- Details
- Category: พาณิชย์
- Published: Wednesday, 12 July 2023 12:57
- Hits: 1824
กรมเจรจาฯ ถกรัฐ-เอกชน เคาะตั้ง กรอ.สิ่งแวดล้อม รับมือมาตรการปรับคาร์บอนอียู
กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ หารือภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้ประกอบการ เห็นควรจัดตั้ง กรอ.สิ่งแวดล้อม เตรียมความพร้อมรับมือมาตรการปรับคาร์บอนก่อนเข้าพรมแดน (CBAM) ของสหภาพยุโรป ที่กำหนดให้ผู้นำเข้าสินค้า 6 กลุ่ม ต้องแจ้งปริมาณสินค้า และปริมาณปล่อยก๊าซเรือนกระจก เผยยังได้ยื่นอียูรับรององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก เป็นหน่วยงานสอบทาน หวังอำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการไทย
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยถึงความคืบหน้าการเตรียมการรับมือการใช้มาตรการปรับคาร์บอนก่อนเข้าพรมแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism หรือ CBAM) ของสหภาพยุโรป (อียู) ว่า กรมได้เชิญหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้ประกอบการ ร่วมประชุมเพื่อแจ้งความคืบหน้าพัฒนาการล่าสุดของมาตรการ CBAM ของอียู
พร้อมทั้งหารือแนวทางการเตรียมความพร้อมของไทยในการรับมือมาตรการดังกล่าว ผ่านระบบการประชุมทางไกล โดยที่ประชุมเห็นว่า มาตรการ CBAM จะมีผลกระทบกับการส่งออกสินค้าของไทย โดยเฉพาะเหล็กและเหล็กกล้า และอะลูมิเนียม จึงเห็นควรให้จัดตั้งคณะทำงานร่วมระหว่างภาครัฐและเอกชนด้านสิ่งแวดล้อม หรือ กรอ. สิ่งแวดล้อม เพื่อทำหน้าที่ประสานและทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด รวมถึงเรื่องที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม สภาพภูมิอากาศที่จะเกิดขึ้นในอนาคต พร้อมทั้งเสนอให้รัฐเร่งจัดให้มีการช่วยเหลือด้านเงินทุน (green finance) แก่ผู้ประกอบการที่ปรับกระบวนการผลิตให้เป็นมิตรต่อสภาพภูมิอากาศ
สำหรับ ความคืบหน้ามาตรการ CBAM สหภาพยุโรปได้เผยแพร่ระเบียบ CBAM (Regulation (EU) 2023/956) เมื่อวันที่ 16 พ.ค.2566 กำหนดให้ผู้นำเข้าสินค้า 6 กลุ่ม ได้แก่ เหล็กและเหล็กกล้า อะลูมิเนียม ซีเมนต์ ปุ๋ย ไฟฟ้า และไฮโดรเจน ต้องแจ้งปริมาณสินค้าที่นำเข้ามาในอียู และปริมาณปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิตสินค้านั้น ระหว่างวันที่ 1 ต.ค.2566–31 ธ.ค.2568
โดยในช่วง 3 ปีแรก ให้แจ้งข้อมูลย้อนหลังทุกไตรมาส หลังจากนั้นให้แจ้งข้อมูลย้อนหลังทุกปี และตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2569 อียูจะเริ่มมาตรการบังคับกำหนดให้ผู้นำเข้าต้องซื้อ “ใบรับรอง CBAM” ตามปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสินค้านั้นด้วย
ต่อมา เมื่อวันที่ 13 มิ.ย.2566 อียูได้เผยแพร่ร่างกฎหมายลำดับรอง กำหนดหน้าที่การรายงานข้อมูลและรายละเอียดของข้อมูลที่ต้องรายงานโดยผู้นำเข้า ซึ่งคณะกรรมาธิการยุโรปอยู่ระหว่างเปิดรับฟังความเห็นสาธารณะต่อร่างกฎหมายลำดับรองนี้ จนถึงเที่ยงคืนของวันที่ 11 ก.ค.2566 (ตามเวลาบรัสเซลส์) ซึ่งที่ประชุมได้หารือแนวทางการเตรียมความพร้อมของไทยและการยื่นความเห็นของไทยต่อร่างกฎหมายลำดับ โดยในส่วนของกรม จะจัดทำความเห็นต่อร่างกฎหมายลำดับรองที่ได้จากการหารือครั้งนี้ ยื่นต่อคณะกรรมาธิการยุโรปผ่านทางเว็บไซต์
โดยเฉพาะเรื่องการแจ้งข้อมูล และการคำนวณข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นเรื่องเทคนิคที่มีความยุ่งยาก และจะเป็นภาระต่อผู้ประกอบการและผู้ส่งออกไทย รวมถึงการกำหนดหน่วยงานที่จะสอบทานและตรวจรับรอง (verify/certify) ข้อมูล ทั้งนี้ หากอียูสามารถรับรองให้องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. ของไทย เป็นหน่วยงานสอบทานได้ จะอำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการไทยมากขึ้น
ทั้งนี้ การนำเข้าสินค้า 6 กลุ่ม CBAM ได้กำหนดสิ่งที่ผู้นำเข้าจะต้องปฏิบัติ ได้แก่ 1.จัดทำรายงานข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ยื่นให้แก่หน่วยงานในประเทศสมาชิกอียู ภายในวันที่ 31 พ.ค. ของทุกปี โดยระบุปริมาณสินค้าที่นำเข้าในรอบหนึ่งปีก่อนหน้า และปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสินค้านำเข้า 2.จะต้องส่งมอบใบรับรอง CBAM ตามปริมาณการปล่อยดังกล่าว ซึ่งราคาใบรับรองนั้น อ้างอิงตามราคาซื้อขายใบอนุญาตปล่อยก๊าซเรือนกระจกในตลาดคาร์บอนของอียู (EU Emissions Trading System : EU-ETS)
และหากแสดงได้ว่าสินค้าถูกปรับคาร์บอนในประเทศต้นทางแล้ว เช่น ถูกเก็บภาษีคาร์บอน ผู้นำเข้าก็จะสามารถลดภาระค่าใช้จ่ายภายใต้มาตรการ CBAM ได้ และ 3.ผู้ประกอบการต่างชาติ สามารถยื่นขอขึ้นทะเบียนกับคณะกรรมาธิการยุโรป เพื่อรับรองปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (ในระดับโรงงาน) ของสินค้าที่ตนผลิต โดยข้อมูลการปล่อยก๊าซฯ จะต้องได้รับการรับรองโดยผู้รับรอง (accredited verifier) ที่แต่งตั้งโดยประเทศสมาชิกอียู
มาตรการ CBAM ของอียูเป็นผลจากการดำเนินนโยบายโลกสีเขียวไร้มลพิษของอียู (European Green Deal) ที่ตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้อย่างน้อยร้อยละ 55 ภายในปี 2573 และตั้งเป้าการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยรวมเป็น 0 ในปี 2593 ส่งผลให้อียูออกชุดข้อเสนอกฎหมาย 13 ฉบับ เพื่อเดินหน้าสู่เป้าหมายดังกล่าว (Fit for 55 package)
และการออกมาตรการ CBAM ถือเป็นหนึ่งในชุดข้อเสนอกฎหมายดังกล่าว โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยไม่ให้ผู้ประกอบการของอียูมีต้นทุนค่าใช้จ่ายในการปรับระบบการผลิตสินค้า เพื่อลดก๊าซเรือนกระจกแต่เพียงฝ่ายเดียว แต่ผู้ส่งสินค้าเข้าไปขายในอียูต้องมีส่วนช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเช่นกัน
A7405