- Details
- Category: พาณิชย์
- Published: Tuesday, 03 January 2023 16:50
- Hits: 2212
กรมการค้าต่างประเทศ พร้อมยกระดับการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าภายใต้ RCEP และอาเซียน-ญี่ปุ่น รับปี 2566 มุ่งอำนวยความสะดวกผู้ประกอบการไทย สร้างแต้มต่อในเวทีการค้าโลก
นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 เป็นต้นไป การใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าภายใต้ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership: RCEP) จะมีการปรับปรุงพิกัดระบบฮาร์โมไนซ์ (HS) โดยเปลี่ยนจากฉบับปี 2012 (HS 2012) เป็นฉบับปี 2022 (HS 2022) ซึ่งกรมการค้าต่างประเทศเป็นหน่วยงาน มีอำนาจในการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Certificate of Origin: C/O) ภายใต้ความตกลงการค้าเสรี (Free Trade Agreements: FTAs) ต่าง ๆ ของไทย ได้มีระบบการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า Form RCEP ที่พร้อมใช้งานได้ในวันที่ 1 มกราคม 2566 แล้ว โดยที่ความตกลง RCEP ถือเป็นความตกลงฉบับแรกจากความตกลง 14 ฉบับของไทยที่จะสามารถใช้ HS 2022 ได้ ส่งผลให้การจัดการเอกสารการส่งออก-นำเข้าต่าง ๆ รวมถึงการสืบค้นข้อมูลอัตราภาษีศุลกากรของผู้ประกอบการทำได้ง่ายขึ้น ช่วยลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นในการดำเนินพิธีการศุลกากรขาเข้าและขาออกได้
นายรณรงค์ฯ กล่าวว่า ปัจจุบันความตกลง RCEP มีผลบังคับใช้กับประเทศสมาชิกทั้งหมด 13 ประเทศ ได้แก่ บรูไน กัมพูชา สปป.ลาว สิงคโปร์ ไทย เวียดนาม ออสเตรเลีย จีน ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ เกาหลีใต้ มาเลเซีย และเมียนมา โดยในช่วงสามไตรมาสแรกของปี 2565 มีการสิทธิประโยชน์ทางการค้าภายใต้ความตกลง RCEP ทั้งในส่วนของการขอออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า Form RCEP และการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองของผู้ส่งออกที่ได้รับอนุญาต (Approved Exporter) อยู่ที่ 742.85 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ไปยังประเทศสมาชิกทั้งหมด 8 ประเทศ ได้แก่ เกาหลีใต้ จีน ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย มาเลเซีย เวียดนาม สิงคโปร์ และนิวซีแลนด์ ซึ่งมีรายการสินค้าที่ใช้สิทธิฯ สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ น้ำมันหล่อลื่น ปลาทูน่ากระป๋อง มันสำปะหลังเส้น ทุเรียนสด และเลนส์สำหรับกล้องถ่าย เครื่องฉาย หรือเครื่องขยาย หรือย่อภาพถ่าย
นอกจากนี้ ความตกลง RCEP จะมีผลบังคับใช้กับ อินโดนีเซีย เพิ่มขึ้นอีก 1 ประเทศตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม 2566 เป็นต้นไป ซึ่งอินโดนีเซียนับเป็นประเทศที่ 14 จากสมาชิก RCEP 15 ประเทศ ที่ความตกลง RCEP ได้มีผลบังคับใช้แล้ว คงเหลือเพียงฟิลิปปินส์ประเทศเดียวที่ยังดำเนินการตามกระบวนการภายในไม่แล้วเสร็จ จึงยังไม่สามารถใช้สิทธิพิเศษลดภาษีในการนำเข้า-ส่งออกภายใต้ความตกลง RCEP ได้
นายรณรงค์ฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ญี่ปุ่น หรือ AJCEP ที่ได้บังคับใช้ร่วม 14 ปี กำลังย่างเข้าสู่ปีที่ 15 ก็จะมีการปรับปรุงพิกัดระบบฮาร์โมไนซ์ จาก HS 2002 ที่ใช้มาตั้งแต่ที่ความตกลงมีผลบังคับใช้เมื่อปี 2551 เป็น HS 2017 ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2566 เป็นต้นไป โดยกรมการค้าต่างประเทศได้เตรียมความพร้อมรองรับการปรับปรุงพิกัดระบบฮาร์โมไนซ์ดังกล่าวของความตกลง AJCEP ไว้แล้วเช่นกัน ซึ่งในช่วงสามไตรมาสแรกของปี 2565 มีผู้ประกอบการยื่นขอออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า Form AJ เพื่อประกอบการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าภายใต้ความตกลง AJCEP อยู่ที่ 298.78 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.52 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า (ที่มีการขอใช้สิทธิฯ 267.91 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) โดยมีรายการสินค้าที่ใช้สิทธิฯ 5 อันดับแรก ได้แก่ แผ่นแถบทำด้วยอะลูมิเนียมเจือ กุ้งปรุงแต่ง ปลาแมคเคอเรลปรุงแต่ง ปลาซาร์ดีนปรุงแต่ง และขนมจำพวกเบเกอรี่
