- Details
- Category: พาณิชย์
- Published: Thursday, 09 November 2023 08:51
- Hits: 2149
สนค.ประเมินสงครามอิสราเอล-ฮามาส 1 เดือน มีผลกระทบเศรษฐกิจการค้าไทยจำกัด
สนค.ประเมินผลกระทบสงครามอิสราเอล-ฮามาส ในรอบ 1 เดือน มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยค่อนข้างจำกัด เหตุการค้าไทยกับอิสราเอลและปาเลสไตน์ มีเพียง 0.2% ของมูลค่าการค้าระหว่างประเทศโดยรวม การขนส่งสินค้าก็ยังเป็นปกติ นักท่องเที่ยวก็มีมาไทยไม่มาก แค่ 1% ของนักท่องเที่ยวทั้งหมด ผลกระทบด้านพลังงาน ก็ยังไม่ชัดเจน จับตาหากสงครามยืดเยื้อ ขยายวงกว้าง ทำการผลิต ขนส่งชะงัก อาจกระทบส่งออก-นำเข้าสินค้าบางรายการได้ แนะไทยวางตัวเป็นกลาง แสวงหาช่องทางการค้า การลงทุนต่อไป
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า สนค.ได้ทำการประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจจากสงครามระหว่างอิสราเอลกับฮามาส ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา พบว่า มีผลกระทบทางตรงต่อเศรษฐกิจไทยค่อนข้างจำกัด เนื่องจากการค้าระหว่างประเทศระหว่างไทยกับอิสราเอลและระหว่างไทยกับปาเลสไตน์ รวมกันอยู่ในระดับต่ำ มีเพียงประมาณ 0.2% ของมูลค่าการค้าระหว่างประเทศโดยรวมของไทย และขณะนี้ด้านการขนส่งสินค้าเข้า-ออกจากอิสราเอลก็ยังไม่กระทบมาก เนื่องจากท่าเรือส่วนใหญ่ของอิสราเอลยังเปิดดำเนินการตามปกติ
เช่นเดียวกับการท่องเที่ยวที่มีสัดส่วนเพียงประมาณ 1% ของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด รวมทั้งด้านการลงทุน ก็ไม่มีการลงทุนโดยตรงจากทั้ง 2 ประเทศคู่ขัดแย้ง ขณะที่ผลกระทบทางอ้อมต่อการเพิ่มขึ้นของราคาพลังงาน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อเงินเฟ้อ ก็ยังไม่เห็นผลกระทบดังกล่าวชัดเจนเช่นกัน เพราะราคาน้ำมันในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้นสูงสุดในช่วงแรกของสงคราม ยังต่ำกว่าระดับสูงสุดในเดือน ก.ย.2566 รวมทั้งค่าเงินบาทก็ผันผวนและอ่อนค่าลงในช่วงแรกตามการเพิ่มขึ้นของราคาสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างเงินดอลลาร์สหรัฐและทองคำ เนื่องจากปัจจัยด้านจิตวิทยาที่กังวลผลกระทบของสงครามเท่านั้น
“จากการประเมินทิศทางสงครามและผลกระทบในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา จึงน่าจะเชื่อได้ว่ากรณีที่การสู้รบยังดำเนินต่อไปแบบจำกัดวงอยู่ในฉนวนกาซาและบริเวณพรมแดนอิสราเอลกับซีเรียและเลบานอน ไม่น่าจะมีผลกระทบรุนแรงอย่างมีนัยสำคัญ หรือส่งผลกระทบสืบเนื่องจนสร้างความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจไทยโดยรวมมากนัก โดยการประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจที่ชัดเจน อาจต้องใช้เวลาอีกสักระยะ ขึ้นอยู่กับว่าความขัดแย้งจะมีระยะเวลานานเพียงใด เหตุการณ์จะรุนแรงแค่ไหน จะขยายไปยังส่วนอื่นๆ ของภูมิภาคหรือไม่”
นายพูนพงษ์ กล่าวว่า หากสงครามยกระดับรุนแรงในพื้นที่อิสราเอลหรือประเทศรอบๆ อิสราเอล จนทำให้ภาคการผลิต การขนส่ง เกิดการหยุดชะงัก และนำไปสู่การชะลอตัวทางเศรษฐกิจ อาจทำให้การส่งออกสินค้าบางรายการที่มีอิสราเอลเป็นตลาดส่งออกสำคัญส่วนหนึ่งได้รับผลกระทบ เช่น เครื่องประดับ (เพชร) ไฟเบอร์บอร์ด ทูน่ากระป๋อง และรถยนต์รถยนต์นั่ง รวมทั้งสินค้านำเข้า เช่น เพชร ปุ๋ยและยากำจัดศัตรูพืชและสัตว์ ที่ไทยนำเข้าจำนวนมากจากอิสราเอล ซึ่งผู้ประกอบการต้องเริ่มมองหาตลาดส่งออกหรือแหล่งนำเข้าอื่นๆ ทดแทนให้มากขึ้น เพื่อเตรียมรับมือกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
นอกจากนี้ หากสงครามขยายวงไปสู่ระดับภูมิภาค ผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมน่าจะรุนแรงพอสมควร เพราะกลุ่มประเทศในตะวันออกกลางเป็นทั้งตลาดส่งออกที่มีศักยภาพ และเป็นแหล่งนำเข้าสินค้าที่สำคัญของไทยหลายรายการ จึงต้องติดตามพัฒนาการของสงครามอย่างใกล้ชิด เพื่อจะได้เตรียมมาตรการรองรับได้อย่างทันท่วงที
นายพูนพงษ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมา เมื่อเกิดความขัดแย้งของประเทศต่างๆ กลับเป็นโอกาสแสวงหาช่องทางการค้าและการลงทุนของไทย ในฐานะประเทศที่วางตัวเป็นกลางเหนือความขัดแย้ง เช่น สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ไทยได้รับผลประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตจากสหรัฐฯ จากจีนมาไทย และยังมีโอกาสส่งออกสินค้าทดแทนเข้าไปในตลาดคู่ขัดแย้ง เช่นเดียวกับกรณีเกิดความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน ที่สร้างความไม่ไม่มั่นคงทางด้านอาหารทั่วโลก ก็ทำให้ไทยได้รับอานิสงส์จากความต้องการซื้อสินค้าเกษตรและอาหาร
ส่วนเหตุความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาสในครั้งนี้ ที่แม้ไทยยังไม่ได้รับผลกระทบทางตรง แต่ภาพรวมของสงครามสงครามในภูมิภาคดังกล่าว ก็มีส่วนบั่นทอนความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนในภูมิภาคตะวันออกกลาง จึงถือเป็นโอกาสในการสร้างความร่วมมือทางการค้าและการลงุทน รวมทั้งผลักดันสินค้าไทย เช่น อาหารฮาลาล กับกลุ่มประเทศมุสลิมอื่นๆ ทดแทนได้
สำหรับ ประเด็นที่น่าเป็นห่วง คือ แรงงาน เนื่องจากอิสราเอลเป็นประเทศที่มีแรงงานไทยไปทำงานมากที่สุดเป็นอันดับที่ 2 รองจากไต้หวัน โดยแรงงานจำนวนกว่า 26,000 คน ที่ทำงานอยู่ในอิสราเอลอาจได้รับผลกระทบจากสงครามและว่างงานลงอย่างฉับพลัน ซึ่งประเด็นนี้ ภาครัฐต้องมีมาตรการช่วยเหลือรองรับที่เหมาะสม