- Details
- Category: พาณิชย์
- Published: Sunday, 11 February 2024 13:39
- Hits: 8670
นภินทร สั่งลุยแฟรนไชส์สร้างอาชีพ มีทำเลทองให้เลือก พร้อมดันแรงงานเมียนมาซื้อสินค้า
นภินทร ประชุมคณะอนุกรรมการส่งเสริมและยกระดับ SMEs ไทย ครั้งที่ 2 เคาะ 2 มาตรการให้ดำเนินการทันที สร้างอาชีพผ่านแฟรนไชส์ มีทำเลทองให้เลือกทั่วประเทศ ทั้งในตลาด ห้าง ปั๊มน้ำมัน มีแฟรนไชส์ให้เลือก 525 แบรนด์ รวมถึงฟู้ดทรัค และการเพิ่มกำลังซื้อในประเทศ กระตุ้นแรงงานต่างด้าวเมียนมา 2.5 ล้านคนที่ทำงานในไทย ซื้อสินค้าแล้วส่งกลับประเทศ
นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะอนุกรรมการส่งเสริมและยกระดับ SMEs ไทย ครั้งที่ 2/2567 ร่วมกับผู้แทนภาครัฐและเอกชน เช่น สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย เครือข่ายธุรกิจบิสคลับประเทศไทย เป็นต้น ว่า ที่ประชุมได้มีการติดตามความคืบหน้ามาตรการส่งเสริมและแก้ปัญหาให้เอสเอ็มอีไทย 9 ด้าน ที่ได้มีมติไปเมื่อการประชุมครั้งที่แล้ว และมีการติดตามว่ามาตรการใดที่พร้อมจะดำเนินการได้ เพื่อให้เห็นผลเป็นรูปธรรมชัดเจนโดยเร็วที่สุด ซึ่งคณะอนุกรรมการฯ ได้มีมติเคาะ 2 มาตรการเร่งด่วนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเดินหน้าทันที ประกอบด้วยการสร้างอาชีพผ่านระบบแฟรนไชส์ และการเพิ่มกำลังซื้อภายในประเทศ
โดยมาตรการสร้างอาชีพผ่านระบบแฟรนไชส์ ได้เห็นชอบหลักเกณฑ์การคัดเลือกพื้นที่จัดหาทำเลค้าขายราคาประหยัดสำหรับธุรกิจแฟรนไชส์และเอสเอ็มอีไทย 8 ข้อ ได้แก่ 1.ใกล้แหล่งชุมชน เข้าถึงง่าย สะดวกสบายในการมาใช้บริการ 2.มีความหนาแน่นของกลุ่มเป้าหมายที่จะมาเป็นลูกค้า 3.ผู้คนผ่านตลอดทั้งวัน 4.ต้นทุนทำเลเหมาะสมกับสภาพพื้นที่ 5.ระยะเวลาสัญญาเช่าพื้นที่ที่เหมาะสม 6.มีที่จอดรถเพียงพอและสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ 7.ความพร้อมของสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการประกอบธุรกิจ และ 8.ไม่มีข้อจำกัดด้านกฎหมายและกฎระเบียบของพื้นที่ เช่น กฎหมายข้อบังคับการจัดพื้นที่สำหรับธุรกิจบางประเภท เช่น ร้านอาหารบางประเภทห้ามเปิดในบางพื้นที่ หรือการต้องเสียภาษีป้าย เป็นต้น
ทั้งนี้ ได้มอบให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเจรจากับภาคเอกชนและหน่วยงานพันธมิตร เพื่อขอจัดสรรพื้นที่ทำเลการค้าในกรุงเทพฯ ในราคาลดพิเศษสำหรับ SMEs และแฟรนไชส์ไทย เช่น สถานีบริการน้ำมัน ตลาดชุมชน ห้างสรรพสินค้า และห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ โดยเบื้องต้นได้เจรจากับพันธมิตรและได้พื้นที่ราคาลดพิเศษแล้วจำนวน 124 แห่ง ส่วนในต่างจังหวัด มอบหมายให้สำนักงานพาณิชย์จังหวัด 76 จังหวัด เป็นผู้เจรจากับภาคเอกชน เช่น
ตลาดนัด ตลาดชุมชน ห้างค้าปลีก ห้างสรรพสินค้า ซุปเปอร์มาร์เก็ต สถานีบริการน้ำมัน และพื้นที่การค้าอื่น ๆ โดยสามารถเจรจาได้พื้นที่แล้ว จำนวน 3,977 แห่ง ประกอบด้วย ภาคเหนือ 17 จังหวัด 758 แห่ง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 20 จังหวัด 1,435 แห่ง ภาคกลาง 25 จังหวัด 1,121 แห่ง และภาคใต้ 14 จังหวัด 663 แห่ง
