- Details
- Category: พาณิชย์
- Published: Tuesday, 27 December 2022 22:46
- Hits: 1760
กรมเจรจาฯ เตือนผู้ส่งออกรับมือ หลังอียูจ่อห้ามนำเข้าสินค้า 7 กลุ่ม ที่มีส่วนทำลายป่า
กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เตือนผู้ส่งออกเตรียมรับมือหลังอียูยกร่างกฎหมายว่าด้วยสินค้าที่ปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่า เตรียมห้ามนำเข้าสินค้า 7 กลุ่ม วัวและผลิตภัณฑ์ ไม้และผลิตภัณฑ์กระดาษตีพิมพ์ ปาล์มน้ำมันและอนุพันธ์ของน้ำมันปาล์ม ถั่วเหลือง กาแฟ โกโก้ ยางพาราและผลิตภัณฑ์ หากมีส่วนทำลายป่า เผยจะเป็นกฎหมายฉบับแรกของโลก คาดบังคับใช้มิ.ย.66
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยถึงความคืบหน้าการยกร่างกฎหมายว่าด้วยสินค้าที่ปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่า (Deforestation-free products) ของสหภาพยุโรป (อียู) ว่า เมื่อวันที่ 6 ธ.ค.2565 ที่ผ่านมา ที่ประชุม 3 ฝ่าย (trilogue) ประกอบด้วยคณะกรรมาธิการยุโรป รัฐสภายุโรป และคณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรป ได้บรรลุข้อตกลงเบื้องต้นที่จะห้ามสินค้า 7 กลุ่ม ได้แก่ วัวและผลิตภัณฑ์ ไม้และผลิตภัณฑ์กระดาษตีพิมพ์ ปาล์มน้ำมันและอนุพันธ์ของน้ำมันปาล์ม ถั่วเหลือง กาแฟ โกโก้ ยางพาราและผลิตภัณฑ์ เข้าอียู
หากพบว่ามีส่วนในการทำลายป่า แต่ร่างกฎหมายนี้ จะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรปและรัฐสภายุโรปเต็มคณะก่อนบังคับใช้ ซึ่งคาดว่าจะมีผลใช้บังคับใช้ประมาณเดือนมิ.ย.2566 และหลังจากกฎหมายมีผลใช้บังคับ 2 ปี จะมีการทบทวนขอบเขตของสินค้า และคำนิยามของการตัดไม้ทำลายป่าและการทำให้ป่าเสื่อมโทรมเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลต่อไป
ทั้งนี้ หลังจากกฎหมายมีผลใช้บังคับ ในช่วง 18 เดือนแรก คณะกรรมาธิการสหภาพยุโรปจะจัดให้ทุกประเทศคู่ค้าอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีความเสี่ยงกลางในการผลิตสินค้าที่อาจเชื่อมโยงกับการทำลายป่า และจะใช้เวลาช่วงนี้ในการประเมินและจัดกลุ่มประเทศคู่ค้าเป็น 3 กลุ่ม คือ ระดับความเสี่ยงสูง กลาง และต่ำ ซึ่งจะส่งผลในการปฏิบัติต่อผู้นำเข้า เพราะอียูจะตรวจสอบอย่างเข้มงวดกับประเทศที่จัดอยู่ในกลุ่มระดับความเสี่ยงสูง
“ร่างกฎหมายนี้ ถือเป็นกฎหมายฉบับแรกของโลก ที่ห้ามนำเข้าสินค้าที่มีส่วนตัดไม้ทำลายป่า โดยกำหนดให้ผู้นำเข้าจะต้องจัดทำข้อมูล และแสดงหลักฐาน เอกสารยืนยันว่า สินค้าไม่ได้ผลิตบนที่ดินที่มีการทำลายป่า ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา กลุ่มอุตสาหกรรมไม้ของไทยได้เตรียมความพร้อมมาระยะหนึ่งแล้ว เนื่องจากก่อนหน้านี้ อียูเริ่มใช้แผนปฏิบัติการบังคับใช้กฎหมายป่าไม้ ธรรมาภิบาล และการค้า (Forest Law Enforcement, Governance and Trade: FLEGT) ร่วมกับประเทศผู้ผลิตไม้ ต้องมีการรับรองแหล่งที่มาของไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ว่าถูกต้องตามกฎหมาย รวมถึงจัดทำข้อตกลงการเป็นหุ้นส่วนด้วยความสมัครใจ (VPA) กับประเทศผู้ผลิตไม้ เพื่อป้องกันไม่ให้ไม้ผิดกฎหมายเข้ามาในตลาดอียู โดยไทยและอียูได้เริ่มการเจรจาจัดทำ FLEGT VPA ตั้งแต่ปี 2556” นางอรมนกล่าว
ที่ผ่านมา อียูได้มีการออกกฎระเบียบว่าด้วยการห้ามการจำหน่ายไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ที่ผิดกฎหมายในตลาดอียู (EUTR : EU Timber Regulation) ตั้งแต่เดือนมี.ค.2556 เพื่อมาเสริมมาตรการ FLEGT ขจัดปัญหาการทำไม้ผิดกฎหมาย รวมถึงการพัฒนาระบบธรรมาภิบาล ส่งผลให้กลุ่มอุตสาหกรรมไม้ของไทย ต้องให้ความสำคัญกับการตรวจสอบห่วงโซ่อุปทานกระบวนการผลิตให้สอดคล้องกับกฎหมายดังกล่าว โดยเฉพาะการจัดทำเอกสารแสดงสิทธิ์การใช้ที่ดินว่าไม่ได้บุกรุกป่า โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทย เช่น กรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้สิทธิประโยชน์บนที่ดิน และมีบทบาทสำคัญในการรับรองว่าการผลิตมีการรุกป่าหรือไม่ โดยได้มีการหารือและเตรียมการเรื่องนี้มาเป็นระยะแล้ว
