- Details
- Category: พาณิชย์
- Published: Tuesday, 01 March 2022 11:02
- Hits: 5659
สินิตย์ หนุนผู้ประกอบการยางแปรรูปเพิ่มมูลค่า ใช้ประโยชน์ FTA ขยายตลาดส่งออก
สินิตย์ เผยส่งออกยางพาราและผลิตภัณฑ์ยังสดใส ครองแชมป์ผู้ส่งออกยางพาราอันดับ 1 โลก และผลิตภัณฑ์อันดับ 4 โลก แนะผู้ประกอบการเร่งแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง เพิ่มโอกาสส่งออก และอย่าลืมใช้ประโยชน์จาก FTA ในการขยายตลาด ระบุล่าสุดคู่ FTA 16 ประเทศไม่เก็บภาษียางพารา และ 14 ประเทศ ไม่เก็บภาษีผลิตภัณฑ์ยาง
นายสินิตย์ เลิศไกร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศติดตามข้อมูลการส่งออกสินค้าศักยภาพของไทย ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 โดยเฉพาะสินค้ายางพาราและผลิตภัณฑ์ยาง โดยได้รับรายงานว่าไทยยังคงส่งออกยางพาราและผลิตภัณฑ์ยางสู่ตลาดโลกได้ดี และขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยครองแชมป์ผู้ส่งออกยางพาราอันดับ 1 ของโลก และเป็นผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์ยางอันดับ 4 ของโลก
และคาดว่าแนวโน้มตลาดสินค้ายางพาราและผลิตภัณฑ์ยางจะเติบโตมากขึ้น เนื่องจากเศรษฐกิจโลกที่เริ่มฟื้นตัว และมีความต้องการยางพาราในอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง รวมถึงสินค้าผลิตภัณฑ์ยางทั้งกลุ่มยานยนต์ ชิ้นส่วนถุงมือยางและอุปกรณ์ยางทางการแพทย์ จึงได้สั่งการให้เร่งศึกษาช่องทางเพิ่มโอกาสให้กับผู้ประกอบการไทยสามารถขยายส่งออกไปตลาดต่างประเทศ โดยใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรี (FTA) ด้วย
“ผู้ประกอบการไทยควรพัฒนาการแปรรูปยางพาราให้เป็นผลิตภัณฑ์ยางที่มีมูลค่าสูง ทั้งคุณสมบัติด้านความทนทาน ยืดหยุ่นสูง ลดการสั่นสะเทือน และป้องกันกระแสไฟฟ้า ซึ่งจะทำให้สามารถใช้ประโยชน์ได้หลากหลายอุตสาหกรรม เช่น รถยนต์ เครื่องจักร เครื่องใช้ไฟฟ้า เคมีภัณฑ์ และพลังงานไฟฟ้า รวมทั้งการส่งเสริมด้านวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตขั้นสูง จะช่วยให้อุตสาหกรรมยางพาราไทยเป็นที่ต้องการของโลก และครองความเป็นผู้นำด้านการผลิตและส่งออกได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน”นายสินิตย์กล่าว
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า ผู้ประกอบการไทยสามารถใช้ประโยชน์จาก FTA ขยายตลาดส่งออกยางพาราและผลิตภัณฑ์ยางได้ โดยสินค้ายางพารา คู่ FTA 16 ประเทศของไทย ได้แก่ อาเซียน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ชิลี เปรู และฮ่องกง ยกเลิกภาษีนำเข้าให้ไทยแล้ว คงเหลือ 2 ประเทศ คือ อินเดีย เก็บภาษีนำเข้าน้ำยางธรรมชาติ 70% และยางแผ่นรมควัน 20% และจีน เก็บภาษียางพารา 20%
ส่วนสินค้าผลิตภัณฑ์ยาง คู่ FTA 14 ประเทศ ได้แก่ อาเซียน ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และฮ่องกง ยกเลิกภาษีนำเข้าสินค้าผลิตภัณฑ์ยางทุกรายการจากไทยแล้ว คงเหลืออีก 4 ประเทศ ที่ยังเก็บภาษีนำเข้าผลิตภัณฑ์ยางบางรายการ เช่น จีน เก็บภาษียางสังเคราะห์ 5% เกาหลีใต้ เก็บภาษียางสังเคราะห์และเส้นด้ายยาง 5% อินเดีย เก็บภาษียางนอกชนิดที่ใช้กับรถยนต์นั่ง และของที่ทำด้วยยาง อาทิ rubber band 5% และชิลี เก็บภาษียางนอกชนิดที่ใช้กับรถยนต์นั่งและรถบัส 0.7% และจะลดเป็น 0% ในปี 2566
นอกจากนี้ ภายใต้ความตกลง RCEP ที่มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 ม.ค.2565 ที่ผ่านมา จีนได้ลดภาษีสินค้ายางสังเคราะห์เพิ่มเติมให้ไทย และจะทยอยลดลงจนเหลือ 0% ในปี 2584 และเกาหลีใต้ จะทยอยลดภาษีนำเข้าเส้นด้ายยางจนเหลือ 0% ในปี 2580 และลดภาษียางสังเคราะห์คงเหลือเพียง 4%
ในปี 2564 ไทยส่งออกยางพาราและผลิตภัณฑ์ยางสู่ตลาดโลก มูลค่า 20,059.3 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 28.3% แบ่งเป็นการส่งออกยางพารา มูลค่า 5,590.2 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 58.6% และผลิตภัณฑ์ยาง มูลค่า 14,469.06 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 19.4% ตลาดส่งออกสำคัญ ได้แก่ สหรัฐฯ จีน มาเลเซีย ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ทั้งนี้ ไทยส่งออกสินค้ายางพาราและผลิตภัณฑ์ยางไปประเทศคู่ FTA มูลค่า 9,762.1 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วน 48.6% ของการส่งออกยางพาราและผลิตภัณฑ์ยางทั้งหมดของไทย เพิ่ม 23.5% โดยส่งออกยางพาราไปประเทศคู่ FTA มูลค่า 3,771.9 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 50.4% คิดเป็นสัดส่วน 67.4% ของการส่งออกยางพาราทั้งหมดของไทย
จีนตลาดส่งออกสำคัญอันดับ 1 รองลงมา คือ อาเซียน สหรัฐฯ ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ สินค้าส่งออกหลัก ได้แก่ ยางแท่ง น้ำยาง และยางแผ่นรมควัน และไทยส่งออกผลิตภัณฑ์ยางไปประเทศคู่ FTA มูลค่า 5,990.3 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 11.% คิดเป็นสัดส่วน 41.4% ของการส่งออกผลิตภัณฑ์ยางทั้งหมดของไทย ตลาดส่งออกสำคัญ ได้แก่ สหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น อาเซียน และออสเตรเลีย สินค้าส่งออกหลัก ได้แก่ ยางล้อ ยางสังเคราะห์ และถุงมือยาง