- Details
- Category: พาณิชย์
- Published: Saturday, 22 January 2022 18:22
- Hits: 11956
ส่งออก ทั้งปี 64 โตทะลุเป้ากว่า 4 เท่า เพิ่ม 17.1% คาดปี 65 ขยายตัวต่อ บวก 3-4%
จุรินทร์ เผยการส่งออกธ.ค.64 ยังโตต่อเนื่อง มีมูลค่า 24,930.3 ล้านเหรียญสหรัฐ สูงเป็นประวัติการณ์ เพิ่มขึ้น 24.2% ทำให้ยอดรวมทั้งปี 64 มีมูลค่า 271,173.5 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 17.1% เกินไปกว่าเป้าหมายกว่า 4 เท่าตัว คาดปี 65 การส่งออกยังขยายตัวต่อ ประเมินบวก 3-4%
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การส่งออกของไทยในเดือนธ.ค.2565 มีมูลค่า 24,930.3 ล้านเหรียญสหรัฐ สูงเป็นประวัติการณ์ เพิ่มขึ้น 24.2% คิดเป็นเงินบาทมีมูลค่า 810,712 ล้านบาทการนำเข้ามีมูลค่า 25,284.5 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 33.4% ขาดดุลการค้า 354.2 ล้านเหรียญสหรัฐ และภาพรวมทั้งปี 2564 (ม.ค.-ธ.ค.) มีมูลค่า 271,173.5 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 17.1% เป็นบวกเกินไปกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 4% และเกินไปกว่าเป้าหมายที่ประเมินช่วงหลังที่ 15-16% โดยคิดเป็นเงินบาทมีมูลค่า 8,542,103 ล้านบาท การนำเข้ามูลค่า 267,600.3 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 29.8% เกินดุลการค้า มูลค่า 3,573.2 ล้านเหรียญสหรัฐ
โดยปัจจัยสำคัญที่ช่วยสนับสนุนทำให้การส่งออกปี 2564 ประสบความสำเร็จอย่างดียิ่ง ประกอบด้วย 1.การทำงานร่วมกันระหว่างกระทรวงพาณิชย์กับภาคเอกชนในรูป กรอ.พาณิชย์ ที่ลงไปแก้ปัญหาอย่างทันท่วงที และทีมเซลล์แมนจังหวัด ทีมเซลล์แมนประเทศ จัดกิจกรรมที่ส่งเสริมการขายของกระทรวงพาณิชย์ในรูป OBM (Online Business Matching) รวมทั้งการเร่งรัดการเจาะตลาดเมืองรองในรูป Mini-FTA และมาตรการทางการบริหารจัดการผลไม้เชิงรุกที่แก้ปัญหากำหนดมาตรการตั้งแต่เริ่มต้น ขณะที่ผลไม้ยังไม่ออก ทำให้ปัญหาอุปสรรคในการส่งออกสามารถลดน้อยและเดินหน้าได้
2.เศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสำคัญฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง 3.ภาคการผลิตทั่วโลกขยายตัวใน ปี 2564 ดูได้จากบัญชี PMI (Global Manufacturing PMI หรือดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตโลก) ที่เกินกว่า 50 ถึง 18 เดือนต่อเนื่อง 4.ค่าเงินบาทยังไม่แข็งค่า ทำให้สามารถแข่งขันด้านราคากับคู่แข่งในตลาดต่างประเทศได้ และ 5.ราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ซึ่งมี 2 ด้าน คือ ทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น แต่ก็เป็นปัจจัยบวกที่ทำให้ตัวเลขการส่งออกสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมันมีมูลค่าเพิ่มขึ้น
สำหรับ รายละเอียดการส่งออกเดือนธ.ค.2564 ที่เพิ่มขึ้น มาจากการเพิ่มขึ้นของสินค้าสำคัญ 3 หมวด ได้แก่ สินค้าเกษตร สินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร และสินค้าอุตสาหกรรม โดยสินค้าเกษตร เพิ่ม 21.1% โตต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 14 เช่น มังคุดสด เพิ่ม 871.4% ทุเรียนสด เพิ่ม 254.9% มะม่วงสด เพิ่ม 70.6% ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง เพิ่ม 48.1% ยางพารา เพิ่ม 22.7% สินค้าเกษตรอุตสาหกรรม เพิ่ม 24.1% ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 10 เช่น
