- Details
- Category: พาณิชย์
- Published: Sunday, 22 March 2015 19:25
- Hits: 1495
'พาณิชย์'เบรกระบายข้าวหวั่นฉุดราคาตลาดร่วงดันขายจีทูจีเกาหลี-ตุรกี
พาณิชย์ * ‘ฉัตรชัย’สั่งเบรกระบายข้าวครั้งที่ 3/2558 ออกไปก่อน หวั่นทำราคาข้าวเปลือกนาปรังที่กำลังออกสู่ตลาดร่วง เตรียมผลักดันขายจีทูจีแทน ทั้งตุรกีและเกาหลีใต้ คาดหากรวมกับฟิลิปปินส์และจีนที่เจรจาสำเร็จแล้ว จะทำให้ราคาข้าวดีดตัวขึ้น พร้อมดันเปิดตลาดกลางซื้อขายสินค้าเกษตรและตลาดนัดข้าว เพิ่มทางเลือกในการขายให้กับเกษตรกร ชง’พลังงาน’ ปรับสูตรไบโอดีเซลเป็นบี 7 เริ่ม 1 เม.ย. ดึงราคาผลปาล์มดิบ
พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว. พาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้ ชะลอการระบายข้าวสารในสต็อก รัฐบาลครั้งที่ 3/2558 ออกไปก่อน เพื่อไม่ให้สถานการณ์ ราคาข้าวเปลือกในตลาดตกต่ำ เนื่องจากเป็นช่วงผลผลิตข้าวเปลือกนาปรังกำลังออกสู่ตลาด โดยยืนยันว่าราคาข้าวเปลือกเฉลี่ยจะไม่ต่ำกว่าตันละ 8,000 บาท ที่ความชื้น 15% แต่หากความชื้นมากกว่า ชาวนาจะขายได้ในราคาที่ต่ำกว่า
ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์กำลังเจรจาเร่งผลักดันการระบายข้าวผ่านวิธีรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) กับประเทศตุรกีและเกาหลีใต้ หากได้ข้อสรุป ก็จะทำให้สถานการณ์ราคาข้าวดีขึ้น และเมื่อรวมกับจีทูจีที่ดำเนินการไปก่อนหน้านี้ ได้แก่ ฟิลิปปินส์ ปริมาณ 2 แสนตัน และจีนปริมาณ 2 ล้านตัน คาดว่าจะทำให้สถานการณ์ราคาข้าวดีขึ้น จากความต้องการที่เพิ่มขึ้น
พล.อ.ฉัตรชัยกล่าวว่า กระ ทรวงพาณิชย์ยังได้ผลักดันโครง การ "ตลาดกลางซื้อขายสินค้าเกษตร" เพื่อเปิดโอกาสให้เกษตรกร และผู้ประกอบการสามารถเจรจา ซื้อขายสินค้าเกษตรโดยไม่มีพ่อค้าคนกลางให้สามารถขายสินค้าได้ราคาสูงขึ้น โดยจะเปิดกระจายตามภูมิภาคต่างๆ และจะทำควบคู่ไปกับการจัดตลาดนัดค้าข้าว เพื่อรองรับผลผลิตข้าวเปลือกที่กำลังจะออกสู่ตลาด
สำหรับ การลดต้นทุนให้กับเกษตรกร ในวันที่ 23 มี.ค.นี้ จะเชิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และผู้ประกอบการค้าปุ๋ยมาประชุม เพื่อหาแนวทางลดราคาปุ๋ยเคมี ซึ่งพบว่าเป็นต้นทุนการผลิตที่สำคัญของเกษตรกรที่ใช้ปลูกพืชทุกชนิด โดยกระทรวงพาณิชย์จะดูแลด้านราคา ขณะที่กระทรวงเกษตรฯ จะดูแลด้านคุณภาพและการใช้ให้เหมาะสมกับพื้นที่เพาะปลูกแต่ละแห่ง เพื่อลดการสูญเสียทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการใช้ปุ๋ยไม่ตรงวัตถุประสงค์
ส่วนผลการประชุมคณะอนุกรรมการด้านการตลาดปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม ที่ประชุมได้หารือถึงปริมาณผลผลิตปาล์มที่เริ่มออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง จึงมีมติให้กระทรวงพลังงานปรับเพิ่มสูตรการผลิตไบโอดีเซลจากบี 3 ไปเป็นบี 7 เหมือนเดิม โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.เป็นต้นไป ซึ่งหากคำนวณปริมาณความต้องการใช้ผลผลิตปาล์มเพื่อนำไปผสมเป็นบี 7 จะอยู่ที่ประมาณ 70,000 ตันต่อเดือน
ขณะเดียวกัน ได้ประสานไปยังการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ให้นำผลผลิตปาล์มไปผลิตไฟฟ้าเพิ่มเติมในโรงไฟฟ้าที่จังหวัดกระบี่ และยังได้ขอความร่วมมือภาคเอกชน ทั้งโรงสกัด และโรงกลั่น รับซื้อผลปาล์มสดจากเกษตรกรในราคาเป้าหมายไม่ต่ำกว่ากิโลกรัมละ 5 บาท แต่จะต้องมีสัดส่วนน้ำมันไม่ต่ำกว่า 17% ซึ่งต้องขอความร่วมมือให้เกษตรควบคุมคุณภาพ ไม่เร่งเก็บผลผลิตปาล์มก่อนกำหนด
ทั้งนี้ คาดการณ์ปริมาณผลผลิตผลปาล์มที่เพิ่มขึ้นตั้งแต่ มี.ค. ปริมาณ 8.8 แสนตัน และปริมาณจะเพิ่มขึ้นสูงสุดที่ 1.38 ล้านตัน ส่วน พ.ค. 1.26 ล้านตัน มิ.ย. 1.19 ล้านตัน ส่วนสต็อกน้ำมันปาล์ม เดือน มี.ค. 1.5 แสนตัน เม.ย. 2.3 แสนตัน พ.ค. 3.0 แสนตัน และ มิ.ย. 3.5 แสนตัน ทางด้านระดับราคาผลปาล์มน้ำมัน 17% มี.ค.2557 เฉลี่ยที่ กก. ละ 5.15 บาท ส่วนปี 2558 ม.ค. กก.ละ 6.18 บาท ก.พ. กก.ละ 6.31 บาท มี.ค. (15 มี.ค.) กก.ละ4.30-5.00 บาท.
