- Details
- Category: พาณิชย์
- Published: Thursday, 29 June 2023 14:58
- Hits: 1540
พาณิชย์ ลงพื้นที่พิษณุโลก ตามหาสินค้าดันขึ้นทะเบียน GI ใหม่ พบมีศักยภาพหลายตัว
กรมทรัพย์สินทางปัญญาลงพื้นที่จังหวัดพิษณุโลก ตามหาสินค้าที่จะผลักดันขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) รายการใหม่ พบสินค้ามีศักยภาพเพียบ ทั้งสับปะรดบ้านแยง แป้งแห้วนาชุมชนหนองกุลา น้ำตาลวัดโบสถ์ ส้มซ่า และกระชายดำ เตรียมระดมความเห็น ลงพื้นที่ดูการผลิต ก่อนพิจารณาต่อไป
น.ส.กนิษฐา กังสวนิช รองอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 26-27 มิ.ย.2566 ที่ผ่านมา กรมฯ ได้นำทีมงานลงพื้นที่จังหวัดพิษณุโลก และทำงานร่วมกับจังหวัดพิษณุโลก เพื่อช่วยกันคัดสรรสินค้าที่จะขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) รายการใหม่ของจังหวัด โดยมีการนำเสนอสินค้าที่มีศักยภาพ และมีความพร้อมที่จะนำมาขึ้นทะเบียน GI ได้ เช่น สับปะรดบ้านแยง แป้งแห้วนาชุมชนหนองกุลา น้ำตาลวัดโบสถ์ ส้มซ่า และกระชายดำ เป็นต้น ซึ่งกรมฯ จะประชุมหารือระดมความคิดเห็นของผู้ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตสินค้าข้างต้น ทั้งหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนในพื้นที่ และเข้าเยี่ยมชมกระบวนการผลิตสินค้า ณ แหล่งผลิต ก่อนที่จะพิจารณาผลักดันให้ขึ้นทะเบียน GI ต่อไป
ทั้งนี้ จังหวัดพิษณุโลก มีสินค้าที่ได้รับการพิจารณาให้ขึ้นทะเบียน GI แล้ว 2 รายการ คือ กล้วยตากบางกระทุ่มพิษณุโลก และมะม่วงน้ำดอกไม้สีทองพิษณุโลก โดยในการลงพื้นที่ครั้งนี้ กรมฯ ได้เดินทางไปตรวจสอบกระบวนการผลิตและติดตามสถานการณ์การค้าสินค้า GI กล้วยตากบางกระทุ่มพิษณุโลก ของผู้ประกอบการ 2 ราย ได้แก่ บริษัท บานาน่าโซไซตี้ จำกัด และร้านกล้วยตากแม่โสม โดยร้านกล้วยตากแม่โสมเป็นผู้ประกอบการที่ได้รับคัดเลือกให้เข้าร่วมโครงการพัฒนาบรรจุภัณฑ์กับกรมทรัพย์สินทางปัญญาในปี 2566 ด้วย
“นอกจากจะผลักดันให้สินค้าชุมชน สินค้าท้องถิ่นที่มีชื่อเสียง ได้รับการขึ้นทะเบียน GI เพื่อให้ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายแล้ว กรมฯ ยังให้ความสำคัญกับการช่วยเพิ่มช่องทางการตลาด เพื่อให้สินค้าจำหน่ายได้มากขึ้น ช่วยพัฒนาบรรจุภัณฑ์ เพื่อสร้างความเป็นพรีเมียมให้กับสินค้า รวมทั้งจะมีการตรวจสอบควบคุมคุณภาพสินค้าที่ได้รับตรา GI เพื่อยืนยันถึงคุณภาพในการผลิตและเป็นสินค้าที่มาจากแหล่งผลิตสินค้าที่แท้จริง อันเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยยกระดับสินค้าและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าชุมชนอีกทางหนึ่ง”น.ส.กนิษฐากล่าว