นายรณรงค์ฯ เน้นย้ำถึงความสำคัญของกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้าและแนวปฏิบัติที่เกี่ยวข้องของแต่ละ FTAs ที่เลือกใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าเพื่อให้สามารถนำไปลดภาษีนำเข้า ณ ประเทศปลายทาง ลดต้นทุนทางการค้า และสร้างแต้มต่อในเวทีการค้าโลกได้ โดยสำหรับพิกัดระบบฮาร์โมไนซ์ (HS) ของความตกลง FTAs ผู้ประกอบการจะต้องใช้ฉบับปีที่ได้ตกลงร่วมกันไว้ ซึ่งแตกต่างกันไปในแต่ละ FTAs ในการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (C/O) เพื่อไม่ให้เกิดการคลาดเคลื่อนของการพิจารณากฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดของสินค้านั้น ๆ
ในปี 2566 กรมการค้าต่างประเทศยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อยกระดับ FTAs อีกหลายฉบับ เช่น ความตกลงว่าด้วยการค้าสินค้าของอาเซียน หรือ ATIGA และเจรจาเพื่อจัดทำ FTAs กับประเทศคู่ค้าใหม่ ๆ (อาเซียน-แคนาดา ไทย-สมาคมการค้าเสรียุโรป (EFTA) และไทย-ตุรกี) โดยมุ่งเน้นกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้าที่สอดคล้องกับกระบวนการผลิตของไทยและแนวปฏิบัติที่อำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการใช้สิทธิประโยชน์ ทั้งนี้ กรมการค้าต่างประเทศ พร้อมให้ข้อมูลและคำปรึกษาแก่ผู้ประกอบการ โดยสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกรมการค้าต่างประเทศ โทร. 1385 หรือไลน์แอปพลิเคชั่นชื่อบัญชี “@gsp_helper”
พาณิชย์ พร้อมออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า Form RCEP พิกัด HS 2022
กรมการค้าต่างประเทศประกาศความพร้อมออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า Form RCEP ตั้งแต่ 1 ม.ค.66 ให้สอดคล้องกับการปรับปรุงพิกัดระบบฮาร์โมไนซ์ (HS) เป็นปี 2022 โดยล่าสุดมีผลบังคับใช้แล้วกับ 13 ประเทศ อินโดนีเซียกำลังจะบังคับ 2 ม.ค.66 เหลือแค่ฟิลิปปินส์ประเทศเดียว ส่วนพิกัด HS 2017 ภายใต้ AJCEP จะเริ่มบังคับใช้ มี.ค.66 ย้ำผู้ส่งออกต้องปฏิบัติให้ถูกต้อง เพื่อให้ได้สิทธิ์ลดภาษี และสร้างแต้มต่อ
นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2566 เป็นต้นไป การใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าภายใต้ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership: RCEP) จะมีการปรับปรุงพิกัดระบบฮาร์โมไนซ์ (HS) โดยเปลี่ยนจากฉบับปี 2012 (HS 2012) เป็นฉบับปี 2022 (HS 2022) ซึ่งกรมฯ ได้มีระบบการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า Form RCEP ที่พร้อมใช้งานได้ในวันที่ 1 ม.ค.2566 แล้ว โดยที่ความตกลง RCEP
ถือเป็นความตกลงฉบับแรกจากความตกลง 14 ฉบับของไทยที่จะสามารถใช้ HS 2022 ได้ ส่งผลให้การจัดการเอกสารการส่งออก-นำเข้าต่าง ๆ รวมถึงการสืบค้นข้อมูลอัตราภาษีศุลกากรของผู้ประกอบการทำได้ง่ายขึ้น ช่วยลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นในการดำเนินพิธีการศุลกากรขาเข้าและขาออกได้
