- Details
- Category: พาณิชย์
- Published: Monday, 14 February 2022 23:17
- Hits: 10215
กรมเจรจาฯ ลงพื้นที่จังหวัดเลย หนุน'ไม้ดอกไม้ประดับ-กาแฟ' ใช้ FTA ขยายส่งออก
กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ลงพื้นที่จังหวัดเลย ชี้ช่องเกษตรกรผู้ปลูกไม้ดอกไม้ประดับ ใช้ประโยชน์จาก FTA ขยายตลาดต่างประเทศ เหตุมีคู่เจรจา FTA กับไทยถึง 17 ประเทศที่ไม่เก็บภาษีแล้ว เหลือแค่อินเดียชาติเดียว พร้อมแนะกาแฟ เร่งเพิ่มมูลค่า สร้างอัตลักษณ์ และอย่าลืมใช้ FTA เบิกทางส่งออก เผยมี 14 ประเทศที่ไม่เก็บภาษีแล้ว มีญี่ปุ่น จีน เปรู อินเดีย ที่ยังเก็บอยู่ แต่ญี่ปุ่นจะลดภาษีให้ไทยภายใต้ RCEP เหลือ 0% ในปี 80
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 11–12 ก.พ.2565 ที่ผ่านมา ได้ลงพื้นที่พบปะกลุ่มเกษตรกรและผู้ประกอบการสินค้าเกษตรจังหวัดเลย เพื่อหารือเรื่องโอกาสและช่องทางการใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรี (FTA) กับสินค้าเกษตรของไทย โดยกลุ่มแรก เป็นกลุ่มแปลงใหญ่ไม้ดอกไม้ประดับบ้านแก่งไฮ ตำบลหนองบัว อำเภอภูเรือ ปลูกต้นคริสต์มาส ไม้ใบ ไม้มงคล ไม้ฟอกอากาศ ไม้จิ๋ว ส่งขายทั่วประเทศ แต่มีความสนใจที่จะขยายกำลังการผลิตเพื่อส่งออก ซึ่งได้แนะนำให้ใช้ประโยชน์จาก FTA เพราะ 17 ประเทศที่ไทยมี FTA ด้วย ได้ยกเลิกการเก็บภาษีศุลกากรกับไม้ดอกไม้ประดับส่งออกจากไทยแล้ว ยังเหลืออินเดียที่ยังคงเก็บภาษีศุลกากรกับไม้ดอกที่ 60% และไม้ประดับที่ 30%
ทั้งนี้ ปัจจุบันไทยเป็นผู้ส่งออกไม้ดอกไม้ประดับ อันดับที่ 1 ในอาเซียน และอันดับที่ 16 ของโลก มีมูลค่าการส่งออกในปี 2564 อยู่ที่ 124.2 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีสหรัฐฯ อาเซียน (ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย สปป.ลาว) ญี่ปุ่น เนเธอร์แลนด์ และจีน เป็นตลาดส่งออกหลัก
ขณะเดียวกัน ได้จัดสัมมนา เรื่อง “รอบรู้ตลาดการค้าเสรี สร้างแต้มต่อกาแฟไทยขยายตลาดส่งออก” โดยมีนายผดุงศักดิ์ หาญปรีชาสวัสดิ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเลย เปิดงาน มีผู้ผลิตกาแฟ วิสาหกิจชุมชนในพื้นที่จากอำเภอภูเรือ อำเภอนาแห้ว และอำเภอเมือง เข้าร่วมหารือกับผู้แทนกรมฯ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย พาณิชย์จังหวัดเลย และเกษตรและสหกรณ์จังหวัดเลย ซึ่งเห็นพ้องกันว่า การพัฒนากาแฟไทยให้ได้คุณภาพ สามารถสร้างจุดแข็งจากอัตลักษณ์ ความพิเศษของกาแฟไทย จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กาแฟไทยสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งผู้ประกอบการยังสามารถใช้ประโยชน์จาก FTA ขยายกาแฟไทยสู่ตลาดโลกได้อีกด้วย
โดยปัจจุบัน 14 ประเทศคู่ FTA ของไทย คือ อาเซียน ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฮ่องกง ชิลี ไม่เก็บภาษีศุลกากรกับเมล็ดกาแฟที่ส่งออกจากไทยทุกรายการแล้ว ขณะที่ 4 ประเทศ ยังเก็บภาษีศุลกากรอยู่ คือ ญี่ปุ่น กาแฟคั่ว 10-12% จีน กาแฟไม่ได้คั่ว ทั้งที่แยกและไม่ได้แยกกาเฟอีน และกาแฟคั่วที่ไม่ได้แยกกาเฟอีน 5% เปรู กาแฟคั่วและไม่คั่ว 6-11% และอินเดีย กาแฟคั่ว 100% โดยญี่ปุ่นได้ตกลงลดภาษีศุลกากรกับสินค้ากาแฟคั่วส่งออกจากไทย ภายใต้กรอบความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) โดยจะทยอยลดภาษีให้เหลือ 0% ในปี 2580
