WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

พาณิชย์’เสนอเปิดเจรจา‘เอฟทีเอ’ใหม่ ลุ้นครม.ไฟเขียว‘ปากี-ตุรกี’

      แนวหน้า :‘พาณิชย์’เสนอเปิดเจรจา‘เอฟทีเอ’ใหม่ ลุ้นครม.ไฟเขียว‘ปากี-ตุรกี’ พร้อมรุกกลุ่มอาเซียนบวก6

      นายธวัชชัย โสภาเสถียรพงศ์ อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ใน 2558 ปีนี้ ไทยมีแผนเปิดการเจรจาข้อตกลงเปิดเสรีทางการค้า (FTA) ใหม่ กับ 2 ประเทศ คือ ปากีสถาน และตุรกี เพราะทั้ง 2 ประเทศเป็นตลาดการค้าใหม่ของไทย และทั้ง 2 ประเทศ ก็มีความต้องการที่จะให้มีการทำเอฟทีเอกับไทยด้วย โดยการเจรจาจะเริ่มในเรื่องการเปิดเสรีของสินค้าก่อน โดยขณะนี้ กรมการเจรจาการค้าระหว่างประเทศได้เสนอรายละเอียดไปที่รมว.พาณิชย์ และเตรียมจะเสนอเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เร็วๆ นี้

    ทั้งนี้ การเริ่มการเจรจาทำเอฟทีเอไทย-ปากีสถาน นั้น จะมีประโยชน์ในแง่การขยายการค้าระหว่างกัน โดยปัจจุบันไทยมีการนำเข้าสินค้าในกลุ่มวัตถุดิบที่นำมาใช้ในอุตสาหกรรมอัญมณี และอาหารทะเล และปากีสถานก็นำเข้าอะไหล่ยานยนต์จากไทย โดยปากีสถานต้องการให้ไทยเข้าไปช่วยพัฒนาสินค้าในกลุ่มอาหารแปรรูป ขณะที่ตุรกี มีความสำคัญในการเป็นประทศที่นำเข้าสินค้า เพื่อกระจาย ส่งออกต่อไปยังกลุ่มประเทศอียู และตะวันออกกลาง เพราะตุรกีเป็นสมาชิกของอียู ซึ่งจะเป็นโอกาสของไทยที่จะขยายตลาดใหม่ๆ ของสินค้าไทยได้มากขึ้น

    “ที่ผ่านมา ได้มีการศึกษาความเป็นไปได้ในการทำเอฟทีเอระหว่างสองฝ่าย เพื่อเพิ่มการค้าและการลงทุน โดยตุรกีก็ต้องการใช้ไทยเป็นประเทศนำเข้าสินค้า เพื่อกระจายไปยังตลาดอาเซียนด้วยเช่นกัน ส่วนสินค้าที่ไทยส่งออกไปตุรกี เช่น สินค้าอาหาร ตู้เย็น พลาสติก ชิ้นส่วนยานยนต์ ยางและผลิตภัณฑ์ และรถยนต์ไปยังตุรกี ส่วนสินค้าที่ตุรกีส่งออกมาไทย เช่น หินอ่อน อัญมณีและเครื่องประดับ เสื้อผ้า และรถยนต์”

   นอกจากนี้ ในปี 2558 ไทยยังมีแผนการเจรจาเอฟทีเออื่น ที่ต่อเนื่องและมีข้อตกลงไว้แล้ว เช่น กรอบอาเซียน+6 (จีน ญี่ปุ่น อินเดีย เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์) ที่จะมีการเจรจาภายใต้ข้อตกลงความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคของอาเซียน (RCEP) ซึ่งจะมีการจัดประชุมในเดือน ก.พ.นี้ สำหรับข้อตกลงอาเซียน ที่จะเป็น AEC ภายในสิ้นปีนี้ จะเดินหน้าไปตามข้อผูกพัน โดยการประชุมอาเซียน ซัมมิตของปีนี้ทางมาเลเซียจะเป็นประธานในการประชุม และในส่วนการเจรจาเอฟทีเอทวิภาคต่อเนื่อง ที่จะต้องทำต่อ คือ เอฟทีเอ ไทย-อินเดีย ซึ่งได้มีการเสนอให้มีการเจรจาต่อในเดือนก.พ. เช่นกัน เนื่องจากที่ผ่านมายังไม่มีข้อสรุปในเรื่องการเจรจาเปิดเสรีบางสินค้า เช่น อินเดียต้องการให้ไทยนำเข้าเนื้อควาย ยี่หร่า และพรมปูรถยนต์ ขณะเดียวกันไทยก็ต้องการให้อินเดียนำเข้าปิโตรเคมีจากไทย ทำให้ยังไม่สามารถที่จะตกลงลงนามได้

     นางสาวชุติมา บุณยประภัศร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ในส่วนของความ คืบหน้าของการเจรจาเอฟทีเอไทย-อียูนั้น ตอนนี้ไทยพร้อมที่จะเจรจากับทางอียู รอเพียงทางอียูพร้อม และกำหนดวันเท่านั้น เพราะการเจรจาใหม่สามารถทำได้ทันที เนื่องจากยังอยู่ในกรอบเดิม แต่ก็อาจต้องมีการปรับปรุงข้อมูลบางส่วนให้ทันเหตุการณ์ขึ้น ขณะเดียวกันก็เป็นห่วงในเรื่องของ NGO ในประเด็นผลกระทบต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น ซึ่งทางกระทรวงพาณิชย์ตระหนักดี และจะนำมาพิจารณาแน่นอน

                

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!