น้ำตาลทราย เพิ่ม 123.9% ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็ง ผลไม้แห้ง กระป๋องและแปรรูป เพิ่ม 24.5% และอาหารสัตว์เลี้ยง เพิ่ม 35.4% และสินค้าอุตสาหกรรม เพิ่ม 24% ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ เช่น รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เพิ่ม 45% ขยายตัว 14 เดือนต่อเนื่อง สินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน เพิ่ม 34% อัญมณีและเครื่องประดับ เพิ่ม 29.3% คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เพิ่ม 28.6% เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เพิ่ม 28.4% เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ เพิ่ม 25.8%
ทางด้านตลาดที่ขยายตัวในระดับสูง เช่น ทวีปออสเตรเลีย เพิ่ม 54.4% รัสเซียและกลุ่มประเทศ CIS เพิ่ม 45.8% สหรัฐฯ เพิ่ม 36.5% ลาตินอเมริกา เพิ่ม 36.5% อาเซียน เพิ่ม 35% และทวีปแอฟริกา เพิ่ม 34.1% ตะวันออกกลางที่เป็นเป้าหมายต่อไปในอนาคต เพิ่ม 29.5% เป็นต้น
ส่วนรายละเอียดการส่งออกภาพรวมปี 2564 มาจากการเพิ่มขึ้นของสินค้าเกษตร เพิ่ม 23.5% คิดเป็น 819,831 ล้านบาท สินค้าสำคัญที่ขยายตัวสูง เช่น ทุเรียน เพิ่ม 68.4% ทำเงินเข้าประเทศ 109,206 ล้านบาท ยางพารา เพิ่ม 58.6% ทำเงินเข้าประเทศ 175,978 ล้านบาท มะม่วงสด เพิ่ม 51.9% นำเงินเข้าประเทศ 2,935 ล้านบาท ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง เพิ่ม 46.7% นำเงินเข้าประเทศ 123,357 ล้านบาท และมังคุดเป็นดาวรุ่ง เพิ่ม 15.0% นำเงินเข้าประเทศ 17,090 ล้านบาท สินค้าอุตสาหกรรมเกษตร เพิ่ม 6.7% นำเงินเข้าประเทศ 607,228 ล้านบาท สินค้าสำคัญ เช่น ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็ง ผลไม้แห้ง กระป๋องและแปรรูป เพิ่ม 38.5% นำเงินเข้าประเทศ 250,162 ล้านบาท
อาหารสัตว์เลี้ยง เป็นดาวรุ่งมาตลอดตั้งแต่ปี 2563-64 เพิ่ม 23.2% ทำเงินเข้าประเทศ 77,808 ล้านบาท และสินค้าอุตสาหกรรม เพิ่ม 16.0% มูลค่า 6,790,161 ล้านบาท เช่น สินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน เพิ่ม 48.5% ทำเงินเข้าประเทศ 962,461 ล้านบาท เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เพิ่ม 40.1% นำเงินเข้าประเทศ 214,342 ล้านบาท อัญมณีและเครื่องประดับ เพิ่ม 26.5% นำเงินเข้าประเทศ 194,706 ล้านบาท รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เพิ่ม 36.2% นำเงินเข้าประเทศ 914,103 ล้านบาท เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ เพิ่ม 23.5% ทำเงินเข้าประเทศ 203,060 ล้านบาท สุดท้ายคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เพิ่ม 18% ทำเงินเข้าประเทศ 695,024 ล้านบาท
นายจุรินทร์ กล่าวว่า การส่งออกในปี 2565 มีความเป็นไปได้ที่จะยังเป็นบวกต่อไป คาดการณ์ว่าจะบวก 3-4% โดยมีมูลค่ารวมทั้งปีคิดเป็น 270,000-282,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็น 9.08-9.16 ล้านล้านบาท มีปัจจัยที่จะช่วยสนับสนุนประกอบด้วย 1.การขยายตัวของเศรษฐกิจและการนำเข้าของประเทศคู่ค้าสำคัญขยายตัว 2.ค่าเงินบาทยังอยู่ในระดับที่เอื้อต่อการส่งออก 3.คาดว่าปริมาณตู้คอนเทนเนอร์จะเพิ่มขึ้นและเข้าสู่ความสมดุลได้ในช่วงกลางปีนี้ถึงปลายปี