ส่วนตลาดส่งออก ในปี 2564 ไทยส่งออกกาแฟดิบ กาแฟคั่ว และกาแฟสำเร็จรูปไปตลาดโลกรวมมูลค่า 103.62 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีกัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา ออสเตรเลีย และฟิลิปปินส์ เป็นตลาดสำคัญ
อย่างไรก็ตาม ในการสัมมนาครั้งนี้ นายชูศักดิ์ ชื่นประโยชน์ รองประธานกรรมการหอการค้าไทย ได้แนะนำให้ผู้เข้าร่วมสัมมนารู้จักกับ ‘น่านโมเดล’ ที่สภาหอการค้าไทยไปจับมือกับผู้ปลูกกาแฟจังหวัดน่าน นำผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน มาช่วยพัฒนาคุณภาพ ส่งเสริมการตลาด สร้างตรารับรองต่างๆ เช่น ตรา GAP ตราฮาลาล ตลอดจนให้คำแนะนำเรื่องการปลูก การทดสอบดิน การให้น้ำ ให้ปุ๋ย ตัดแต่งใบ กำจัดโรคและแมลง เป็นต้น ทำให้ได้ผลผลิตกาแฟสูงถึง 3 ตันต่อไร่ (จากปกติประมาณ 1 ตันต่อไร่) รวมมูลค่าประมาณ 6 หมื่นบาท ซึ่งช่วยสร้างรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืนให้กับเกษตรกรได้ในระยะยาว
เจรจาการค้าระหว่างประเทศ ลงพื้นที่เมืองเลย สำรวจศักยภาพสินค้ากาแฟและไม้ประดับ
กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ลงพื้นที่เมืองเลย สำรวจศักยภาพสินค้ากาแฟและไม้ประดับ กลุ่มแปลงใหญ่ไม้ดอกไม้ประดับ อ.ภูเรือ และจัดสัมมนาชี้ช่องโอกาสขยายส่งออกกาแฟไทย หนุนใช้ประโยชน์ FTA เจาะตลาดต่างประเทศ หวังยกระดับสินค้า สร้างรายได้เพิ่มให้เกษตรกรไทย
นายผดุงศักดิ์ หาญปรีชาสวัสดิ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเลย พร้อมด้วย นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ร่วมเปิดงานสัมมนา เรื่อง ‘รอบรู้ตลาดการค้าเสรี สร้างแต้มต่อกาแฟไทยขยายตลาดส่งออก’ ห้องประชุมโรงแรมภูเรือ แซงค์ฌัวรี รีสอร์ท แอนด์ สปา จ.เลย มีผู้ผลิตกาแฟ วิสาหกิจชุมชนในพื้นที่จากอำเภอภูเรือ อำเภอนาแห้ว อำเภอปากชม อำเภอนาด้วง และอำเภอเมือง เข้าร่วมหารือกับผู้แทนกรมเจรจาฯ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย พาณิชย์จังหวัดเลย และเกษตรและสหกรณ์จังหวัดเลย ซึ่งเห็นพ้องกันว่า การพัฒนากาแฟไทยให้ได้คุณภาพ สามารถสร้างจุดแข็งจากอัตลักษณ์ ความพิเศษของกาแฟไทยจะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กาแฟไทยสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งผู้ประกอบการยังสามารถใช้ประโยชน์จาก FTA ขยายกาแฟไทยสู่ตลาดโลกได้อีกด้วย
โดยเมื่อวันที่ 11-12 กุมภาพันธ์ 2565 นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ได้ลงพื้นที่พบปะกลุ่มเกษตรกรและผู้ประกอบการสินค้าเกษตรจังหวัดเลย เพื่อหารือเรื่องโอกาสและช่องทางการใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรี (FTA) กับสินค้าเกษตรของไทย โดยกลุ่มแรก เป็นกลุ่มแปลงใหญ่ไม้ดอกไม้ประดับบ้านแก่งไฮ ตำบลหนองบัว อำเภอภูเรือ ปลูกต้นคริสต์มาส ไม้ใบ ไม้มงคล ไม้ฟอกอากาศ ไม้จิ๋ว ส่งขายทั่วประเทศ ซึ่งจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้กลุ่มต้องปรับตัวเพิ่มช่องทางจำหน่ายผ่านออนไลน์และเฟซบุ๊ก ประสบความสำเร็จด้วยดี อย่างไรก็ดี เนื่องจากผู้บริโภคไม้ดอกไม้ประดับมักจะให้ความนิยมพันธุ์ใหม่ๆ ไม้ดอกที่มีสีสันที่โดดเด่นสวยงาม หลากหลาย ไม้ใบที่ทรงสวย ลำต้นที่แข็งแรง และต้านทานโรคได้ดี เป็นต้น
