- Details
- Category: พาณิชย์
- Published: Monday, 23 February 2015 18:46
- Hits: 1706
รมว.พาณิชย์-ท่องเที่ยว จับมือสภาหอการค้าฯและสภาอุตฯ บุกอินเดีย ขยายตลาดการค้าการลงทุน-ท่องเที่ยวเพิ่ม
นางดวงกมล เจียมบุตร โฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา บีโอไอ จะเดินทางพร้อมด้วยภาคเอกชนทั้งสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยและสภาอุตสาหกรรม เยือนอินเดีย ระหว่างวันที่ 24—27 กุมภาพันธ์ 2558 โดยจะมีการหารือทวิภาคีกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และอุตสาหกรรมของอินเดีย รวมทั้งร่วมกล่าวสุนทรพจน์ในงานเสวนาส่งเสริมการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวไทย และจะได้พบปะกับประธานหอการค้าเมืองสุราต รัฐคุชราต และผู้นำภาคเอกชนอินเดีย เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล รับฟังความคิดเห็น ข้อเสนอแนะในการทำการค้าระหว่างไทยและอินเดีย จากภาคเอกชนอินเดียโดยตรง นอกจากนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ยังร่วมเป็นสักขีพยานในการลงนาม MOU เพื่อร่วมมือและซื้อขายสินค้าระหว่างกันของเอกชนไทยและอินเดีย 6 ราย เช่น หอการค้าจังหวัดสุราษฎร์ธานี กับ หอการค้าเมืองสุราต รัฐคุชราต และยังมีกิจกรรมจับคู่เจรจาธุรกิจอีกด้วย ซึ่งการจัดกิจกรรมต่างๆทางธุรกิจก็เพื่อสนับสนุนให้มูลค่าการส่งออกสินค้าไทยขยายตัวเพิ่มขึ้นตามเป้าหมายร้อยละ 4 ตามยุทธศาสตร์การส่งออกของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ 4 ตลาด โดยตลาดอินเดียเป็น 1 ใน 4 ตลาดที่มีระดับการพัฒนาการทางเศรษฐกิจปานกลาง
ทั้งนี้ อินเดียกับไทยได้ทำความตกลงการค้าเสรีไทย-อินเดียไปแล้ว ซึ่งความตกลงนี้จะทำให้มูลค่าการค้าและการลงทุนระหว่างไทยและอินเดียเพิ่มสูงขึ้นถึง 13,200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สินค้าที่มีโอกาสได้แก่ เช่น ผลไม้ อัญมณีและเครื่องประดับ อาหารทะเลกระป๋อง เครื่องปรับอากาศ เครื่องรับวิทยุ โทรทัศน์ และส่วนประกอบรถยนต์ เป็นต้น
ไทย-อินเดียไม่ได้จำกัดอยู่ในระดับทวิภาคีเท่านั้น แต่มีความสัมพันธ์ระดับภูมิภาคผ่านความตกลงว่าด้วยการค้าสินค้าระหว่างอาเซียนและอินเดีย โดยในปี 2552 ได้มีการลงนามในความตกลงว่าด้วยการค้าสินค้าเพื่อลดอุปสรรคทางการค้าระหว่างกัน ส่งผลให้มูลค่าการค้าของทั้งสองฝ่ายเพิ่มขึ้นอย่างมากจาก 11,500 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2546 เป็น 80,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2556 นอกจากนี้ สมาชิกอาเซียนและอินเดียได้ลงนามในความตกลงด้านการค้าบริการแล้ว คาดว่าจะมีผลใช้บังคับในปีนี้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2558 ซึ่งภายใต้ความตกลงนี้ ไทยได้เปิดเสรีการค้าบริการให้อินเดียมากกว่าที่เปิดให้ในปัจจุบันในบริการธุรกิจด้านแพทย์ ทันตแพทย์ พยาบาล บริการด้านการแปล บริการด้านการวิจัยและพัฒนา บริการด้านการจัดงานประชุม บริการโรงพยาบาล บริการด้านการกีฬา และบริการด้านสวนสนุก เป็นต้น
โฆษกกระทรวงพาณิชย์กล่าวต่อว่า นอกจากโอกาสในด้านการค้าแล้ว ในด้านการลงทุนนั้น ที่ผ่านมาอินเดียมีการลงทุนในไทยในระดับหนึ่ง โดยมีการลงทุนในโครงการใหญ่ของกลุ่ม Indo Rama (ผลิต Polyester Fiber) , Aditya Birla (ผลิตเคมีภัณฑ์), GP (กลุ่มพรีเชียส ชิปปิ้ง) , Polyplex (ผลิต PET Resin และ Polyester film), Tata (ผลิตรถกระบะ) เป็นต้น ทั้งนี้ ในช่วงปี 2552-2557 มูลค่าการลงทุนของอินเดียในไทยที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอมีประมาณ 1,030 ล้านเหรียญสหรัฐ หากเปรียบเทียบกับศักยภาพของบริษัทอินเดียแล้วยังสามารถเพิ่มการลงทุนในไทยได้อีกมาก โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพที่จะเติบโตในอนาคตที่สำคัญอาทิ (1) ยานยนต์และชิ้นส่วน (2) ซอฟต์แวร์ (3) เคมีภัณฑ์ (4) ยา (5) เครื่องจักรและอุปกรณ์ (6) เทคโนโลยีชีวภาพ และ (7) การวิจัยและพัฒนา (R&D)
ส่วนการลงทุนของนักลงทุนไทยในอินเดีย ภาคเอกชนไทยสนใจเข้าไปลงทุนในอินเดียในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น ก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ โรงแรมและการท่องเที่ยว ยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ อาหารและเกษตรแปรรูป เครื่องประดับและอัญมณี เครื่องใช้ตกแต่งบ้าน เป็นต้น ซึ่งไทยมีความเชี่ยวชาญ จึงน่าจะเป็นโอกาสที่ดีสำหรับนักธุรกิจไทยที่จะสามารถเข้าไปร่วมลงทุนในอุตสาหกรรมดังกล่าวที่ต้องการประสบการณ์ทั้งในด้านคุณภาพและความชำนาญจากไทย ทั้งนี้ ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ มีเอกชนไทยหลายรายเข้าไปขยายธุรกิจในอินเดียมากขึ้น เช่น ผลิตภัณฑ์เมลามีนในรัฐคุชราต เฟอร์นิเจอร์ ในเจนไน โรงงานผลิตเครื่องจักรป้อนให้บริษัทผลิตรถยนต์
ในปัจจุบัน อินเดียเป็นประเทศคู่ค้าที่สำคัญอันดับ 1 ของไทยในกลุ่มเอเชียใต้ โดยไทย-อินเดียได้ร่วมลงนามในกรอบความตกลงว่าด้วยการจัดตั้งเขตการค้าเสรีไทย-อินเดีย ส่งผลให้ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา มูลค่าการค้าระหว่างไทย-อินเดียเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 1,508 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2546 เป็น 8,654.33 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2557 โดยไทยได้เปรียบดุลการค้า 2,575.35 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สินค้าส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ เคมีภัณฑ์ เม็ดพลาสติก อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องยนต์สันดาปภายในแบบลูกสูบ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบของเครื่อง เครื่องรับวิทยุโทรทัศน์และส่วนประกอบ ยางพารา เป็นต้น
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย