- Details
- Category: พาณิชย์
- Published: Thursday, 30 November 2023 16:47
- Hits: 2610
สนค.ชี้อาเซียนเนื้อหอม แนะไทยปรับมาตรการดึงลงทุน ลดกฎระเบียบ เร่งเจรจา FTA
สนค.เผยอาเซียนกลายเป็นแหล่งดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ หลังเกิดปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างสหรัฐฯ-จีน แนะไทยใช้โอกาสนี้ ลดกฎระเบียบการค้า เร่งเจรจา FTA ออกมาตรการดึงดูดการลงทุน และยกระดับไปสู่อุตสาหกรรมใช้เทคโนโลยีสูง เพื่อเอื้อต่อการเข้ามาลงทุน ส่วนผู้ประกอบการ ต้องจัดหาวัตถุดิบจากแหล่งผลิตที่หลากหลาย เพื่อกระจายความเสี่ยง
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อาเซียนกลายเป็นแหล่งดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ จากการเสริมสร้างสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับการทำธุรกิจ พร้อมกับการปรับปรุงการอำนวยความสะดวกด้านการลงทุน ประกอบกับความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างสหรัฐฯ-จีน
ทำให้เกิดการย้ายฐานการผลิตออกจากจีน ซึ่งอาเซียนเป็นหนึ่งจุดหมายที่บริษัทต่างๆ จะเข้ามาลงทุน ซึ่งไทยควรใช้โอกาสนี้ ออกมาตรการและลดกฎระเบียบทางการค้า เพื่อทำให้การค้า การลงทุนง่ายขึ้น รวมทั้งเร่งเจรจา FTA ให้ครอบคลุมประเทศที่กว้างขวางมากขึ้น
โดยมาตรการที่จะออกมาเพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ จะต้องเน้นไปที่กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีโอกาสในการย้ายฐานการผลิต เช่น อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น และควรมีการยกระดับอุตสาหกรรมไปสู่อุตสาหกรรมที่มีการใช้เทคโนโลยีที่สูงขึ้น ส่วนผู้ประกอบการควรมีการจัดหาวัตถุดิบจากแหล่งผลิตที่หลากหลาย เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยง หากห่วงโซ่อุปทานเกิดปัญหา
อย่างไรก็ตาม แม้ไทยจะได้ประโยชน์จากการกระจายฐานการผลิตออกจากจีน เนื่องจากมีโครงสร้างการผลิตที่ใกล้เคียงกันทดแทนกันได้ แต่ก็เผชิญกับการแข่งขันที่สูงขึ้น ทั้งจากประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นฐานการผลิตสินค้าที่คล้ายคลึงกัน เช่น เวียดนามและอินโดนีเซีย และจากตลาดที่เป็นมิตรกับสหรัฐฯ เช่น กลุ่มประเทศละตินอเมริกา
นายพูนพงษ์กล่าวว่า ที่ผ่านมา ปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างสหรัฐฯ-จีน ที่มีมาตั้งแต่ปี 2561 เป็นตัวกระตุ้นที่สำคัญที่ทำให้หลายบริษัทต่างชาติที่ลงทุนในประเทศจีนต่างได้รับผลกระทบจากมาตรการทางภาษีและการควบคุมการพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ ที่ใช้ในการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ และเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ ทำให้ต้องย้ายฐานการผลิตออกจากจีน
และยังมีบริษัทจีนอีกหลายบริษัทที่มีการย้ายฐานการผลิต เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยง แต่การย้ายฐานการผลิตของบริษัทจีน ไม่ได้เป็นการย้ายออกโดยเด็ดขาด ยังมีการจัดส่งวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ขั้นกลางไปประกอบในประเทศที่ย้ายไปลงทุนด้วย
สำหรับ ผลที่เกิดขึ้น ทำให้การค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยสัดส่วนการส่งออกของจีนไปสหรัฐฯ ค่อย ๆ ลดลง จากข้อมูลของ Trademap เมื่อเปรียบเทียบช่วงก่อนการเกิดสงครามการค้า ปี 2561 อยู่ที่ 19.2% ลดลงเหลือ 16.2% ในปี 2565 การส่งออกของสหรัฐฯ ไปจีนเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 7.2% ในปี 2561 เป็น 7.5% ในปี 2565 และเมื่อมองที่อาเซียน การค้ากับจีนเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน จีนมีสัดส่วนการส่งออกมายังอาเซียน เพิ่มขึ้นจาก 12.9% ในปี 2561 เป็น 15.8% ในปี 2565 โดยเฉพาะเวียดนาม มาเลเซีย สิงคโปร์ และไทย
ในขณะที่การค้ากับสหรัฐฯ ค่อนข้างคงที่ เนื่องจากสหรัฐฯ ได้พยายามสร้างห่วงโซ่อุปทานขึ้นมาใหม่ที่แยกออกจากจีน โดยเฉพาะห่วงโซ่อุปทานในสินค้าที่มีความเกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศจนเกิดแนวคิดที่เรียกว่า Friend-Shoring ซึ่งเป็นการสร้างห่วงโซ่อุปทานกับประเทศที่สหรัฐฯ มีความเชื่อใจ อีกทั้งยังเป็นการป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ หยุดชะงัก
โดยในภูมิภาคเอเชีย สหรัฐฯ ได้สร้างกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจ อินโด-แปซิฟิก (Indo-Pacific Economic Framework for prosperity : IPEF) ขึ้นในปี 2565 มีวัตถุประสงค์ที่จะสร้างความร่วมมือด้านห่วงโซ่อุปทานกับประเทศในเอเชียให้มากขึ้น เพื่อเพิ่มอิทธิพลด้านการผลิตและการค้าของสหรัฐฯ อีกทั้งเพื่อเป็นการคานอิทธิพลทางการค้าของจีนที่มีต่อภูมิภาคนี้
นอกจากนั้น สหรัฐฯ และชาติพันธมิตร โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศ G-7 ยังมีความพยายามที่จะลดการพึ่งพาการผลิตและการค้ากับจีนที่มากเกินไป เนื่องจากจีนมีบทบาทสำคัญในฐานะการเป็นแหล่งผลิตและส่งออกสินค้าวัตถุดิบที่ป้อนให้กับอุตสาหกรรมสำคัญต่าง ๆ ดังนั้น การหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานของจีนในช่วงโควิด-19 ทำให้หลายประเทศได้บทเรียนว่าการพึ่งพาประเทศใดประเทศหนึ่งมากเกินไป อาจก่อให้เกิดผลเสียในระยะยาว
ทั้งนี้ ปัจจัยที่ใช้ในการตัดสินใจเลือกฐานการผลิตมาจาก 1.การย้ายฐานการผลิตเพื่อให้อยู่ใกล้กับประเทศแม่ (Nearshoring) และฐานลูกค้ามากขึ้น เช่น การย้ายฐานการผลิตไปยังเม็กซิโก เพื่อช่วยประหยัดค่าขนส่ง อีกทั้งยังสามารถใช้สิทธิพิเศษทางศุลกากรภายใต้ความตกลง USMCA (ประเทศสมาชิก ได้แก่ สหรัฐฯ เม็กซิโก และแคนาดา) 2.การย้ายฐานการผลิตโดยพิจารณาจากความเชี่ยวชาญของประเทศปลายทาง เช่น ชิ้นส่วน เซมิคอนดักเตอร์ย้ายฐานการผลิตไปยังมาเลเซีย ธุรกิจยานยนต์ย้ายมายังไทย
โดยกลุ่มประเทศในภูมิภาคอาเซียนมีแนวโน้มที่จะได้รับประโยชน์มากที่สุดจากการย้ายฐานการผลิตออกจากจีน เนื่องจากมีข้อได้เปรียบด้านค่าจ้างแรงงานที่ต่ำกว่าจีน มีโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภคที่ดี มี FTA กับหลายประเทศที่อยู่ใน Friend-shoring และกับประเทศอื่นๆ ทำให้มีแต้มต่อด้านอัตราภาษีสำหรับธุรกิจที่มุ่งหวังจะใช้อาเซียนเป็นฐานการผลิตเพื่อการส่งออก
ข้อมูลของ BOI ในปี 2565 ประเทศไทยมีการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศคิดเป็นมูลค่า 664,600 ล้านบาท หรือประมาณ 20 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 39% โดยภาคอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าการลงทุน FDI มากที่สุด เรียงตามลำดับ ได้แก่ 1.อิเล็กทรอนิกส์และส่วนประกอบ 129,500 ล้านบาท 2.ห่วงโซ่อุปทานยานยนต์ไฟฟ้า (EV) 105,400 ล้านบาท และ 3.กิจการ Data Center 42,500 ล้านบาท
โดยประเทศที่มีโครงการที่ยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนมากที่สุดเรียงตามลำดับ ได้แก่ 1.จีน 158 โครงการ มูลค่า 77,400 ล้านบาท 2.ญี่ปุ่น 293 โครงการ มูลค่า 50,800 ล้านบาท 3.สหรัฐฯ 33 โครงการ มูลค่า 50,300 ล้านบาท 4.ไต้หวัน 68 โครงการ มูลค่า 45,200 ล้านบาท และ 5.สิงคโปร์ 178 โครงการ มูลค่า 44,300 ล้านบาท