- Details
- Category: พาณิชย์
- Published: Sunday, 03 December 2023 20:58
- Hits: 2356
สนค.แนะ SMEs ไทยใช้ประโยชน์ Tokenization เพิ่มโอกาสเติบโตให้กับธุรกิจ
สนค.เผย Tokenization หรือการแปลงหรือทำให้สินทรัพย์อยู่ในรูปแบบดิจิทัล มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง และกำลังจะเป็นตัวช่วยสำคัญสำหรับการเติบโตของธุรกิจยุคปัจจุบัน ทั้งการระดมทุน สร้างสภาพคล่องทางการเงิน ลดต้นทุนการทำธุรกรรม สร้างโอกาสและความเท่าเทียมทางการค้า แนะ SMEs ไทยศึกษาและใช้ประโยชน์ ส่วนภาครัฐ ต้องเร่งให้ความรู้และมีมาตรการกำกับดูแลที่เหมาะสม
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ปัจจุบันเทคโนโลยีและนวัตกรรมช่วยให้การค้ามีประสิทธิภาพ ครอบคลุม เท่าเทียม และสร้างโอกาสให้กับผู้ประกอบการรายเล็กมากขึ้น
โดยล่าสุดมีเทคโนโลยีประเภทหนึ่งที่ช่วยพัฒนาธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์และสร้างโอกาสทางธุรกิจ คือ Tokenization หรือการแปลงหรือทำให้สินทรัพย์อยู่ในรูปแบบดิจิทัล ที่เรียกว่า โทเคน (Token) ที่สามารถย้าย จัดเก็บ หรือบันทึกบน Blockchain
และผู้ประกอบการอาจแปลงมูลค่าของวัตถุ เช่น ทองคำ โฉนดที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ หุ้น ภาพวาด ทรัพย์สินทางปัญญา และ Carbon Credit เป็นโทเคน เพื่อถ่ายโอนหรือแปลงสิทธิ์การเป็นเจ้าของได้ ซึ่ง World Trade Organization และ World Economic Forum ระบุว่า Tokenization นับเป็นหนึ่งเทคโนโลยีสำคัญที่จะส่งผลต่อการค้าและธุรกิจในอนาคต
ทั้งนี้ ตลาด Tokenization มีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทวิจัยด้านการตลาด Markets and Markets รายงานว่า ในปี 2564 ตลาด Tokenization ทั่วโลก มีมูลค่าประมาณ 2.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดการณ์ว่าในปี 2569 ตลาด Tokenization จะเพิ่มขึ้นเป็น 5.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 19 ต่อปี ขณะที่ McKinsey & Company คาดการณ์ว่า ตลาด Tokenization ทั่วโลกอาจเติบโตอย่างมาก และมีมูลค่าถึง 4-5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2573
นายพูนพงษ์ กล่าวว่า ปัจจุบัน Tokenization เป็นที่นิยมสำหรับภาคการเงินและการลงทุน เนื่องจาก Tokenization มีคุณลักษณะสำคัญ คือ ช่วยในการสร้างสภาพคล่องให้กับสินทรัพย์ ความปลอดภัย และความโปร่งใส ผู้ประกอบการ SMEs ในต่างประเทศ เริ่มใช้ประโยชน์จาก Tokenization กับกิจกรรมหลากหลายประเภท ทั้งด้านการค้า สิ่งแวดล้อม การถ่ายโอนเอกสาร การชำระเงิน การเป็นเจ้าของร่วม
รวมถึงการกุศล เช่น TradeFinex ให้บริการเปลี่ยนเอกสารทางการค้า เช่น ใบตราส่งสินค้า (Bill of Lading) หรือใบแจ้งหนี้ (Invoice) เป็นโทเคน ซึ่งสามารถนำไปขายต่อ หรือใช้เพิ่มสภาพคล่องทางการเงินได้ โดยข้อมูลต่างๆ ที่ถูกเปลี่ยนเป็นโทเคนจะต้องเป็นไปตามมาตรฐานของ Smart Contract การยืนยันตัวตนของลูกค้า (Know-your-customer) และการป้องกันการฟอกเงิน (Anti-money-laundering)
ทางด้าน RAAYRE คือ กระเป๋าเงินดิจิทัลในเยอรมนี ที่บริษัทจัดการทรัพย์สินใช้สำหรับให้โทเคนกับผู้เช่าอสังหาริมทรัพย์ เพื่อจูงใจพฤติกรรมของผู้เช่าตามที่ต้องการ เช่น ชำระเงินตรงเวลา ใช้พลังงานอย่างประหยัด และรายงานความเสียหายหรือความเสี่ยงบริเวณที่พัก
โดยผู้เช่าสามารถนำโทเคนไปแลกเป็นส่วนลดค่าเช่ารายเดือนได้ และ STAXE คือ โทเคนที่ผลิตในสเปน ใช้สำหรับระดมทุนในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์และวัฒนธรรม และโครงสร้างพื้นฐานทางวัฒนธรรม เช่น การจัดคอนเสิร์ต งานประชุม หรืองานเทศกาล เป็นต้น
สำหรับ ประเทศไทย มีการใช้โทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุนและระดมทุนแล้ว ซึ่งเป็นการระดมทุนแบบใหม่ที่ถูกต้องตามกฎหมายและขยายโอกาสให้ผู้ต้องการเงินทุนและผู้ลงทุน เช่น เดสทินี โทเคน (Destiny Token) ที่เสนอขายเมื่อเดือน พ.ค.2565 เป็นโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุนสำหรับดำเนินโครงการใดโครงการหนึ่ง (Project Based) มีระยะเวลาไม่เกิน 2 ปี ราคาขายเริ่มต้น 5,559 บาทต่อโทเคน
โดยเงินที่ได้จากการระดมทุน ถูกนำไปลงทุนในโครงการผลิตภาพยนตร์บุพเพสันนิวาส 2 เช่น การทำ Post-Production การทำการตลาด ช่องทางการจัดจำหน่ายภาพยนตร์ รวมถึงการจัดหาสิทธิประโยชน์และผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือโทเคนร้อยละ 2.99 ต่อปี
“Tokenization สามารถสร้างโอกาสใหม่และความสามารถในการแข่งขันให้กับ SMEs ได้ โดยเฉพาะการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ซึ่งทำได้หลายทาง ทั้งการระดมทุนจากนักลงทุนจำนวนมาก (Crowdfunding) การเพิ่มจำนวนนักลงทุน โดยนักลงทุนสามารถเป็นเจ้าของบางส่วนได้ (Fractional Ownership) และการแปลงสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องต่ำให้เป็นหลักทรัพย์ที่ปลอดภัยและโปร่งใส เพื่อให้สามารถซื้อขายในตลาดรอง หรือใช้โทเคนเป็นหลักทรัพย์สำหรับการกู้เงินได้อีกด้วย
ดังนั้น ทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐและเอกชน ควรศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับโอกาสและความเป็นไปได้ที่ผู้ประกอบการรวมถึง SMEs จะสามารถประยุกต์ใช้ Tokenization โดยภาครัฐควรจะเผยแพร่องค์ความรู้ให้กับผู้ประกอบการ เพื่อสร้างโอกาสและพัฒนาความสามารถในการแข่งขันทางการค้า ควบคู่กับการกำกับดูแลการค้าและการลงทุนในโทเคนดิจิทัลให้ปลอดภัย เชื่อถือได้ และสะดวกรวดเร็ว ตามมาตรฐานสากล”นายพูนพงษ์กล่าว