สำหรับ กล้วยตากบางกระทุ่มพิษณุโลก และมะม่วงน้ำดอกไม้สีทองพิษณุโลก มีมูลค่าทางการตลาดรวมทั้ง 2 สินค้ากว่า 128,804,490 บาทต่อปี โดยกล้วยตากบางกระทุ่มพิษณุโลก มีชื่อเสียงมายาวนาน จนเป็นของฝากประจำจังหวัด ผลิตจากกล้วยน้ำว้าพันธุ์มะลิอ่อง พันธุ์นวลจันทร์ พันธุ์ปากช่อง 50 หรือพันธุ์พื้นเมือง มีเนื้อแห้งเนียนละเอียด เหนียวนุ่ม ไม่มีเม็ด รสชาติหวานเป็นธรรมชาติ ผลิตในพื้นที่จังหวัดพิษณุโลก
และตำบลท่าฬ่อ อำเภอเมือง จังหวัดพิจิตร มีจำนวนผู้ผลิตและผู้ประกอบการทั้งสิ้น 18 ราย ปริมาณการผลิต 971 ตันต่อปี สร้างรายได้ 83,319,490 บาทต่อปี ส่วนสินค้า มะม่วงน้ำดอกไม้สีทองพิษณุโลก เป็นมะม่วงพันธุ์น้ำดอกไม้สีทอง ทรงผลรียาว เปลือกสีเหลืองนวล ไม่ช้ำง่าย ผลสุกเนื้อสีเหลืองเข้ม เนื้อแน่น เนียน ไม่มีเสี้ยน เนื้อแห้ง ไม่ฉ่ำน้ำ เมล็ดลีบบาง รสชาติหวาน มีกลิ่นหอม ปลูกในพื้นที่ 3 อำเภอของจังหวัดพิษณุโลก ได้แก่ อำเภอเนินมะปราง อำเภอวังทอง และอำเภอวัดโบสถ์ มีจำนวนผู้ผลิตและผู้ประกอบการทั้งสิ้น 157 ราย ปริมาณการผลิต 2,927 ตันต่อปี สร้างรายได้ 45,485,000 บาทต่อปี
ปัจจุบันกรมทรัพย์สินทางปัญญาได้ขึ้นทะเบียนสินค้า GI ไทยแล้ว 187 สินค้า ครอบคลุมทุกจังหวัดทั่วประเทศ และมีแผนที่จะผลักดันให้สินค้าท้องถิ่นที่มีชื่อเสียงให้มีการขึ้นทะเบียน GI เพิ่มขึ้น เพื่อสร้างความแตกต่างให้กับสินค้า และช่วยเพิ่มรายได้ให้กับชุมชนที่เป็นแหล่งผลิต
กรมทรัพย์สินทางปัญญาลงพื้นที่ส่งเสริมสินค้า GI จังหวัดพิษณุโลก เฟ้นหาสินค้าท้องถิ่นใหม่ๆ เข้าสู่ระบบการคุ้มครอง GI
วันที่ 26 – 27 มิถุนายน 2566 ที่ผ่านมา รองอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา (นางสาวกนิษฐา กังสวนิช) นำทีมลงพื้นที่ส่งเสริมสินค้า GI จังหวัดพิษณุโลก มุ่งส่งเสริมสินค้า GI ชนิดใหม่และต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าที่ขึ้นทะเบียนแล้ว ได้แก่ กล้วยตากบางกระทุ่มพิษณุโลก และมะม่วงน้ำดอกไม้สีทองพิษณุโลก
นางสาวกนิษฐา กังสวนิช รองอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา กล่าวว่า “กรมทรัพย์สินทางปัญญาให้ความสำคัญกับการคุ้มครองชื่อสินค้าท้องถิ่นที่มีชื่อเสียงให้เป็นสิทธิของชุมชน ภายใต้การขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ หรือ GI ประกอบกับเป็นนโยบายที่รัฐบาลให้ความสำคัญ โดยมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการส่งเสริมการขึ้นทะเบียน เพื่อให้เกิดการกระจายรายได้และส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพ และวัฒนธรรมให้ยั่งยืนคู่ชุมชน กรมฯ จึงร่วมกับจังหวัดพิษณุโลกร่วมกันคัดสรรสินค้า GI ในจังหวัดเพิ่มเติม
โดยมีการนำเสนอสินค้าที่มีศักยภาพและมีความพร้อมที่จะนำมาขึ้นทะเบียน GI เช่น สับปะรดบ้านแยง แป้งแห้วนาชุมชนหนองกุลา น้ำตาลวัดโบสถ์ ส้มซ่า กระชายดำ เป็นต้น ซึ่งการลงพื้นที่จังหวัดพิษณุโลกในครั้งนี้ ได้มีการประชุมหารือระดมความคิดเห็นของผู้ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตสินค้าข้างต้นทั้งหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนในพื้นที่ ตลอดจนเยี่ยมชมกระบวนการผลิตสินค้า ณ แหล่งผลิตสินค้าอีกด้วย”
ปัจจุบันกรมทรัพย์สินทางปัญญาได้ขึ้นทะเบียนสินค้า GI ไทยแล้ว 187 สินค้า ครอบคลุมทุกจังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งจังหวัดพิษณุโลกมีสินค้า GI จำนวน 2 สินค้า ได้แก่ กล้วยตากบางกระทุ่มพิษณุโลก และมะม่วงน้ำดอกไม้สีทองพิษณุโลก มีมูลค่าทางการตลาดรวมทั้งสองสินค้ากว่า 128,804,490 บาทต่อปี โดยจังหวัดพิษณุโลกเป็นแหล่งผลิตสินค้า กล้วยตากบางกระทุ่มพิษณุโลก ที่มีชื่อเสียงมายาวนาน จนเป็นของฝากประจำจังหวัด
ผลิตจากกล้วยน้ำว้าพันธุ์มะลิอ่อง พันธุ์นวลจันทร์ พันธุ์ปากช่อง 50 หรือพันธุ์พื้นเมือง มีเนื้อแห้งเนียนละเอียด เหนียวนุ่ม ไม่มีเม็ด รสชาติหวานเป็นธรรมชาติ ผลิตในพื้นที่จังหวัดพิษณุโลก และตำบลท่าฬ่อ อำเภอเมือง จังหวัดพิจิตร มีจำนวนผู้ผลิตและผู้ประกอบการทั้งสิ้น 18 ราย ปริมาณการผลิต 971 ตันต่อปี สร้างรายได้ 83,319,490 บาทต่อปี ส่วนสินค้า มะม่วงน้ำดอกไม้สีทองพิษณุโลก เป็นมะม่วงพันธุ์น้ำดอกไม้สีทอง ทรงผลรียาว เปลือกสีเหลืองนวล ไม่ช้ำง่าย ผลสุกเนื้อสีเหลืองเข้ม เนื้อแน่น เนียน ไม่มีเสี้ยน เนื้อแห้ง ไม่ฉ่ำน้ำ เมล็ดลีบบาง รสชาติหวาน มีกลิ่นหอม ปลูกในพื้นที่ 3 อำเภอของจังหวัดพิษณุโลก ได้แก่ อำเภอเนินมะปราง อำเภอวังทอง และอำเภอวัดโบสถ์ มีจำนวนผู้ผลิตและผู้ประกอบการทั้งสิ้น 157 ราย ปริมาณการผลิต 2,927 ตันต่อปี สร้างรายได้ 45,485,000 บาทต่อปี
ทั้งนี้ กรมทรัพย์สินทางปัญญาได้ลงพื้นที่ตรวจสอบกระบวนการผลิตและติดตามสถานการณ์การค้าสินค้า GI กล้วยตากบางกระทุ่มพิษณุโลก ของผู้ประกอบการ 2 ราย ได้แก่ บริษัท บานาน่าโซไซตี้ จำกัด และร้านกล้วยตากแม่โสม โดยเฉพาะร้านกล้วยตากแม่โสมเป็นผู้ประกอบการที่ได้รับคัดเลือกให้เข้าร่วมโครงการพัฒนาบรรจุภัณฑ์กับกรมทรัพย์สินทางปัญญาในปี พ.ศ.2566 นี้
ซึ่งเป็นอีกหนึ่งภารกิจด้านการตลาดที่กรมทรัพย์สินทางปัญญาให้ความสำคัญและดำเนินการเพื่อพัฒนาต่อยอดสินค้า GI ไทยอย่างต่อเนื่อง นอกเหนือจากการส่งเสริมให้ได้รับการขึ้นทะเบียนเพื่อให้ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย และการตรวจสอบควบคุมคุณภาพสินค้าผ่านการใช้ตรา GI เพื่อยืนยันถึงคุณภาพในการผลิตและเป็นสินค้าที่มาจากแหล่งผลิตสินค้าที่แท้จริง อันเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยยกระดับสินค้าและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าชุมชนอีกทางหนึ่งด้วย