4.การเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัล ทำให้ตลาดโลกมีความต้องการสินค้าไอที อุปกรณ์อัจฉริยะ ที่ไทยเป็นผู้ส่งออก 5.คาดว่าความรุนแรงของโควิด-19 จะลดน้อยลง ทำให้อุปสรรคลดลง 6.ตั้งเป้าว่าการมีผลบังคับใช้ของ RCEP ที่เริ่มต้น 1 ม.ค.2565 จะมีส่วนช่วยส่งเสริมตัวเลขการส่งออกของไทยไปยังประเทศสมาชิกอาเซียนอีก 14 ประเทศได้มากขึ้น คล่องตัวขึ้น และสะดวกขึ้น เพราะหลายตัวภาษีเป็น 0% และกระทรวงพาณิชย์เตรียมการล่วงหน้าพร้อมให้บริการใบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าเอกสารสำคัญต่างๆ ที่จะนำประโยชน์จากข้อตกลง RCEP มาใช้กับผู้ส่งออกของไทย
ทั้งนี้ สินค้าที่กระทรวงพาณิชย์จะให้ความสำคัญในการส่งเสริมและผลักดัน นอกเหนือจากสินค้าที่เป็นดาวรุ่งเดิม ทั้งเกษตร ผลไม้ ยาและเวชภัณฑ์ น้ำตาลทราย อาหารสัตว์เลี้ยง ยานยนต์ สินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน อัญมณี คอมพิวเตอร์ เครื่องปรับอากาศ อาหารอนาคต ไลฟ์สไตล์ สมุนไพร และสินค้าในกลุ่ม BCG จะให้ความสำคัญกับการสร้างรายได้จาก Soft Power โดยจะมุ่งสินค้าและบริการดิจิทัลคอนเทนท์ เอนิเมชัน ภาพยนตร์และอื่น ๆ ซึ่งทำรายได้เข้าประเทศในระดับหนึ่งแล้ว แต่ในปี 2565 จะสนับสนุนเข้มข้นมากขึ้น
ภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทยประจำเดือนธันวาคม ทั้งปี 2564 และแนวโน้มปี 2565
การส่งออกของไทยในเดือนธันวาคม 2564 มีมูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 24,930.3 ล้านเหรียญสหรัฐ (810,712 ล้านบาท) ขยายตัวร้อยละ 24.2 หากหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย ขยายตัวร้อยละ 23.0 การส่งออกของไทยเติบโตอย่างแข็งแกร่งท่ามกลางการระบาดของโควิด-19 โดยได้รับอานิสงส์จากการเร่งนำเข้าในหลายประเทศเพื่อสต็อกสินค้าให้ทันช่วงเทศกาลปีใหม่ สถานการณ์อุปทานเซมิคอนดักเตอร์ปรับตัวดีขึ้น
และการดำเนินการตามแผนส่งเสริมการส่งออกเชิงรุกของกระทรวงพาณิชย์ ทั้งนี้ การส่งออกทั้งปี 2564 (มกราคม–ธันวาคม) มีมูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 271,173.5 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีอัตราการเติบโตที่ร้อยละ 17.1 ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตสูงที่สุดในรอบ 11 ปี เมื่อหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย ขยายตัวร้อยละ 19.8 สะท้อนการเติบโตของภาคเศรษฐกิจจริง (Real Sector)
การส่งออกไทยในปี 2564 ขยายตัวได้สูงกว่าเป้าหมายที่กระทรวงพาณิชย์ตั้งไว้ที่ร้อยละ 4 กว่า 4 เท่า เป็นผลสำเร็จจากการสนับสนุนอย่างเข้มแข็งตามแผนส่งเสริมการส่งออกของกระทรวงพาณิชย์ ที่เร่งแก้ไขปัญหา และสร้างโอกาสทางการค้าให้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สอดรับกับความต้องการซื้อจากต่างประเทศ และปริมาณการค้าโลกที่ปรับตัวดีขึ้นตามเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัว นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเสริมจากอัตราแลกเปลี่ยนที่อ่อนค่า และราคาน้ำมันดิบที่ทรงตัวในระดับสูง ช่วยเพิ่มความสามารถทางการแข่งขัน และเพิ่มมูลค่าการส่งออกสินค้าที่เกี่ยวเนื่อง
