- Details
- Category: พาณิชย์
- Published: Sunday, 11 August 2024 14:55
- Hits: 6814
พาณิชย์ เกาะติดจีนเร่งผลิตเอทานอลจากถ่านหิน เตือนส่งออกมันระวัง ต้องหาทางหนีทีไล่
สนค.เกาะติดการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตเอทานอลจากถ่านหินของจีน พบเริ่มมาตั้งแต่ปี 55 และปัจจุบันผลิตได้กว่า 1 ล้านตันต่อปี หวังลดการพึ่งพาการนำเข้าสินค้าพลังงาน ลดการใช้วัตถุดิบทางการเกษตร ทั้งข้าวโพด มันสำปะหลังมาผลิต เตือนไทยต้องระวัง เหตุจีนเป็นตลาดส่งออกมันสำปะหลัง สัดส่วนเกิน 50% ต้องหาทางหนีทีไล่ ทั้งหาตลาดเพิ่ม นำมันสำปะหลังทำอาหารสัตว์ และแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อื่นที่เพิ่มมูลค่า
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์เปิดเผยว่า สนค. ได้ติดตามสถานการณ์การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตเอทานอลจากถ่านหินของสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยพบว่า เริ่มผลิตเอทานอลจากถ่านหินเชิงพาณิชย์มาตั้งแต่ปี 2555
และปัจจุบันมีกำลังการผลิตเอทานอลจากถ่านหินกว่า 1 ล้านตันต่อปี โดยในปี 2566 จีนเป็นผู้ผลิตเอทานอลอันดับ 5 ของโลก ผลิตได้ 3,596.14 ล้านลิตร รองจาก สหรัฐฯ 58,673.88 ล้านลิตร บราซิล 31,267.50 ล้านลิตร สหภาพยุโรป 5,450.99 ล้านลิตร และอินเดีย 5,413.13 ล้านลิตร
ทั้งนี้ ประเทศผู้ผลิตเอทานอลที่สำคัญของโลกอย่างสหรัฐฯ และบราซิล ยังคงใช้ข้าวโพด อ้อย หรือพืชพลังงานอื่นๆ อาทิ มันสำปะหลัง และข้าวฟ่าง เป็นวัตถุดิบหลักในการผลิต โดยการใช้วัตถุดิบแบบดั้งเดิม ส่งผลกระทบต่ออุปทานพืชอาหารของมนุษย์ รวมทั้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ราคาพืชเศรษฐกิจในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ทำให้จีนเร่งพัฒนาการผลิตเอทานอลโดยใช้ถ่านหิน ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่มีมากในประเทศ เพื่อความมั่นคงทางอาหารและลดการพึ่งพาการนำเข้าข้าวโพดและมันสำปะหลังจากต่างประเทศ
สำหรับ ปัจจัยสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนความต้องการใช้เอทานอลจากถ่านหินของจีน มีด้วยกันหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นความต้องการในการแสวงหาความมั่นคงด้านพลังงาน ด้วยขนาดประชากรที่มากเป็นอันดับต้นของโลก และจากขนาดเศรษฐกิจที่ขยายตัวต่อเนื่อง ทำให้จีนมีความต้องการด้านพลังงานเพิ่มมากขึ้นทุกปี จึงจำเป็นต้องแสวงหาเชื้อเพลิงทางเลือก
ซึ่งจีนมีปริมาณถ่านหินสำรองในประเทศเป็นจำนวนมาก และยังมีความกังวลด้านสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ความต้องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก นำไปสู่การลดการใช้ถ่านหินในประเทศ เพื่อลดมลพิษของจีน เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้จีนหันมาพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตเอทานอลจากถ่านหินอย่างจริงจัง
รวมถึงนโยบายและการสนับสนุนจากภาครัฐ ในด้านการวิจัยและพัฒนาในอุตสาหกรรมการผลิตเอทานอลจากถ่านหินของรัฐบาล และการกำหนดนโยบายที่ช่วยสร้างอุปสงค์ของเอทานอลจากถ่านหินภายในประเทศ ทำให้ภาคอุตสาหกรรมดังกล่าวเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นมา รัฐบาลจีนได้ประกาศเป้าหมายชัดเจนในการผลักดันเชื้อเพลิงชีวภาพ E10 สู่ตลาดยานยนต์ภายในประเทศ
