- Details
- Category: พาณิชย์
- Published: Saturday, 05 March 2022 10:24
- Hits: 8426
ไทยใช้สิทธิ FTA ปี 64 พุ่ง 31% ส่งออก 7.6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ มูลค่าสูงที่สุดในรอบ 6 ปี
กรมการค้าต่างประเทศเผยตัวเลขการใช้สิทธิประโยชน์จากความตกลง FTA ทั้งปี 2564 (มกราคม – ธันวาคม) มูลค่า 76,312.79 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 31.40 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน นับเป็นมูลค่าการใช้สิทธิฯ ที่สูงที่สุดในรอบ 6 ปีที่ผ่านมา และยังเป็นการขยายตัวในทุกตลาด โดยตลาดอาเซียนครองอันดับ 1 ตามติดด้วยจีน สินค้ารถยนต์ ผลไม้สด อาหารแช่แข็ง ครองแชมป์ส่งออก
นายพิทักษ์ อุดมวิชัยวัฒน์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยการใช้สิทธิประโยชน์สำหรับการส่งออกภายใต้ความตกลงการค้าเสรี (FTA) ในปี 2564 (มกราคม – ธันวาคม) มีมูลค่ารวม 76,312.79 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 31.40 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และมีสัดส่วนการใช้สิทธิฯ สูงถึงร้อยละ 78.17 โดยเป็นการใช้สิทธิฯ เพิ่มขึ้นสูงในทุกตลาด ดังนี้ 1) อาเซียน ขยายตัวร้อยละ 35.91 2) ออสเตรเลีย ขยายตัวร้อยละ 21.28 3) ชิลี ขยายตัวร้อยละ 72.66 4) จีน ขยายตัวร้อยละ 33.61 5) อินเดีย ขยายตัวร้อยละ 48.17 6) ญี่ปุ่น ขยายตัวร้อยละ 8.46 7) เกาหลีใต้ ขยายตัวร้อยละ 38.30 8) นิวซีแลนด์ (ใช้สิทธิฯ
ภายใต้ความตกลงอาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์) ขยายตัวร้อยละ 49.26 และ 9) เปรู ขยายตัวร้อยละ 143.17 สินค้าสำคัญที่พบว่ามีมูลค่าการส่งออกสูง และมีการส่งออกเพิ่มขึ้นในหลายตลาดในปี 2564 อาทิ ยานยนต์ (ขยายตัวในตลาดอาเซียน จีน ออสเตรเลีย ชิลี เปรู) ผลไม้สด (ขยายตัวในตลาดอาเซียน จีน เกาหลีใต้) อาหารแช่แข็ง/อาหารปรุงแต่ง (ขยายตัวในตลาดญี่ปุ่น เปรู เกาหลี นิวซีแลนด์) เครื่องเพชรพลอยและรูปพรรณ (ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น ชิลี) ตู้เย็น (เกาหลีใต้ อินเดีย อาเซียน ชิลี) เครื่องปรับอากาศ (อาเซียน เกาหลีใต้ นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย) เป็นต้น โดยตลาดที่มีมูลค่าการใช้สิทธิ FTA สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่
อันดับ 1 อาเซียน (มูลค่า 26,280.12 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) มีตลาดส่งออกสำคัญคือ เวียดนาม (มูลค่า 7,634.19 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) อินโดนีเซีย (มูลค่า 5,829.69 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) มาเลเซีย (มูลค่า 4,974.57 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) และฟิลิปปินส์ (มูลค่า 4,530.28 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) สินค้าสำคัญที่มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ สูง และมีการขยายตัวของการใช้สิทธิฯ อาทิ ยานยนต์สำหรับขนส่งของที่น้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุกไม่เกิน 5 ตัน รถยนต์สำหรับขนส่งบุคคล น้ำมันปิโตรเลียมและน้ำมันจากแร่บิทูมินัส เครื่องปรับอากาศ ผลไม้สด ฝรั่ง มะม่วง มังคุดสดหรือแห้ง เป็นต้น
อันดับ 2 จีน (มูลค่า 25,327.26 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) สินค้าสำคัญที่มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ สูง และมีการขยายตัวของการใช้สิทธิฯ อาทิ ทุเรียนสด มันสำปะหลัง ฝรั่ง มะม่วง มังคุด รถยนต์และยานยนต์ขนส่งบุคคล ผลไม้สด เช่น ลำไย ลิ้นจี่ เงาะ ลางสาด มะพร้าวทั้งกะลา เป็นต้น
อันดับ 3 ออสเตรเลีย (มูลค่า 8,474.04 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) สินค้าสำคัญที่มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ สูง และมีการขยายตัวของการใช้สิทธิฯ อาทิ รถยนต์ขนส่งของน้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุก ไม่เกิน 5 ตัน รถยนต์ขนส่งบุคคล เครื่องปรับอากาศติดผนังและส่วนประกอบ เครื่องเพชรพลอยหรือรูปพรรณทำหรือชุบด้วยเงิน เป็นต้น