สำหรับ แฟรนไชน์ที่ผ่านการพัฒนาศักยภาพและมาตรฐานการประกอบธุรกิจ มีจำนวน 525 ราย แบ่งเป็นธุรกิจอาหาร 234 แบรนด์ ธุรกิจเครื่องดื่ม 103 แบรนด์ ธุรกิจการศึกษา 68 แบรนด์ ธุรกิจบริการ 63 แบรนด์ ธุรกิจค้าปลีก 33 แบรนด์ ธุรกิจความงามและสปา 24 แบรนด์ และยังมีธุรกิจสินค้าชุมชน (Smart Local BCG) และธุรกิจในรูปแบบรถขายอาหารเคลื่อนที่ (ฟู้ดทรัค) ที่จะเป็นตัวเลือกให้ผู้ประกอบการพิจารณาเพื่อสร้างอาชีพ สร้างรายได้ด้วย
ส่วนมาตรการเพิ่มกำลังซื้อภายในประเทศ จะกระตุ้นและส่งเสริมให้แรงงานต่างด้าวที่อาศัยอยู่ในไทยซื้อสินค้าในประเทศส่งกลับภูมิลำเนาแทนการส่งเงิน โดยระยะแรกจะเน้นที่แรงงานจากเมียนมาก่อน เนื่องจากมีจำนวนแรงงานที่เข้ามาประกอบอาชีพในประเทศไทยมากที่สุด จำนวน 2,513,856 คน กำหนดโครงการนำร่อง แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ 1.กลุ่มสินค้าที่เป็นที่รู้จักของแรงงานต่างด้าวอยู่แล้ว ผู้ผลิตเป็นผู้ส่งสินค้า หรือมีศูนย์กระจายสินค้า (DC) เอาท์เลต (Outlet) ในประเทศเมียนมา โดยรูปแบบแรงงานต่างด้าวในประเทศไทย ซื้อสินค้าผ่านผู้ผลิต ผ่านระบบสั่งซื้อ
และผู้ผลิตจะเป็นผู้บริหารจัดการส่งสินค้าไปยัง DC / Outlet หรือเครือข่ายในประเทศเมียนมาเพื่อมารับสินค้า และ 2.กลุ่มสินค้า สินค้าชุมชน และ OTOP SME ที่ยังไม่มี Outlet ในประเทศเมียนมา โดยรูปแบบ แรงงานต่างด้าวในประเทศไทยสั่งซื้อ สินค้าผ่านแพลตฟอร์มของโลจิสติกส์ และมีการจัดส่งผ่าน Logistics Platform ของไทยและเมียนมา นำส่งสินค้าตรงถึงครัวเรือนในเมียนมา ซึ่งต้องมีการส่งเสริมและนำเสนอสินค้าให้เป็นที่รู้จัก เช่น ให้ทดลองใช้ก่อน นำเสนอสินค้าให้มีความน่าสนใจในการตัดสินใจซื้อสินค้า เป็นต้น
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้ติดตามมาตรการส่งเสริมและแก้ปัญหาให้เอสเอ็มอีไทยอีก 7 ด้าน พร้อมกำชับให้เร่งดำเนินงานให้เห็นเป็นรูปธรรมอย่างชัดเจนในระยะเวลาอันใกล้ เพราะยิ่งดำเนินการให้เห็นผลเร็วขึ้นเท่าไร จะส่งผลดีต่อการสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยมีศักยภาพพร้อมแข่งขันได้ทุกตลาด เป็นการสร้างและเพิ่มความเข้มแข็งแก่ผู้ประกอบการ รวมทั้งจะส่งผลให้ GDP SMEs เติบโตทะลุ 40% ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้
ก่อนหน้านี้ คณะอนุกรรมการฯ ได้กำหนดมาตรการส่งเสริมและแก้ปัญหาให้เอสเอ็มอีไทย 9 ด้าน ประกอบด้วย 1.บูรณาการหน่วยงานเติมความรู้ SME 2.เพิ่มมูลค่าสินค้า GI ให้เป็นที่รู้จัก 3.การบริหารจัดการสินค้าเกษตรเพื่อรักษาสมดุลราคา 4.พัฒนาร้านค้าโชห่วยด้วยระบบการค้าสมัยใหม่ 5.ส่งเสริมการเติบโต SME ในท้องถิ่นผ่าน THAI SME-GP 6.สนับสนุนและสร้างมาตรฐานธุรกิจ e-Commerce 7.การส่งเสริม พัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับของไทย 8.สร้างอาชีพผ่านระบบแฟรนไชส์ และ 9.เพิ่มกำลังซื้อภายในประเทศ