- Details
- Category: พาณิชย์
- Published: Sunday, 24 December 2023 10:01
- Hits: 2447
ภูมิธรรม ถกประธาน INTA คณะสมาชิกรัฐสภายุโรป ขอหนุนเจรจา FTA ไทย-อียู
ภูมิธรรม ต้อนรับประธานคณะกรรมาธิการด้านการค้าระหว่างประเทศรัฐสภายุโรป (INTA) และคณะสมาชิกรัฐสภายุโรป ขอให้สนับสนุนการเจรจา FTA ไทย-สหภาพยุโรป (อียู) เพื่อให้สรุปผลการเจรจาและมีผลบังคับใช้โดยเร็ว พร้อมเห็นพ้องโลกยุคใหม่ ให้ความสำคัญการค้าสีเขียว สิ่งแวดล้อม และความยั่งยืน ขอช่วยสนับสนุนไทย และมีระยะเวลาปรับตัว
นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 19 ธ.ค.2566 ที่ผ่านมา ได้หารือกับนาย Bernd Lange สมาชิกรัฐสภายุโรปและประธานคณะกรรมาธิการด้านการค้าระหว่างประเทศ (Committee on International Trade : INTA) ของรัฐสภายุโรป นาง Heidi Hautala รองประธานรัฐสภายุโรป ผู้แทนจากรัฐสภายุโรปที่เป็นสมาชิก INTA และผู้แทนกลุ่มการเมืองต่างๆ ของสหภาพยุโรป ซึ่งเดินทางเยือนไทย โดยมีคณะผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ นาย David Daly เอกอัครราชทูตสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย และคณะผู้แทนสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย เข้าร่วม
ทั้งนี้ ในการหารือ ได้ให้ข้อมูลว่ารัฐบาลชุดนี้ เข้ารับหน้าที่เมื่อเดือน ก.ย.2566 ซึ่งรัฐบาลให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาสำคัญ 3 ประการ คือ ความขัดแย้งทางการเมืองที่ต้องรับฟังความเห็นที่แตกต่างและหาทางยอมรับร่วมกันในสังคมความขัดแย้งทางรัฐธรรมนูญที่จะพัฒนาให้เป็นประชาธิปไตยยิ่งขึ้น
และวิกฤตเศรษฐกิจ ที่เป็นความท้าทายของทุกประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะผลกระทบจากสงครามและความขัดแย้งระหว่างประเทศ รวมทั้งมุ่งลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความกินดีอยู่ดีให้กับประชาชนไทย โดยได้ขอให้คณะกรรมาธิการด้านการค้าระหว่างประเทศรัฐสภายุโรปให้การสนับสนุนการเจรจา FTA ไทย-อียู เพื่อให้สามารถสรุปผลการเจรจาและมีผลใช้บังคับได้โดยเร็ว
นอกจากนี้ ยังได้หารือประเด็นการค้าสำคัญอื่นๆ โดยไทยเห็นด้วยกับแนวโน้มและทิศทางของโลกปัจจุบันที่ให้ความสำคัญกับการค้าสีเขียว สิ่งแวดล้อม และความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติ เช่น การแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการทำประมงที่ยั่งยืน เนื่องจากเป็นเรื่องที่ทุกประเทศต้องรับผิดชอบร่วมกัน และไทยมีแนวนโยบายไปในทิศทางเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม ไทยเห็นว่าการปฏิบัติตามกฎระเบียบการค้าใหม่ๆ ควรดำเนินบนพื้นฐานของความร่วมมือ คำนึงถึงความแตกต่าง มีความยืดหยุ่น และระยะเวลาการปรับตัวที่เหมาะสมของแต่ละประเทศ ซึ่งได้เน้นย้ำกับสมาชิกรัฐสภายุโรปเรื่องความร่วมมือระหว่างภาครัฐทั้งสองฝ่าย เพื่อให้ภาคเอกชนไทยสามารถปฏิบัติตามมาตรการภายใต้นโยบายอียูกรีนดีล เช่น มาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (CBAM) และระเบียบว่าด้วยสินค้าที่ปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่า (EUDR) ได้อย่างราบรื่น
“รัฐสภายุโรปมีบทบาทสำคัญในการตัดสินใจให้ความเห็นชอบความตกลง FTA ของอียู โดยการเยือนไทยและพบหารือกับฝ่ายบริหาร และฝ่ายนิติบัญญัติของไทย แสดงให้เห็นว่า อียูให้ความสำคัญกับประเทศไทยในฐานะหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ และเห็นว่าทั้งสองฝ่ายจะยกระดับความร่วมมือในหลายมิติ โดยเฉพาะการเจรจาจัดทำ FTA ไทย-อียู เพื่อประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองฝ่าย”นายภูมิธรรมกล่าว
อียูเป็นคู่ค้าอันดับ 4 ของไทย รองจากจีน สหรัฐฯ และญี่ปุ่น โดยในช่วง 10 เดือนของปี 2566 (ม.ค.-ต.ค.) การค้าระหว่างไทยและอียู มีมูลค่า 35,013.34 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (1,206,685.59 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 1.96% คิดเป็นสัดส่วนการค้ารวม 7.30% ของการค้าทั้งหมดของไทยกับโลก
โดยไทยส่งออกไปอียู มูลค่า 18,247.73 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (624,969.91 ล้านบาท) ลดลง 4.42% และไทยนำเข้าจากอียู มูลค่า 16,765.61 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (581,715.68 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 9.94% สินค้าส่งออกสำคัญ เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับ แผงวงจรไฟฟ้า และผลิตภัณฑ์ยาง และสินค้านำเข้าสำคัญ เช่น เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์เวชกรรมและเภสัชกรรม เคมีภัณฑ์ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ และเครื่องมือเครื่องใช้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และการแพทย์