- Details
- Category: พาณิชย์
- Published: Wednesday, 25 November 2015 22:29
- Hits: 3704
พาณิชย์ แจงเหตุเศรษฐกิจโลกทรุด-สินค้าเกษตรราคาร่วง-หวังปีหน้าฟื้นส่งออกต.ค.ติดลบ 8.11%
แนวหน้า : กระทรวงพาณิชย์ เผยตัวส่งออกเดือนตุลาคม ติดลบ 8.11% ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 10 ติดต่อกัน อ้างเจอสารพัดปัจจัยลบรุมซ้ำเติม ทั้งศก.โลกตกต่ำ ค่าเงินผันผวน น้ำมัน-สินค้าเกษตรราคาตกต่ำ หวังปีหน้าตัวเลขกลับมาเป็นบวก หลังระดมกำลังวางแนวทางลดอุปสรรคการค้า ทั้งเร่งโรดโชว์ เพื่อรักษาตลาดเดิม และหาตลาดใหม่
นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยสถานการณ์การค้าระหว่างประเทศ ประจำเดือน ต.ค. 2558 ว่า สถานการณ์ส่งออกในเดือน ต.ค. มีมูลค่า 18,556.2 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 8.11% เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งเป็นการติดลบต่อเนื่องกันเป็นเดือนที่ 10 เนื่องจากการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกยังเปราะบาง ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ยังคงตกต่ำ อัตราแลกเปลี่ยนที่ผันผวน ประเทศคู่ค้ายังมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ไม่สูง บางประเทศมีการติดลบต่อเนื่อง การนำเข้าของประเทศคู่ค้าลดลง รวมถึงสถานการณ์การก่อการร้ายที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นในหลายประเทศ ขณะที่มูลค่าส่งออก 10 เดือน (ม.ค.ต.ค. 2558) มีมูลค่า 180,129.3 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 5.32% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
"การส่งออกไทยในเดือนนี้ยังอยู่ในเกณฑ์ที่พอใช้ ตามปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อการส่งออก ทั้งเศรษฐกิจโลก ราคาน้ำมัน อัตราแลกเปลี่ยน ราคาสินค้าเกษตร โดยเฉพาะในเดือน ต.ค. 2557 ส่งออกไทยมีมูลค่าสูงถึง 20,206 ล้านเหรียญสหรัฐ เพราะในช่วงต้นปี การส่งออกชะลอตัวจากปัจจัยทางการเมือง และกลับมาฟื้นตัวในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2557 ทำให้ไตรมาสสุดท้ายของปี 2557 การส่งออกมีมูลค่าสูง และเป็นไตรมาสเดียวที่ขยายตัวเป็นบวก 1.58% แต่ทั้งนี้ ตัวเลขส่งออก ต.ค. 2558 กระทรวงยังไม่พอใจนัก แต่ก็ยอมรับว่าตัวเลขส่งออกของไทยยังดีกว่าหลายประเทศที่เป็นประเทศส่งออกสำคัญของโลก อีกทั้งส่วนแบ่งตลาดของไทยยังเพิ่มขึ้นในตลาดสำคัญ เช่น ญี่ปุ่น จีน สหรัฐ สหภาพยุโรป มาเลเซีย สิงคโปร์ เป็นต้น จึงมองว่า การส่งออกของไทยต่อจากนี้ไปน่าจะสูงขึ้นได้"
ทั้งนี้ มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรหดตัวตามราคาสินค้าเกษตรโลก โดยภาพรวมเดือน ต.ค.2558 ลดลง 10.3% ตามทิศทางของราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลกที่ยังคงชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าสินค้าเกษตรส่งออกสำคัญอย่างยางพาราจะมีปริมาณส่งออกสูงขึ้น แต่ราคายังคงอยู่ในระดับต่ำ ทำให้มูลค่าการส่งออกหดตัวลง โดยยางพารา ลดลง 7.6% ข้าวลดลง 17.6% ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ลดลง 11.4% และอาหารทะเลแช่แข็ง กระป๋องและแปรรูป ลดลง 25.8% ส่วนผลไม้สด แช่แข็ง และแห้ง น้ำตาลทราย ผลไม้กระป๋องและแปรรูป และไก่แปรรูป ยังคงขยายตัว สูงขึ้น 26.9% 5.4% 6.0% และ 4.6% ตามลำดับ
ขณะที่มูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมหดตัวลง โดยภาพรวมเดือน ต.ค. 2558 ลดลง 6.6% โดยสินค้า ส่งออกอันดับหนึ่งของไทย คือ รถยนต์และส่วนประกอบ ขยายตัวที่ 0.2% ขณะที่มูลค่าส่งออกสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมันดิบหรืออุตสาหกรรมที่มีโครงสร้างการใช้วัตถุดิบซึ่งมาจากการกลั่นปิโตรเลียม ได้แก่ น้ำมันสำเร็จรูป เคมีภัณฑ์ เม็ดพลาสติก ลดลงต่อเนื่องจากปีก่อนหน้ามาก ตามภาวะราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ยังไม่ฟื้นตัว และ มีแนวโน้มทรงตัวในระดับต่ำไปจนถึงสิ้นปี
ส่วนการนำเข้า เดือน ต.ค. 2558 มีมูลค่า 16,465.3 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 18.21% ส่งผลให้ไทยยังเกิน ดุลการค้ามูลค่า 2,101 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ 10 เดือน การนำเข้ามีมูลค่า 170,270 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 11.27% ส่งผลให้ไทยเกินดุลการค้ามูลค่า 9,859 ล้านเหรียญสหรัฐ
สำหรับ เป้าหมายการส่งออกของกระทรวงยังคง ไว้ที่ ติดลบ 3% โดยในช่วง 2 เดือนที่เหลือ ต้องทำให้ได้เดือนละ 20,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อให้การส่งออก เป็นไปตามเป้าหมาย และแนวโน้มการส่งออกในปี 2559 ขณะนี้ทางกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศอยู่ระหว่างการรวมรวม จัดทำข้อมูล แต่ก็มองว่าการส่งออกในปีหน้า จะดีขึ้น และกลับมาเป็นบวกได้ เพราะทั้งกระทรวง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พยายามผลักดันการส่งออก ทั้งการทำข้อตกลงทางการค้าเสรี(FTA) การหาตลาดและเจาะตลาดการค้าใหม่ๆ นโยบายของภาครัฐที่หันมาสนับสนุนและพัฒนาการผลิตในประเทศ สนับสนุนภาคบริการ การสนับสนุนภาคอุตสาหกรรม การพัฒนาภาคบริการ รวมถึงส่วนแบ่งตลาดของไทยที่เพิ่มขึ้นในหลายประเทศ เป็นต้น
"การค้าโลก รวมทั้งไทย ยังอยู่ในภาวะชะลอตัว แต่เมื่อเปรียบเทียบสถานการณ์ส่งออกไทยกับประเทศ อื่นๆ ทั่วโลก พบว่าอัตราหดตัวของมูลค่าส่งออกของไทยยังจัดว่าอยู่ในระดับต่ำ โดยสถิติส่งออกล่าสุดถึงเดือน ก.ย. 2558 เกือบทุกประเทศทั่วโลกมีอัตราการขยายตัวของการส่งออกติดลบมากกว่าไทย อาทิ ออสเตรเลีย ลดลง 21.7% ฝรั่งเศส ลดลง 13.7% สิงคโปร์ ลดลง 14.6% ญี่ปุ่น ลดลง 9.3% เกาหลีใต้ลดลง 6.6% สหรัฐ ลดลง 6.1% จาก สถานการณ์ดังกล่าวสะท้อนได้ว่าความสามารถทางการ แข่งขันของไทยไม่ได้ลดลงตามมูลค่าส่งออก ประเทศไทย ยังมีสถานการณ์การส่งออกอยู่ในเกณฑ์ที่ดีกว่าหลายประเทศ"
อย่างไรก็ตาม การผลักดันการส่งออกปี 2559 ขณะนี้รัฐบาลกำลังเร่งเดินทางโรดโชว์ เพื่อรักษาตลาดเดิม และทำตลาดใหม่ให้เกิดความต่อเนื่อง ซึ่งเร็วๆ นี้ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี จะนำคณะเดินทางไปประเทศญี่ปุ่น พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อแสดง ความพร้อมของไทยที่จะรองรับการค้าการลงทุนของภูมิภาคอาเซียนที่จะเกิดเต็มรูปแบบตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2559 รวมทั้งการประชุมคณะกรรมการพัฒนาการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งนายกรัฐมนตรีจะเป็นประธานในวันที่ 4 ธันวาคมนี้ จะได้พิจารณามาตรการช่วยเหลือผู้ส่งออก เพื่อปลดล็อคอุปสรรคทางการค้ารูปแบบต่างๆ ขณะเดียวกัน ภาพรวมเศรษฐกิจโลกที่กำลังฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไปส่งผลให้การบริโภคในหลายประเทศเริ่มขยายตัวดีขึ้น จึงเชื่อว่าปีหน้าการส่งออกของไทยจะมีอัตราการขยายตัวเป็นบวกได้ แต่ยังต้องติดตามปัจจัยลบจากราคาน้ำมัน อัตราแลกเปลี่ยน รวมทั้งผลกระทบจากการก่อการร้ายด้วย