อันดับ 4 ญี่ปุ่น (มูลค่า 7,045.02 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) สินค้าสำคัญที่มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ สูง และมีการขยายตัวของการใช้สิทธิฯ อาทิ เนื้อไก่และส่วนอื่นของไก่แช่เย็น กุ้งปรุงแต่ง ปลาปรุงแต่ง ลวดและเคเบิลทำด้วยทองแดง เครื่องเพชรพลอยและรูปพรรณทำด้วยโลหะมีค่า เป็นต้น
อันดับ 5 อินเดีย (มูลค่า 4,899.95 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) สินค้าสำคัญที่มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ สูง และมีการขยายตัวของการใช้สิทธิฯ อาทิ ลวดทองแดง โพลิ (ไวนิลคลอไรด์) โทลูอีน ตู้เย็น ส่วนประกอบของเครื่องปรับอากาศ อาหารสุนัขหรือแมว เป็นต้น
การใช้สิทธิฯ FTA ในปี 2564 ที่มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ ที่ 76,312.79 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ถือว่ามีมูลค่าสูงสุด เมื่อเทียบกับช่วง 6 ปีที่ผ่านมา โดยในภาพรวมช่วง 6 ปีย้อนหลัง (2558-2563) มีมูลค่าใช้สิทธิฯ ตามลำดับ ดังนี้ ปี 2558 มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ 50,494 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ปี 2559 มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ 52,413 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ปี 2560 มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ 60,342 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ปี 2561 มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ 69,602 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ปี 2562 มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ 65,560 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และปี 2563 มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ 58,077 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศกล่าวเสริมถึงสัดส่วนการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ FTA ซึ่งเป็นการเปรียบเทียบมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ FTA กับมูลค่าการส่งออกของสินค้าที่ได้รับสิทธิพิเศษในการลดภาษีภายใต้ FTA 5 อันดับแรก มีดังนี้ อันดับ 1 ไทย-เปรู (ร้อยละ 100) อันดับ 2 อาเซียน-จีน (ร้อยละ 95.66) อันดับ 3 ไทย-ชิลี (ร้อยละ 93.24) อันดับ 4 ไทย-ญี่ปุ่น (ร้อยละ 79.25) และอันดับ 5 อาเซียน-เกาหลี (ร้อยละ 71.72)
ทั้งนี้ ข้อมูลข้างต้นเป็นข้อมูลการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ FTA จำนวน 11 ฉบับ ได้แก่ เขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) ความตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย (TAFTA) ความตกลงเพื่อจัดตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ (AANZFTA) ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจอาเซียน-ญี่ปุ่น (AJCEP) ความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน (ACFTA) ความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี (AKFTA) ความตกลงการค้าเสรีไทย-ชิลี (TCFTA) ความตกลงว่าด้วยการเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นไทย-เปรู (TPCEP) ความตกลงเขตการค้าเสรีไทย-อินเดีย (TIFTA) และความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-อินเดีย (AIFTA)
โดยไม่รวมถึงความตกลง RCEP ซึ่งเป็นความตกลงใหม่ที่เพิ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2565 ที่ผ่านมา ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ฮ่องกงที่ภาษีนำเข้าเป็น 0 จึงไม่จำเป็นต้องใช้สิทธิ FTA เพื่อลดภาษี และความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นไทย-นิวซีแลนด์ (TNZCEP) ที่ไม่มีการขอหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าเพื่อใช้สิทธิ FTA แต่เป็นการรับรองตนเองของผู้ส่งออก (self-declaration)
หากผู้ประกอบการมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าสามารถค้นหาข้อมูลได้ที่เว็บไซต์กรมการค้าต่างประเทศ www.dft.go.th หรือโทร สายด่วน 1385 รวมถึงไลน์แอปพลิเคชันชื่อบัญชี“@gsp_helper”