย์ โดยมองว่าแม้นโยบายดังกล่าวจะไม่เห็นผลระยะสั้น แต่เชื่อว่าจะเป็นการสร้างฐานการพัฒนาการค้าการลงทุนระยะยาวนายสมคิด กล่าว

     นายสมคิด กล่าวเพิ่มเติมว่า ส่วนการเจรจาการค้าจากนี้ไป มีความต้องการให้ระดับสูง หรือระดับผู้นำเป็นตัวเดินหน้านำเอกชน เพื่อเข้าไปติดต่อ ประสานงาน เช่น สถาบันการเงิน กระทรวงการคลังต่างประเทศที่จะเข้าไปลงทุน เนื่องจากที่ผ่านมานั้น เมื่อมีความต้องการออกไปเจาะตลาดใหม่ๆ แต่พบว่ายังมีอุปสรรคต่างๆ ทั้งในเรื่องของกฎหมาย การประสานงาน ความคล่องตัวในเรื่องของสถาบันการเงิน เนื่องจากบางประเทศยังไม่มีสถาบันการเงินของไทยเข้าไปเปิดให้บริการ

   ดังนั้น สิ่งที่ภาคเอกชนต้องการให้ภาครัฐเข้าไปช่วยเหลือมากขึ้น คือการให้บริการทางด้านการเงิน โดยให้ภาครัฐของไทยเข้าไปช่วยประสานงาน ซึ่งในเรื่องดังกล่าว ยืนยันว่า ขณะนี้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี อยู่ระหว่างการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวอย่างจริงจัง

     ด้าน E-Commerce นั้น ขณะนี้มองว่า ชาวบ้านยังไม่เข้าใจในการดำเนินการ แต่มองว่า ในโลกปัจจุบันนั้น พฤติกรรมการค้าขายมีการซื้อขายสินค้าผ่านออนไลน์มากขึ้น โดยล่าสุด เมื่อวานนี้ที่ประชุมครม.มีมติอนุมัติให้กระทรวงเทคโนโลยีสื่อสารและสารสนเทศ หรือ ไอซีทีลงทุนในเรื่องของอินเทอร์เนต บอร์ดแบรน ซึ่งจะเป็นการเชื่อมโยงเครือข่ายอินเทอร์เนตไร้สายทั่วประเทศ โดยเบื้องต้นนั้นจะต้องเร่งดำเนินการว่าจะทำอย่างไรให้เอสเอ็มอีไทยรู้จักในการดำเนินการค้าขายในออนไลน์เพิ่มมากยิ่งขึ้น

   “เราต้องการให้เอสเอ็มอี วิสาหกิจชุมชน ที่ยังไม่สามารถออกไปต่างประเทศได้ มาพ่วงกับเว็บไซต์ที่จะมีการทำขึ้นไม่ว่าจะเป็นชื่อ ไทยเทรด หรือ ไทยแลนด์เบส เพื่อให้เอสเอ็มอีไทยเกาะกับลิงค์ดังกล่าว ในการขายสินค้า ซึ่งในอนาคตเราอาจจะสามารถเชื่อมกับอะเมซอน หรือ อาลีบาบาก็ได้ แต่ทั้งนี้การสร้างเว็ปดังกล่าวนั้นจะต้องให้รู้ทั่วถึงและมีความน่าเชื่อถือนายสมคิด กล่าว 

     นายสมคิด กล่าวเพิ่มเติมว่า ได้สั่งการให้กระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงไอซีที เพื่อเป็นสื่องกลางในการให้เอกชนเข้ามาร่วม โดยเบื้องต้นนั้นให้กระทรวงอุตสาหกรรมไปดูสินค้าที่มีคุณภาพ และสามารถนำเข้ามาโปรโมทเป็นสินค้าในเบื้องต้นได้ โดยตนต้องการให้เห็นความชัดเจนในการดำเนินการซื้อขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ ภายใน 3 เดือนหลังจากนี้ไป

สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!