'ฉัตรชัย' สั่งชะลอระบายข้าว
บ้านเมือง : พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้ชะลอการระบายข้าวสารในสต๊อกรัฐบาลครั้งที่ 3/2558 ออกไปก่อน เพื่อไม่ให้สถานการณ์ราคาข้าวเปลือกในตลาดตกต่ำ เนื่องจากเป็นช่วงผลผลิตข้าวเปลือกนาปรังกำลังออกสู่ตลาด โดยยืนยันว่าราคาข้าวเปลือกเฉลี่ยจะไม่ต่ำกว่าตันละประมาณ 8,000 บาท ที่ความชื้นประมาณ 15% แต่หากความชื้นมากกว่า ชาวนาจะขายได้ในราคาที่ต่ำกว่า
ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์กำลังเจรจาเร่งผลักดันการระบายข้าวผ่านวิธีรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) กับประเทศตุรกีและเกาหลีใต้ หากได้ข้อสรุป ก็จะทำให้สถานการณ์ราคาข้าวดีขึ้น และเมื่อรวมกับจีทูจีที่ดำเนินการไปก่อนหน้านี้ ได้แก่ ฟิลิปปินส์ ประมาณ 2 แสนตัน และจีนประมาณ 2 ล้านตัน คาดว่าจะทำให้สถานการณ์ราคาข้าวดีขึ้น จากความต้องการที่เพิ่มขึ้น
พล.อ.ฉัตรชัย กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์ยังได้ผลักดันโครงการ "ตลาดกลางซื้อขายสินค้าเกษตร" เพื่อเปิดโอกาสให้เกษตรกรและผู้ประกอบการสามารถเจรจาซื้อขายสินค้าเกษตรโดยไม่มีพ่อค้าคนกลางให้สามารถขายสินค้าได้ราคาสูงขึ้น โดยจะเปิดกระจายตามภูมิภาคต่างๆ และจะทำควบคู่ไปกับการจัดตลาดนัดค้าข้าว เพื่อรองรับผลผลิตข้าวเปลือกที่กำลังจะออกสู่ตลาด
สำหรับ การลดต้นทุนให้กับเกษตรกร ในวันที่ 23 มี.ค.นี้ จะเชิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และผู้ประกอบการค้าปุ๋ยมาประชุม เพื่อหาแนวทางลดราคาปุ๋ยเคมี ซึ่งพบว่าเป็นต้นทุนการผลิตที่สำคัญของเกษตรกรที่ใช้ปลูกพืชทุกชนิด โดยกระทรวงพาณิชย์จะดูแลด้านราคา ขณะที่กระทรวงเกษตรฯ จะดูแลด้านคุณภาพและการใช้ให้เหมาะสมกับพื้นที่เพาะปลูกแต่ละแห่ง เพื่อลดการสูญเสียทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการใช้ปุ๋ยไม่ตรงวัตถุประสงค์
ขณะเดียวกัน ได้ประสานไปยังการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ให้นำผลผลิตปาล์มไปผลิตไฟฟ้าเพิ่มเติมในโรงไฟฟ้าที่จังหวัดกระบี่ และยังได้ขอความร่วมมือภาคเอกชน ทั้งโรงสกัด และโรงกลั่น รับซื้อผลปาล์มสดจากเกษตรกรในราคาเป้าหมายไม่ต่ำกว่ากิโลกรัมละประมาณ 5 บาท แต่จะต้องมีสัดส่วนน้ำมัน ไม่ต่ำกว่าประมาณ 17% ซึ่งต้องขอความร่วมมือให้เกษตรควบคุมคุณภาพ ไม่เร่งเก็บผลผลิตปาล์มก่อนกำหนด