- Details
- Category: พาณิชย์
- Published: Monday, 13 June 2022 17:50
- Hits: 3470
พาณิชย์ แจ้งข่าวดี! ส่งออก 'ตะปูเหล็ก' ไม่ถูกสหรัฐฯ เก็บภาษี CVD ส่วน 4 คู่แข่งไม่รอด
กรมการค้าต่างประเทศแจ้งข่าวดีผู้ส่งออก'ตะปูเหล็ก' เผยสหรัฐฯ ประกาศผลไต่สวนมาตรการตอบโต้การอุดหนุน (CVD) ชั้นต้นแล้ว พบไทยอุดหนุนต่ำแค่ 0.04-0.10% ทำให้ไม่ต้องถูกเรียกหลักประกันอากร แต่คู่แข่งอีก 4 ประเทศ ไม่รอด คาดส่งผลดีทำให้ไทยส่งออกไปสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น ก่อนลุ้นผลขั้นสุดท้ายอีกครั้งเดือนก.ย.นี้
นายพิทักษ์ อุดมวิชัยวัฒน์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยถึงกรณีที่ไทยและอีก 4 ประเทศ ประกอบด้วย โอมาน ตุรกี อินเดีย และศรีลังกา ถูกรัฐบาลสหรัฐฯ เปิดไต่สวนมาตรการตอบโต้การอุดหนุน (Countervailing Duty : CVD) สินค้าตะปูเหล็ก ว่า ขณะนี้มีผลการไต่สวนชั้นต้นออกมาแล้ว ปรากฏว่าสัดส่วนการให้การอุดหนุนในสินค้าตะปูเหล็กของไทยอยู่ที่ 0.04-0.10% ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ระดับที่ต่ำมาก จนเข้าข่ายว่าไม่มีการอุดหนุน (De minimis) ส่วน 4 ประเทศ มีอัตรา CVD
โดยโอมานอยู่ที่ 2.49% ตุรกี 1.33-3.88% อินเดีย 2.73-2.93% และศรีลังกา 4.12% ซึ่งจากผลการไต่สวนดังกล่าว ทำให้ทุกประเทศ ยกเว้นไทยต้องวางหลักประกันอากร ในอัตราดังกล่าวสำหรับการส่งออกตะปูเหล็กไปยังสหรัฐฯ แต่ตะปูเหล็กจากไทย ไม่ต้องวางหลักประกันอากร ถือเป็นก้าวแรกของความสำเร็จที่น่ายินดีของอุตสาหกรรมตะปูเหล็กไทย
ก่อนหน้านี้ อุตสาหกรรมภายในสหรัฐฯ ได้กล่าวหารัฐบาลและหน่วยงานภาครัฐของไทยว่ามีพฤติกรรมให้การอุดหนุน (Subsidy) ผ่าน 13 โครงการ เช่น โครงการสิทธิประโยชน์ในการลด ยกเว้นภาษีบางประการของ BOI โครงการเงินกู้สำหรับการส่งออกของ EXIM Bank หรือโครงการแทรกแซงค่าเงินบาทของธนาคารแห่งประเทศ โดยมีลักษณะให้ความช่วยเหลือ สนับสนุนผลประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยเฉพาะเจาะจงแก่ผู้ส่งออกสินค้าตะปูเหล็กเพื่อเพิ่มปริมาณการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ
“กรมฯ ในฐานะหน่วยงานกลางผู้รับผิดชอบในการดำเนินการแก้ต่างการใช้มาตรการ CVD ในกรณีดังกล่าว ได้ประสานอย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งสิ้น 13 หน่วยงาน เพื่อร่วมจัดทำข้อโต้แย้งต่อข้อกล่าวหาของสหรัฐฯ จนทำให้ผลการไต่สวนชั้นต้นออกมาเป็นประโยชน์กับอุตสาหกรรมตะปูเหล็กของไทย”นายพิทักษ์กล่าว