เกษตรกรจึงเห็นความสำคัญและต้องการได้รับการสนับสนุนด้านการวิจัยเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อเพื่อการขยายพันธุ์ต้นกล้าที่ตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภค ซึ่งปัจจุบันเริ่มมีหน่วยงานที่เชี่ยวชาญด้านการวิจัยเข้าไปให้คำแนะนำแล้ว แม้ในปัจจุบัน เกษตรกรจะเน้นขายในประเทศ แต่ก็มีความสนใจที่จะขยายกำลังการผลิตเพื่อส่งออก ซึ่งจะสามารถใช้ประโยชน์จาก FTA ได้ เพราะ 17 ประเทศที่ไทยมี FTA ด้วย ได้ยกเลิกการเก็บภาษีศุลกากรกับไม้ดอกไม้ประดับส่งออกจากไทยแล้ว ยังเหลืออินเดียที่ยังคงเก็บภาษีศุลกากรกับไม้ดอกที่ร้อยละ 60 และไม้ประดับที่ร้อยละ 30
โดยปัจจุบันไทยเป็นผู้ส่งออกไม้ดอกไม้ประดับ อันดับที่ 1 ในอาเซียน และอันดับที่ 16 ของโลก มูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 124.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีสหรัฐอเมริกา อาเซียน (ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย สปป.ลาว) ญี่ปุ่น เนเธอร์แลนด์ และจีน เป็นตลาดส่งออกหลัง
ด้านนายชูศักดิ์ ชื่นประโยชน์ รองประธานกรรมการหอการค้าไทย ได้แนะนำให้ผู้เข้าร่วมสัมมนารู้จักกับ ‘น่านโมเดล’ ที่สภาหอการค้าไทยไปจับมือกับผู้ปลูกกาแฟจังหวัดน่าน นำผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน มาช่วยพัฒนาคุณภาพ ส่งเสริมการตลาด สร้างตรารับรองต่าง ๆ เช่น ตรา GAP ตราฮาลาล ตลอดจนให้คำแนะนำเรื่องการปลูก การทดสอบดิน การให้น้ำ ให้ปุ๋ย ตัดแต่งใบ กำจัดโรคและแมลง เป็นต้น ทำให้ได้ผลผลิตกาแฟสูงถึง 3 ตันต่อไร่ (จากปกติประมาณ 1 ตันต่อไร่) รวมมูลค่า ประมาณ 6 หมื่นบาท ซึ่งช่วยสร้างรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืนให้กับเกษตรกรได้ในระยะยาว
โดยในปี 2564 ไทยส่งออกกาแฟดิบ กาแฟคั่ว และกาแฟสำเร็จรูปไปตลาดโลกรวมมูลค่า 103.62 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีกัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา ออสเตรเลีย และฟิลิปปินส์ เป็นตลาดสำคัญ ปัจจุบัน 14 ประเทศคู่ FTA ของไทย คือ อาเซียน ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฮ่องกง ชิลี ไม่เก็บภาษีศุลกากรกับเมล็ดกาแฟที่ส่งออกจากไทยทุกรายการแล้ว ขณะที่ 4 ประเทศ ยังเก็บภาษีศุลกากรอยู่ คือ ญี่ปุ่น (กาแฟคั่ว ร้อยละ 10-12) จีน (กาแฟไม่ได้คั่ว ทั้งที่แยกและไม่ได้แยกกาเฟอีน และกาแฟคั่วที่ไม่ได้แยกกาเฟอีน ร้อยละ 5) เปรู (กาแฟคั่วและไม่คั่ว ร้อยละ 6-11) และอินเดีย (กาแฟคั่ว ร้อยละ 100) โดยญี่ปุ่นได้ตกลงลดภาษีศุลกากรกับสินค้ากาแฟคั่วส่งออกจากไทย ภายใต้กรอบความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) โดยจะทยอยลดภาษีให้เหลือร้อยละ 0 ในปี 2580