ทั้งนี้ ในปัจจุบันความตกลง RCEP มีผลบังคับใช้กับประเทศสมาชิกทั้งหมด 13 ประเทศ ได้แก่ บรูไน กัมพูชา สปป.ลาว สิงคโปร์ ไทย เวียดนาม ออสเตรเลีย จีน ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ เกาหลีใต้ มาเลเซีย และเมียนมา โดยในช่วงสามไตรมาสแรกของปี 2565 มีการสิทธิประโยชน์ทางการค้าภายใต้ความตกลง RCEP ทั้งในส่วนของการขอออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า Form RCEP และการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองของผู้ส่งออกที่ได้รับอนุญาต (Approved Exporter) อยู่ที่ 742.85 ล้านเหรียญสหรัฐ ไปยังประเทศสมาชิกทั้งหมด 8 ประเทศ ได้แก่ เกาหลีใต้ จีน ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย มาเลเซีย เวียดนาม สิงคโปร์ และนิวซีแลนด์ ซึ่งมีรายการสินค้าที่ใช้สิทธิ์ฯ สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ น้ำมันหล่อลื่น ปลาทูน่ากระป๋อง มันสำปะหลังเส้น ทุเรียนสด และเลนส์สำหรับกล้องถ่าย เครื่องฉาย หรือเครื่องขยาย หรือย่อภาพถ่าย
ขณะเดียวกัน ความตกลง RCEP จะมีผลบังคับใช้กับ อินโดนีเซีย เพิ่มขึ้นอีก 1 ประเทศ ตั้งแต่วันที่ 2 ม.ค.2566 เป็นต้นไป ซึ่งอินโดนีเซียนับเป็นประเทศที่ 14 จากสมาชิก RCEP 15 ประเทศ ที่ความตกลง RCEP ได้มีผลบังคับใช้แล้ว คงเหลือเพียงฟิลิปปินส์ประเทศเดียว ที่ยังดำเนินการตามกระบวนการภายในไม่แล้วเสร็จ จึงยังไม่สามารถใช้สิทธิพิเศษลดภาษีในการนำเข้า-ส่งออกภายใต้ความตกลง RCEP ได้
นายรณรงค์ กล่าวว่า สำหรับความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ญี่ปุ่น หรือ AJCEP ที่ได้บังคับใช้ร่วม 14 ปี กำลังย่างเข้าสู่ปีที่ 15 จะมีการปรับปรุงพิกัดระบบฮาร์โมไนซ์ จาก HS 2002 ที่ใช้มาตั้งแต่ที่ความตกลงมีผลบังคับใช้เมื่อปี 2551 เป็น HS 2017 ตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค.2566 เป็นต้นไป โดยกรมฯ ได้เตรียมความพร้อมรองรับการปรับปรุงพิกัดระบบฮาร์โมไนซ์ดังกล่าวของความตกลง AJCEP ไว้แล้วเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ในช่วงสามไตรมาสของปี 2565 มีผู้ประกอบการยื่นขอออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า Form AJ เพื่อประกอบการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าภายใต้ความตกลง AJCEP อยู่ที่ 298.78 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 11.52% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าที่มีการขอใช้สิทธิ์ฯ 267.91 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีรายการสินค้าที่ใช้สิทธิ์ฯ 5 อันดับแรก ได้แก่ แผ่นแถบทำด้วยอะลูมิเนียมเจือ กุ้งปรุงแต่ง ปลาแมคเคอเรลปรุงแต่ง ปลาซาร์ดีนปรุงแต่ง และขนมจำพวกเบเกอรี่
ขอฝากถึงผู้ผลิต ผู้ส่งออก จะต้องให้ความสำคัญกับกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า และแนวปฏิบัติที่เกี่ยวข้องของแต่ละ FTA ที่เลือกใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้า เพื่อให้สามารถนำไปลดภาษีนำเข้า ณ ประเทศปลายทาง เพื่อลดต้นทุนทางการค้า และสร้างแต้มต่อในเวทีการค้าโลกได้ โดยพิกัดระบบฮาร์โมไนซ์ (HS) ของความตกลง FTA ผู้ประกอบการจะต้องใช้ฉบับปีที่ได้ตกลงร่วมกันไว้ ซึ่งแตกต่างกันไปในแต่ละ FTA ในการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (C/O) เพื่อไม่ให้เกิดการคลาดเคลื่อนของการพิจารณากฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดของสินค้านั้น ๆ”นายรณรงค์กล่าว
ในปี 2566 กรมการค้าต่างประเทศยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อยกระดับ FTA อีกหลายฉบับ เช่น ความตกลงว่าด้วยการค้าสินค้าของอาเซียน หรือ ATIGA และเจรจาเพื่อจัดทำ FTA กับประเทศคู่ค้าใหม่ๆ (อาเซียน-แคนาดา ไทย-สมาคมการค้าเสรียุโรป (EFTA) และไทย-ตุรกี) โดยมุ่งเน้นกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้าที่สอดคล้องกับกระบวนการผลิตของไทยและแนวปฏิบัติที่อำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการใช้สิทธิประโยชน์
ทั้งนี้ กรมฯ พร้อมให้ข้อมูลและคำปรึกษาแก่ผู้ประกอบการ โดยสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกรมการค้าต่างประเทศ โทร. 1385 หรือไลน์แอปพลิเคชันชื่อบัญชี ‘@gsp_helper’