นายพิทักษ์ กล่าวว่า ข้อมูลสถิติระหว่างปี 2560-2564 สหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกสินค้าตะปูที่สำคัญอันดับ 1 ของไทยมาโดยตลอด โดยมูลค่าการส่งออกสินค้าตะปูจากไทยไปสหรัฐฯ ในปี 2564 อยู่ที่ 2,355 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 83.72% ของการส่งออกตะปูทั้งหมดจากไทย ในขณะที่สหรัฐฯ นำเข้าสินค้าตะปูเหล็กจากไทยในช่วงเวลาเดียวกัน มูลค่าสูงสุดเป็นลำดับที่ 5 หรือคิดเป็น 6.38% รองจากจีน โอมาน ไต้หวัน และแคนาดา ดังนั้น การที่ไทยไม่ถูกเรียกเก็บหลักประกันอากรจะส่งผลให้สามารถรักษาตลาดตะปู และปกป้องผลประโยชน์ทางการค้าในสหรัฐฯ ได้เป็นอย่างดี และสร้างความเชื่อมั่นต่อสินค้าตะปูเหล็กไทย
นอกจากนี้ การที่โอมาน ตุรกี อินเดีย และศรีลังกา ซึ่งเป็นประเทศที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดที่สำคัญของสินค้าตะปูในสหรัฐฯ ล้วนถูกพิจารณาให้ต้องวางหลักประกันอากรในการนำเข้า ยิ่งเป็นการสร้างแต้มต่อให้ไทยทำให้ผู้นำเข้าสหรัฐฯ หันมานำเข้าสินค้าตะปูเหล็กจากไทยเพิ่มมากขึ้น
สำหรับ ขั้นตอนต่อไปของการไต่สวนมาตรการ CVD ภายหลังการประกาศผลชั้นต้นแล้ว สหรัฐฯ จะดำเนินการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล (Verification) ก่อนประกาศผลการพิจารณาการไต่สวนชั้นที่สุด (Final Determination) ประมาณเดือนก.ย.2565 โดยคาดว่าไทยจะสามารถรักษาอัตราอากรดังกล่าวได้ ซึ่งกรมฯ จะติดตามสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับมาตรการทางการค้าอย่างใกล้ชิด โดยมุ่งมั่นที่จะลดอุปสรรคทางการค้า สร้างความเป็นธรรมทางการค้า และปกป้องผลประโยชน์ของผู้ประกอบการไทยต่อไป
ตะปูไทยเตรียมเฮ รอดภาษี CVD จากสหรัฐฯ ส่งออกสดใส
กรมการค้าต่างประเทศแย้มข่าวดี สหรัฐฯ แจ้งผลตอบโต้การอุดหนุนเบื้องต้นตะปูเหล็กไทยภาษีต่ำเพียงร้อยละ 0.04 – 0.10 รอดเดี่ยว ไม่ถูกเก็บหลักประกันอากรจาก 5 ประเทศที่ถูกกล่าวหา
นายพิทักษ์ อุดมวิชัยวัฒน์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ แจ้งว่าจากกรณีที่ไทยและอีก 4 ประเทศ ประกอบด้วย โอมาน ตุรกี อินเดีย และศรีลังกา ถูกรัฐบาลสหรัฐฯ เปิดไต่สวนมาตรการตอบโต้การอุดหนุน (Countervailing Duty : CVD) สินค้าตะปูเหล็ก เนื่องจากอุตสาหกรรมภายในสหรัฐฯ ได้กล่าวหารัฐบาลและหน่วยงานภาครัฐของไทยว่ามีพฤติกรรมให้การอุดหนุน (Subsidy) ผ่าน 13 โครงการ อาทิ โครงการสิทธิประโยชน์ในการลด/ยกเว้นภาษีบางประการของ BOI โครงการเงินกู้สำหรับการส่งออกของ EXIM Bank หรือโครงการแทรกแซงค่าเงินบาทของธนาคารแห่งประเทศ
โดยมีลักษณะให้ความช่วยเหลือ สนับสนุนผลประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยเฉพาะเจาะจงแก่ผู้ส่งออกสินค้าตะปูเหล็กเพื่อเพิ่มปริมาณการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ ซึ่งกรมการค้าต่างประเทศในฐานะหน่วยงานกลางผู้รับผิดชอบในการดำเนินการแก้ต่างการใช้มาตรการ CVD ในกรณีดังกล่าว ได้ประสานอย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งสิ้น 13 หน่วยงาน เพื่อร่วมจัดทำข้อโต้แย้งต่อข้อกล่าวหาของสหรัฐฯ
