- Details
- Category: พาณิชย์
- Published: Monday, 04 April 2022 22:57
- Hits: 7603
สนค.แนะทางรอดวิกฤตปุ๋ยแพง เสนอใช้ปุ๋ยเคมีอย่างคุ้มค่า มุ่งใช้ปุ๋ยอินทรีย์เพิ่ม
สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) แนะทางออกฝ่าวิกฤตปุ๋ยแพง ระยะสั้น เสนอใช้ปุ๋ยเคมีอย่างคุ้มค่า หาแหล่งนำเข้าแม่ปุ๋ยทดแทนจากตุรกีและบราซิล ระยะกลางและยาว หนุนใช้ปุ๋ยอินทรีย์ทดแทนปุ๋ยเคมี มุ่งสู่การผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมตลาดสินค้าอินทรีย์ หลังได้รับผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ดันราคาปุ๋ยตลาดโลก และในไทยเพิ่มสูงขึ้น
นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ ผู้อํานวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า สนค.ได้ศึกษาวิเคราะห์สถานการณ์ปุ๋ย ซึ่งเป็นสินค้าที่ไทยได้รับผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ตามข้อสั่งการของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ให้ติดตามสถานการณ์การค้า สถานการณ์ราคา และเสนอแนะทางออก
โดยมีข้อเสนอว่าในระยะสั้น ควรส่งเสริมการใช้ปุ๋ยเคมีอย่างมีประสิทธิภาพ ในสัดส่วนที่เหมาะสมคุ้มค่า และใช้ปุ๋ยอินทรีย์ทดแทนให้มากขึ้น รวมทั้งควรมีการกระจายแหล่งนำเข้า โดยอาจนำเข้าจากกลุ่มประเทศอาเซียนมากขึ้น และหาแหล่งนำเข้าแม่ปุ๋ยแหล่งใหม่เพิ่มเติม เช่น ตุรกี แม่ปุ๋ยไนโตรเจน และบราซิล แม่ปุ๋ยโพแทสเซียม
ส่วนระยะกลาง ควรส่งเสริมการผลิตและใช้ปุ๋ยอินทรีย์ในประเทศให้มากขึ้น สอดคล้องกับหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และใช้วัสดุอินทรีย์เหลือทิ้งจากวัตถุดิบในท้องถิ่นอย่างคุ้มค่า เพื่อเพิ่มรายได้เกษตรกรในการจำหน่ายวัตถุดิบเหลือใช้จากการเกษตรนำมาทำปุ๋ยอินทรีย์ และในระยะยาว ควรส่งเสริมการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม กำหนดเป้าหมายการผลิตและการใช้ในประเทศเพิ่มขึ้น ถือเป็นการดำเนินธุรกิจภายใต้โมเดลเศรษฐกิจ BCG และส่งเสริมตลาดสินค้าอินทรีย์
ตลอดจนสร้างความโปร่งใสด้านข้อมูลให้ตลาดปุ๋ยภายในประเทศ ด้วยการเก็บรวบรวมข้อมูลความต้องการใช้กับปริมาณปุ๋ยภายในประเทศ รวมทั้งข้อมูลราคา การกระจายของสินค้า โดยอาจมีการแจ้งเตือนสต็อกล่วงหน้า เพื่อให้แน่ใจว่าไม่เกิดการกักตุน หรือปรับเพิ่มราคา
ทั้งนี้ ราคาปุ๋ยเคมีที่ปรับตัวสูงขึ้น มาจากก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิตปุ๋ยไนโตรเจน มีราคาสูงขึ้น จึงส่งผลให้ราคาปุ๋ยไนโตรเจนสูงขึ้นตามไปด้วย และรัสเซียผู้ส่งออกปุ๋ยเคมีอันดับ 1 ของโลก ได้จำกัดการส่งออกปุ๋ยไนโตรเจนตั้งแต่เดือนธ.ค.2564 เพื่อควบคุมเงินเฟ้อกลุ่มราคาอาหารที่สูงขึ้น และป้องกันการขาดแคลนปุ๋ยในประเทศ และได้รับผลกระทบจากกรณีสงครามรัสเซีย-ยูเครน ทำให้ต่อมาในเดือนมี.ค.2565 รัสเซียระงับการส่งออกปุ๋ยและสินค้าอื่น ๆ กว่า 200 รายการเพิ่มเติม
จากที่ระงับส่งออกปุ๋ยกลุ่มไนโตรเจนไปก่อนหน้า ตอบโต้การคว่ำบาตรของประเทศตะวันตก รวมทั้งจากการที่จีนที่มีนโยบายส่งออกปุ๋ยน้อยลง จึงส่งผลให้ราคาปุ๋ยทั่วโลก รวมทั้งไทย ปรับตัวสูงขึ้น โดยราคาปุ๋ยที่เพิ่มขึ้นส่งผลกระทบทางอ้อมต่อภาวะเงินเฟ้อของไทย ทำให้ต้นทุนการผลิตสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องเพิ่มขึ้น
ปัจจุบันรัสเซียเป็นผู้ผลิตและผู้ส่งออกปุ๋ยที่สำคัญของโลก ข้อมูลสถิติจาก Trade Map พบว่า ปี 2563 รัสเซียเป็นผู้ส่งออกปุ๋ยเคมีอันดับที่ 1 ของโลก มีปริมาณทั้งสิ้น 34.13 ล้านตัน มูลค่า 6,992.63 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็น 13.01% ของมูลค่าการส่งออกปุ๋ยเคมีโลก โดยชนิดปุ๋ยที่รัสเซียมีการส่งออกในปริมาณมากไปน้อย ดังนี้ 1.ปุ๋ยไนโตรเจน 13.73 ล้านตัน มูลค่า 2,484.58 ล้านเหรียญสหรัฐ 2.ปุ๋ยผสม 10.82 ล้านตัน มูลค่า 2,731.33 ล้านเหรียญสหรัฐ 3.ปุ๋ยโพแทสเซียม 9.58 ล้านตัน มูลค่า 1,776.48 ล้านเหรียญสหรัฐ และ 4.ปุ๋ยฟอสฟอรัส 1,714 ตัน มูลค่า 0.25 ล้านเหรียญสหรัฐ
สำหรับ ไทย มีความจำเป็นต้องนำเข้าปุ๋ย เนื่องจากผลิตได้ไม่พอต่อความต้องการใช้ในประเทศ โดยในปี 2564 ไทยนำเข้าปุ๋ยรวม 5.6 ล้านตัน เป็นมูลค่า 73,860.20 ล้านบาท แบ่งเป็นปุ๋ยไนโตรเจน 2.74 ล้านตัน มูลค่า 33,185.24 ล้านบาท ปุ๋ยผสม 1.92 ล้านตัน มูลค่า 30,081.50 ล้านบาท ปุ๋ยโพแทสเซียม 0.98 ล้านตัน มูลค่า 10,558.40 ล้านบาท ปุ๋ยฟอสฟอรัส 4,238.7 ตัน มูลค่า 15.43 ล้านบาท และปุ๋ยอินทรีย์ 490.5 ตัน 19.62 มูลค่า 19.62 ล้านบาท แหล่งนำเข้าปุ๋ยที่สำคัญของไทย ได้แก่ จีน ซาอุดิอาระเบีย มาเลเซีย รัสเซีย และกาตาร์ สัดส่วน 22.3% 14.5% 8.8% 7.9% และ 7.0% ตามลำดับ