พาณิชย์ เผยต.ค.ส่งออก -8.11% ติดลบต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 10, คงเป้าปีนี้ -3%
นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ภาวะการค้าระหว่างประเทศในเดือน ต.ค.58 การส่งออกมีมูลค่า 18,566 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลง 8.11% จากเดือน ต.ค.57 ขณะที่นำเข้ามีมูลค่า 16,465 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลง 18.21% จากเดือน ต.ค.58 โดยดุลการค้าเกินดุล 2,101 ล้านดอลล์
ขณะที่ช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้(ม.ค.-ต.ค.58) การส่งออกขยายตัวลดลง 5.32% มีมูลค่า 180,129 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ส่วนการนำเข้าขยายตัวลดลง 11.27% มีมูลค่า 170,270 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยดุลการค้าในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้เกินดุล 9,859 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า การส่งออกในเดือน ต.ค.ที่ยังปรับลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 10 นั้น มาจากปัจจัยที่สำคัญ คือ เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าชะลอตัว ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกยังปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน และมีปัจจัยใหม่ที่เพิ่มเติมเข้ามา คือปัญหาการก่อการร้ายที่ทำให้เกิดความไม่แน่นอนในเรื่องต่างๆ ตามมา
โดยการส่งออกเดือนตุลาคม 2558 มีมูลค่า 18,566 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลง 8.11% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อนซึ่งสูงถึง 20,206 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เนื่องจากช่วงต้นปี 57 การส่งออกชะลอตัวจากปัจจัยทางการเมือง และกลับมาฟื้นตัวในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 57 ส่งผลให้ในไตรมาสสุดท้ายของปี 57 การส่งออกมีมูลค่าสูง และเป็นไตรมาสเดียวที่ขยายตัวเป็นบวกที่ 1.58%
ทั้งนี้ มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตร/อุตสาหกรรมเกษตรหดตัวตามราคาสินค้าเกษตรโลก โดยภาพรวมเดือน ต.ค.58 ลดลง 10.3% ตามทิศทางของราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลกที่ยังคงชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าสินค้าเกษตรส่งออกสำคัญอย่างยางพาราจะมีปริมาณส่งออกสูงขึ้น แต่ราคายังคงอยู่ในระดับต่ำ ทำให้มูลค่าการส่งออกหดตัวลง โดยยางพาราหดตัว 7.6% เช่นเดียวกับ ข้าว ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง และอาหารทะเลแช่แข็ง กระป๋องและแปรรูป ที่หดตัวสูงถึง 17.6% 11.4% และ 25.8% ตามลำดับ ขณะที่ผลไม้สด แช่แข็ง และแห้ง น้ำตาลทราย ผลไม้กระป๋องและแปรรูป และไก่แปรรูป ยังคงขยายตัวสูงขึ้น 26.9% 5.4% 6.0% และ 4.6% ตามลำดับ
ขณะที่มูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมหดตัวลง โดยภาพรวมเดือน ต.ค.58 ลดลง 6.6% โดยสินค้าส่งออกอันดับหนึ่งของไทยคือรถยนต์และส่วนประกอบขยายตัวที่ 0.2% ขณะที่มูลค่าส่งออกสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมันดิบหรืออุตสาหกรรมที่มีโครงสร้างการใช้วัตถุดิบซึ่งมาจากการกลั่นปิโตรเลียม ได้แก่ น้ำมันสำเร็จรูป เคมีภัณฑ์ เม็ดพลาสติก ลดลงต่อเนื่องจากปีก่อนหน้ามากตามภาวะราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ยังไม่ฟื้นตัว และมีแนวโน้มทรงตัวในระดับต่ำไปจนถึงสิ้นปี
รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า จากปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้การค้าโลกรวมทั้งประเทศไทยอยู่ในภาวะชะลอตัว แต่เมื่อเปรียบเทียบสถานการณ์ส่งออกกับประเทศอื่นๆ ทั่วโลก พบว่าอัตราหดตัวของมูลค่าส่งออกของไทยยังจัดว่าอยู่ในระดับต่ำ โดยสถิติส่งออกล่าสุดถึงเดือน ก.ย.58 เกือบทุกประเทศทั่วโลกมีอัตราการขยายตัวของการส่งออกติดลบมากกว่าไทย อาทิ ออสเตรเลีย(-21.7%) ฝรั่งเศส(-13.7%) สิงคโปร์(-14.6%) ญี่ปุ่น(-9.3%) เกาหลีใต้(-6.6%) สหรัฐฯ(-6.1%) จากสถานการณ์ดังกล่าวสะท้อนได้ว่าความสามารถทางการแข่งขันของไทยไม่ได้ลดลงตามมูลค่าส่งออก ประเทศไทยยังมีสถานการณ์การส่งออกอยู่ในเกณฑ์ที่ดีกว่าหลายประเทศ โดยอันดับของไทยสูงขึ้นในทุกตลาดส่งออกสำคัญ สอดคล้องกับส่วนแบ่งตลาดของไทยที่เพิ่มขึ้นสะท้อนว่าแม้ในภาวะการค้าโลกที่ชะลอตัว แต่ไทยยังรักษาความสามารถทางการส่งออกไว้ได้ ได้แก่ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น จีน สหรัฐฯ และสหภาพยุโรป(27)
รมว.พาณิชย์ มองว่า แม้การส่งออกของไทยจะยังติดลบ แต่หากมองในด้านของส่วนแบ่งตลาดแล้วจะพบว่าสินค้าจากไทยยังคงรักษาส่วนแบ่งตลาดไว้ได้ดีทุกตลาด และยังมีส่วนแบ่งตลาดที่เพิ่มขึ้นในประเทศญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และฮ่องกง ในขณะที่ส่วนแบ่งตลาดของสินค้าไทยในประเทศจีนก็ยังไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด
ดังนั้น จึงเชื่อว่า จากการที่สินค้าไทยยังคงรักษาส่วนแบ่งตลาดไว้ได้ ประกอบกับรัฐบาลมีมาตรการต่างๆ เข้ามาช่วยเหลือสนับสนุนผู้ประกอบการ และกระทรวงพาณิชย์เองที่ยังเดินหน้าในการทำตลาดสินค้าไทยอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโลกที่ค่อยๆ ฟื้นตัวและกำลังซื้อของประชาชนทั่วโลกเริ่มดีขึ้นนั้น ก็เชื่อว่าจะทำให้การส่งออกของไทยในปี 59 สามารถกลับมาขยายตัวเป็นบวกได้อย่างแน่นอน
"มูลค่าการส่งออกของไทยในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐเดือนตุลาคมยังคงลดลงตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ฟื้นตัว และปัจจัยราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกหดตัวสูง แต่สถานการณ์การส่งออกของไทยยังดีกว่าประเทศอื่นๆ มาก ในภาวะที่มูลค่าการค้าโลกชะลอตัว โดย IMF คาดการณ์ว่ามูลค่าการส่งออกของโลกทั้งปี 2558 จะหดตัวถึง 11.17%"
นอกจากนี้ ข้อมูลการนำเข้าของตลาดล่าสุดแสดงว่าไทยยังคงรักษาส่วนแบ่งตลาด(Market Share) และมีอันดับความสำคัญสูงขึ้นในทุกตลาดสำคัญ สะท้อนให้เห็นว่าความสามารถทางการแข่งขันของไทยไม่ได้ลดลงตามมูลค่าส่งออก อีกทั้งรายได้จากการส่งออกของไทยในรูปเงินบาทยังคงขยายตัวได้ดีจากการอ่อนค่าของเงินบาท ส่งผลให้ไทยยังคงได้ดุลการค้าสูงอย่างต่อเนื่อง
รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า ยังคงยืนยันเป้าหมายการส่งออกของไทยในปีนี้ไว้ที่ -3% ตามเดิม ซึ่งหากการส่งออกในช่วง 2 เดือนที่เหลือของปีนี้(พ.ย.-ธ.ค.58) สามารถทำได้ที่มูลค่า 20,000 ล้านดอลลาร์ต่อเดือนก็จะทำให้การส่งออกในปีนี้เป็นไปได้ตามเป้าหมายที่กระทรวงพาณิชย์ตั้งไว้ที่ -3%
อย่างไรก็ดี ยังมีปัจจัยบวกที่จะช่วยสนับสนุนการส่งออกของไทยในระยะต่อไปได้ คือ การทำข้อตกลงเขตการค้าเสรี(FTA) กับประเทศต่างๆ, นโยบายของภาครัฐที่หันมาสนับสนุนและพัฒนาการผลิตในประเทศ สนับสนุนภาคบริการ ตลอดจนการสนับสนุนนภาคอุตสาหกรรม
อินโฟเควสท์