โดยในผลชั้นต้นปรากฏว่าสัดส่วนการให้การอุดหนุนในสินค้าตะปูเหล็กของไทยอยู่ที่ร้อยละ 0.04 - 0.10 ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ระดับที่ต่ำมากจนเข้าข่ายว่าไม่มีการอุดหนุน (De minimis) ส่งผลให้ในชั้นนี้ การนำเข้าตะปูเหล็กจากไทยจึงไม่ต้องวางหลักประกันอากร ซึ่งนับเป็นก้าวแรกของความสำเร็จที่น่ายินดีของอุตสาหกรรมตะปูเหล็กไทย ทั้งนี้ อีก 4 ประเทศ พบว่ามีอัตรา CVD ดังนี้ โอมาน ร้อยละ 2.49 ตุรกี ร้อยละ 1.33 - 3.88 อินเดีย ร้อยละ 2.73 - 2.93 และศรีลังกา ร้อยละ 4.12 ซึ่งจากผลการไต่สวนเบื้องต้นทำให้ทุกประเทศยกเว้นไทยต้องวางหลักประกันอากร ในอัตราดังกล่าวสำหรับการส่งออกตะปูเหล็กไปยังสหรัฐฯ
นายพิทักษ์ฯ เพิ่มเติมว่าจากข้อมูลสถิติระหว่างปี 2560-2564 พบว่าสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกสินค้าตะปูที่สำคัญอันดับ 1 ของไทยมาโดยตลอด โดยมูลค่าการส่งออกสินค้าตะปูจากไทยไปสหรัฐฯ ในปี 2564 อยู่ที่ 2,355 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง ร้อยละ 83.72 ของการส่งออกตะปูทั้งหมดจากไทย ในขณะที่ สหรัฐฯ นำเข้าสินค้าตะปูเหล็กจากไทยในช่วงเวลาเดียวกัน มูลค่าสูงสุดเป็นลำดับที่ 5 หรือคิดเป็นร้อยละ 6.38 รองจาก จีน โอมาน ไต้หวัน และแคนาดา
ดังนั้น การที่ไทยไม่ถูกเรียกเก็บหลักประกันอากรจะส่งผลให้เราสามารถรักษาตลาดตะปู และปกป้องผลประโยชน์ทางการค้าในสหรัฐฯ ได้เป็นอย่างดี และสร้างความเชื่อมั่นต่อสินค้าตะปูเหล็กไทย นอกจากนี้ การที่โอมาน ตุรกี อินเดีย และ ศรีลังกา ซึ่งเป็นประเทศที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดที่สำคัญของสินค้าตะปูในสหรัฐฯ ล้วนถูกพิจารณาให้ต้องวางหลักประกันอากรในการนำเข้ายิ่งเป็นการสร้างแต้มต่อให้ไทยทำให้ผู้นำเข้าสหรัฐฯ หันมานำเข้าสินค้าตะปูเหล็กจากไทยเพิ่มมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
สำหรับ ขั้นตอนต่อไปของการไต่สวนมาตรการ CVD นั้น ภายหลังการประกาศผลชั้นต้นแล้ว สหรัฐฯ จะดำเนินการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล (Verification) ก่อนประกาศผลการพิจารณาการไต่สวนชั้นที่สุด (Final Determination) ประมาณเดือนกันยายน 2565 ซึ่งคาดว่าไทยจะสามารถรักษาอัตราอากรดังกล่าวได้ ซึ่งกรมฯ จะติดตามสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับมาตรการทางการค้าอย่างใกล้ชิด โดยมุ่งมั่นที่จะลดอุปสรรคทางการค้า สร้างความเป็นธรรมทางการค้า และปกป้องผลประโยชน์ของผู้ประกอบการไทยอย่างยั่งยืน สำหรับผู้มีส่วนได้เสียหรือผู้ที่สนใจสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ กรมการค้าต่างประเทศ www.dft.go.th นายพิทักษ์ฯ กล่าวทิ้งท้าย