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเทคโนโลยีการผลิตเอทานอลจากถ่านหินของจีนจะก้าวหน้าไปมาก แต่การพัฒนากระบวนการผลิตเพื่อให้เกิดการประหยัดต่อขนาด (Economies of Scale) สามารถลดต้นทุนการผลิต ให้สามารถแข่งขันได้กับการผลิตเอทานอลจากข้าวโพดและมันสำปะหลังนั้น ยังต้องใช้เวลาในการวิจัยและพัฒนา
นายพูนพงษ์กล่าวว่า การพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตเอทานอลจากถ่านหินของจีน เพื่อลดแรงกดดันต่ออุปทานพืชอาหาร สร้างความมั่นคงด้านอาหาร และลดการพึ่งพาการนำเข้า จะทำให้ความต้องการนำเข้าวัตถุดิบทางการเกษตรอย่างผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง เพื่อใช้ผลิตเอทานอลของจีนอาจลดลงในอนาคต
รวมทั้งหากจีนสามารถพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตเอทานอลที่มีประสิทธิภาพสูง เกิดการประหยัดต่อขนาด และมีราคาที่แข่งขันได้ เมื่อเทียบกับการผลิตเอทานอลจากวัตถุดิบทางการเกษตร อาจทำให้เอทานอลจากถ่านหินเข้ามาแทนที่เอทานอลที่ผลิตจากวัตถุดิบทางการเกษตร ส่งผลกระทบต่อราคาเอทานอลในตลาดโลก และราคาขายเอทานอลในประเทศของไทยได้ในที่สุด
“จากแนวโน้มดังกล่าว หากในอนาคตจีนลดการนำเข้ามันสำปะหลังลง ไทยจึงจำเป็นต้องปรับตัว แสวงหาตลาดใหม่สำหรับผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ลดการพึ่งพาตลาดหลักเพียงตลาดเดียว รวมถึงขยายฐานการตลาดไปยังกลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ เพื่อช่วยกระจายความเสี่ยง รวมทั้งสนับสนุนให้มีการเพิ่มปริมาณการใช้มันสำปะหลังในประเทศไทย
โดยใช้มันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบในการผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่ม อาทิ ผลิตเม็ดไบโอพลาสติก และอาหารสุขภาพ ที่ทำจากแป้งมันสำปะหลัง การส่งเสริมอุตสาหกรรมชีวภาพ เป็นต้น”นายพูนพงษ์กล่าว
ข้อมูลจากแดชบอร์ดวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics Dashboard) ของเว็บไซต์ คิดค้า.com พบว่า ระหว่างม.ค.-มิ.ย.2567 ไทยส่งออกมันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์ รวมมูลค่า 1,718.06 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 15.98%
โดยเป็นการส่งออกแป้งมันสำปะหลังดิบ มูลค่า 889.99 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 41.4% แป้งมันสำปะหลังแปรรูป มูลค่า 469.07 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 0.49% มันเส้น มูลค่า 328.10 ล้านเหรัยญสหรัฐ ลดลง 63.13% มันอัดเม็ด มูลค่า 3.45 ล้านเหรัยญสหรัฐ ลดลง 86.67% และผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังอื่น ๆ มูลค่า 27.46 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 34.64%
โดยจีนเป็นตลาดส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังอันดับ 1 ของไทย คิดเป็นสัดส่วน 52.01% ของมูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังทั้งหมดของไทย รองลงมาได้แก่ อินโดนีเซียสัดส่วน 10.09% ญี่ปุ่น 9.21% ไต้หวัน 5% และสหรัฐฯ 3.70% ตามลำดับ