ในปี 2564 ไทยส่งออกยางพาราและผลิตภัณฑ์ไปอียู มูลค่า 1,693.7 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วน 8% ของการส่งออกไทยไปโลก ไม้ มูลค่า 22.6 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 9% และเฟอร์นิเจอร์ มูลค่า 19.5 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 5% ส่วนสินค้ากลุ่มอื่น ๆ ได้แก่ วัวและผลิตภัณฑ์ ถั่วเหลือง โกโก้ และน้ำมันปาล์ม โดยไทยส่งออกไปอียูน้อย มีสัดส่วนต่ำกว่า 1% ของการส่งออกไปโลก
กรมเจรจาฯ เผยอียูสรุปมาตรการปรับคาร์บอน คุมเข้มเป็น 7 กลุ่มสินค้า บังคับใช้ 1 ต.ค.66
กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ แจ้งความคืบหน้ามาตรการปรับคาร์บอนก่อนเข้าพรมแดน (CBAM) ของอียู ล่าสุดปรับเพิ่มเป็น 7 กลุ่มสินค้า จากเดิม 5 กลุ่มสินค้า เตรียมเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.66 ก่อนใช้เต็มรูปแบบ 1 ม.ค.69 แนะผู้ประกอบการไทยคำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิตให้ดี เพิ่มทางเลือกในการผลิตสินค้า นำพลังงานสะอาดมาใช้ เพื่อลดภาระในการซื้อใบรับรอง CBAM ในอนาคต
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยถึงความคืบหน้าของการออกมาตรการปรับคาร์บอนก่อนเข้าพรมแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism : CBAM) ของสหภาพยุโรป (อียู) ว่า ล่าสุดการประชุม 3 ฝ่าย ระหว่างคณะกรรมาธิการยุโรป รัฐสภายุโรป และคณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรป ได้ข้อสรุปให้ขยายขอบเขตการบังคับใช้ CBAM จากเดิม 5 กลุ่มสินค้า ได้แก่ เหล็กและเหล็กกล้า อะลูมิเนียม ซีเมนต์ ปุ๋ย และไฟฟ้า เพิ่มเป็น 7 กลุ่มสินค้า
โดยรวมไฮโดรเจนและสินค้าปลายน้ำบางรายการ เช่น น็อตและสกรูที่ทำจากเหล็กและเหล็กกล้า การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อม (indirect emissions) เช่น ก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากการผลิตไฟฟ้าที่ใช้ในการผลิตสินค้า ซึ่งได้ข้อสรุปในรายละเอียดสำคัญของมาตรการดังกล่าวแล้ว และจะเริ่มบังคับใช้มาตรการ CBAM ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2566
ทั้งนี้ ที่ประชุมยังกำหนดให้วันที่ 1 ต.ค.2566 ถึงวันที่ 31 ธ.ค.2568 ซึ่งเป็นช่วงเปลี่ยนผ่าน ผู้นำเข้าสินค้า 7 กลุ่ม มีหน้าที่รายงานข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสินค้าที่ผลิต และเริ่มบังคับใช้มาตรการอย่างเต็มรูปแบบ ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2569 โดยผู้นำเข้าจะต้องซื้อใบรับรอง CBAM ตามปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสินค้านั้น และขั้นตอนต่อไป รัฐสภายุโรปและคณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรป ต้องเห็นชอบร่างกฎหมาย CBAM เป็นทางการ และคณะกรรมาธิการยุโรปต้องจัดทำกฎหมายลำดับรอง เพื่อกำหนดรายละเอียดในทางปฏิบัติก่อนที่มาตรการ CBAM จะมีผลใช้บังคับในเดือนต.ค.2566
“จากพัฒนาการของกฎหมาย CBAM ที่เกิดขึ้น กรมฯ ขอให้ผู้ประกอบการเตรียมความพร้อม โดยเฉพาะการคำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิต ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญที่ต้องนำมารายงานอียูภายใต้มาตรการ และควรพิจารณาทางเลือกใหม่ในกระบวนการผลิต เพื่อให้ปล่อยคาร์บอนต่ำ นำพลังงานสะอาด และหมุนเวียนมาใช้ เพื่อลดภาระในการซื้อใบรับรอง CBAM ในอนาคต”นางอรมนกล่าว
อย่างไรก็ตาม ล่าสุดหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทย เช่น องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) กระทรวงพาณิชย์ และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย อยู่ระหว่างการทำงานร่วมกันเพื่อเสริมสร้างองค์ความรู้ให้ผู้ประกอบการไทยแล้ว
ในปี 2564 สถิติการส่งออกสินค้าของไทยไปอียู ตามพิกัดสินค้าที่ระบุในร่างกฎหมาย CBAM ได้แก่ เหล็กและเหล็กกล้า มีมูลค่า 125.42 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็น 3.76% ของการส่งออกไปโลก อะลูมิเนียม มูลค่า 61.17 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็น 3.75% ของการส่งออกไปโลก และน๊อตและสกรู มูลค่า 95.89 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็น 19.96% ของการส่งออกไปโลก