กลุ่มสินค้าที่ขยายตัวดี ได้แก่ 1) สินค้าเกษตรและอาหาร เช่น ข้าว ยางพารา ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ผักและผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็ง ไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป น้ำตาลทราย อาหารสัตว์เลี้ยง และสิ่งปรุงรสอาหาร 2) สินค้าที่เกี่ยวข้องกับการทำงานที่บ้าน (Work from Home) และเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน เช่น เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ เครื่องรับวิทยุ โทรทัศน์และส่วนประกอบ เตาอบไมโครเวฟ ตู้เย็น ตู้แช่แข็งและส่วนประกอบ เครื่องปรับอากาศ และเครื่องโทรศัพท์และอุปกรณ์
3) สินค้าเกี่ยวกับการป้องกันการติดเชื้อและลดการแพร่ระบาด เช่น เครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์ และผลิตภัณฑ์เภสัชภัณฑ์ 4) สินค้าขั้นกลางหรือสินค้าวัตถุดิบ เช่น เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เคมีภัณฑ์ เม็ดพลาสติก ยางยานพาหนะ แผงวงจรไฟฟ้า และเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ และ 5) สินค้าคงทนหรือสินค้าฟุ่มเฟือยที่มีราคาสูง เช่น รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และอัญมณีและเครื่องประดับ (ไม่รวมทองคำ) ยังขยายตัวได้ดี
มูลค่าการค้ารวม
มูลค่าการค้าในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐ
เดือนธันวาคม 2564 การส่งออก มีมูลค่า 24,930.3 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 24.2 เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน การนำเข้า มีมูลค่า 25,284.5 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 33.4 ดุลการค้าขาดดุล 354.2 ล้านเหรียญสหรัฐ ภาพรวมการส่งออกทั้งปี 2564 การส่งออก มีมูลค่า 271,173.5 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 17.1 การนำเข้า มีมูลค่า 267,600.3 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 29.8 ดุลการค้า ปี 2564 เกินดุล 3,573.2 ล้านเหรียญสหรัฐ
มูลค่าการค้าในรูปเงินบาท เดือนธันวาคม 2564 การส่งออก มีมูลค่า 810,711.8 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 34.5 เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน การนำเข้า มีมูลค่า 833,237.4 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 44.4 ดุลการค้า ขาดดุล 22,525.6 ล้านบาท ภาพรวมการส่งออกทั้งปี 2564 การส่งออก มีมูลค่า 8,542,102.7 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 18.9 การนำเข้า มีมูลค่า 8,549,082.3 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 32.0 ดุลการค้าปี 2564 ขาดดุล 6,979.6 ล้านบาท
การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร
มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร ขยายตัวร้อยละ 22.4 (YoY) ขยายตัวต่อเนื่อง 13 เดือน สินค้าที่ขยายตัวดี ได้แก่ ยางพารา ขยายตัวร้อยละ 22.7 ขยายตัวต่อเนื่อง 15 เดือน (ขยายตัวในตลาดจีน มาเลเซีย สหรัฐฯ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้) ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ขยายตัวร้อยละ 48.1 ขยายตัวต่อเนื่อง 14 เดือน (ขยายตัวในตลาดจีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ เวียดนาม) ข้าว ขยายตัวร้อยละ 24.9 กลับมาขยายตัวอีกครั้ง (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ ฮ่องกง อังโกลา เซเนกัล โกตดิวัวร์)
ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็ง และแห้ง ขยายตัว 23.7 ขยายตัวต่อเนื่อง 9 เดือน (ขยายตัวในตลาดจีน สหรัฐฯ มาเลเซีย เมียนมา ฟิลิปปินส์) น้ำตาลทราย ขยายตัวร้อยละ 123.9 ขยายตัวต่อเนื่อง 3 เดือน (ขยายตัวในตลาดอินโดนีเซีย กัมพูชา เกาหลีใต้ ไต้หวัน จีน) ไก่สดแช่เย็นแช่แข็งและแปรรูป ขยายตัวร้อยละ 17.6 ขยายตัวต่อเนื่อง 2 เดือน (ขยายตัวในตลาดญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร จีน เนเธอร์แลนด์ มาเลเซีย สิงค์โปร์) อาหารสัตว์เลี้ยง ขยายตัวร้อยละ 35.4 ขยายตัวต่อเนื่อง 28 เดือน (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ ญี่ปุ่น มาเลเซีย ออสเตรเลีย อินเดีย)
ผลิตภัณฑ์ข้าวสาลีและอาหารสำเร็จรูปอื่นๆ ขยายตัวร้อยละ 18.5 ขยายตัวต่อเนื่อง 8 เดือน (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ จีน กัมพูชา เมียนมา เวียดนาม) ผลไม้กระป๋องและแปรรูป ขยายตัวร้อยละ 25.8 ขยายตัวต่อเนื่อง 8 เดือน (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ จีน เนเธอร์แลนด์ ออสเตรเลีย แคนาดา) ไขมันและน้ำมันจากพืชและสัตว์ ขยายตัวร้อยละ 169.6 ขยายตัวต่อเนื่อง 19 เดือน (ขยายตัวในตลาดมาเลเซีย อินเดีย เมียนมา เวียดนาม จีน)
สินค้าที่หดตัว ได้แก่ เครื่องดื่ม หดตัวร้อยละ 1.4 หดตัวต่อเนื่อง 5 เดือน (หดตัวในตลาดกัมพูชา เมียนมา ลาว และจีน แต่ขยายตัวดีในตลาดเวียดนาม สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ฮ่องกง สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) สุกรสด แช่เย็น แช่แข็ง หดตัวร้อยละ 79.3 หดตัวต่อเนื่อง 11 เดือน (หดตัวในตลาดฮ่องกง ลาว และกัมพูชา แต่ขยายตัวดีในตลาดเมียนมา) ตลอดทั้งปี 2564
การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร ขยายตัวร้อยละ 15.7
การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม
มูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม ขยายตัวร้อยละ 24.0 (YoY) ขยายตัวต่อเนื่อง 10 เดือน สินค้าที่ขยายตัวดี ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 45.0 ขยายตัวต่อเนื่อง 14 เดือน (ขยายตัวในตลาดออสเตรเลีย ฟิลิปปินส์ จีน สหรัฐฯ นิวซีแลนด์) สินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ขยายตัวร้อยละ 34.0 ขยายตัวต่อเนื่อง 11 เดือน (ขยายตัวในตลาดจีน เวียดนาม สิงคโปร์ มาเลเซีย อินเดีย) เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 28.6 ขยายตัวต่อเนื่อง 13 เดือน (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ ฮ่องกง จีน เนเธอร์แลนด์ ญี่ปุ่น)
แผงวงจรไฟฟ้า ขยายตัวร้อยละ 11.5 ขยายตัวต่อเนื่อง 13 เดือน (ขยายตัวในตลาดสิงคโปร์ จีน ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น มาเลเซีย) เหล็ก เหล็กกล้า และผลิตภัณฑ์ ขยายตัวร้อยละ 28.4 ขยายตัวต่อเนื่อง 13 เดือน (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย อินเดีย ไต้หวัน) อัญมณีและเครื่องประดับ (ไม่รวมทองคำ) ขยายตัวร้อยละ 29.3 ขยายตัวต่อเนื่อง 10 เดือน (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ ฮ่องกง อินเดีย เยอรมนี สหราชอาณาจักร)
เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 25.8 ขยายตัวต่อเนื่อง 4 เดือน (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ ออสเตรเลีย อินโดนีเซีย ไต้หวัน สิงคโปร์) สินค้าที่หดตัว ได้แก่ ถุงมือยาง หดตัวร้อยละ 46.7 หดตัวต่อเนื่อง 5 เดือน (หดตัวในตลาดสหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น เยอรมนี เบลเยียม แต่ขยายตัวดีในตลาดเนเธอร์แลนด์ โปแลนด์ เกาหลีใต้ ซาอุดีอาระเบีย)
เครื่องซักผ้า เครื่องซักแห้งและส่วนประกอบ หดตัวร้อยละ 8.5 หดตัวต่อเนื่อง 5 เดือน (หดตัวในตลาดสหรัฐฯ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน แต่ขยายตัวดีในตลาดเวียดนาม ออสเตรเลีย ชิลี มาเลเซีย อินโดนีเซีย) ปูนซีเมนต์ หดตัวร้อยละ 15.4 กลับมาหดตัวอีกครั้ง (หดตัวในตลาดเมียนมา กัมพูชา แต่ขยายตัวดีในตลาดบังกลาเทศ ออสเตรเลีย มาเลเซีย ไต้หวัน) ตลอดทั้งปี 2564 การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม ขยายตัวร้อยละ 16.0
ตลาดส่งออกสำคัญ
การส่งออกขยายตัวในทุกตลาดสำคัญ สอดคล้องกับทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการค้าโลก ภาพรวมการส่งออกไปยังกลุ่มตลาดต่าง ๆ สรุป ดังนี้ 1) ตลาดหลัก ขยายตัวร้อยละ 20.8 โดยขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ ร้อยละ 36.5 จีน ร้อยละ 14.0 ญี่ปุ่น ขยายตัวร้อยละ 1.0 อาเซียน (5) ร้อยละ 35.0 CLMV ร้อยละ 11.4 และ สหภาพยุโรป (27) ร้อยละ 19.3 2) ตลาดรอง ขยายตัวร้อยละ 32.5 ขยายตัวในตลาดเอเชียใต้ ร้อยละ 22.9 ทวีปออสเตรเลีย ร้อยละ 54.4 ตะวันออกกลาง ร้อยละ 29.5 ทวีปแอฟริกา ร้อยละ 34.1 ลาตินอเมริกา ร้อยละ 36.5 และรัสเซียและกลุ่มประเทศ CIS ร้อยละ 45.8 และ 3) ตลาดอื่นๆ ขยายตัวร้อยละ 32.1
ตลาดสหรัฐฯ
ขยายตัวร้อยละ 36.5 (ขยายตัวต่อเนื่อง 19 เดือน) สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ โทรทัศน์และส่วนประกอบ เหล็กและผลิตภัณฑ์ และผลิตภัณฑ์อลูมิเนียม เป็นต้น ขณะที่ ทั้งปี 2564 ขยายตัวร้อยละ 21.5
ตลาดจีน
ขยายตัวร้อยละ 14.0 (ขยายตัวต่อเนื่อง 13 เดือน) สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็งและแห้ง ทองแดง และเคมีภัณฑ์ เป็นต้น ขณะที่ ทั้งปี 2564 ขยายตัวร้อยละ 24.8
ตลาดญี่ปุ่น
กลับมาขยายตัวร้อยละ 1.0 สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ เคมีภัณฑ์ เม็ดพลาสติก ไก่แปรรูป ทองแดง และรถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ เป็นต้น ขณะที่ ทั้งปี 2564 ขยายตัวร้อยละ 9.5
ตลาดอาเซียน (5)
ขยายตัวร้อยละ 35.0 (ขยายตัวต่อเนื่อง 8 เดือน) สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ รถยนต์และส่วนประกอบ น้ำมันสำเร็จรูป เม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ และน้ำตาลทราย เป็นต้น ขณะที่ ทั้งปี 2564 ขยายตัวร้อยละ 19.4
ตลาด CLMV
ขยายตัวร้อยละ 11.4 (ขยายตัวต่อเนื่อง 4 เดือน) สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ อัญมณีและเครื่องประดับ น้ำมันสำเร็จรูป เม็ดพลาสติก สายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ล และเคมีภัณฑ์ เป็นต้น ขณะที่ ทั้งปี 2564 ขยายตัวร้อยละ 14.4
ตลาดสหภาพยุโรป (27)
ขยายตัวร้อยละ 19.3 (ขยายตัวต่อเนื่อง 11 เดือน) สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ อัญมณีและเครื่องประดับ รถยนต์และส่วนประกอบ อากาศยานและส่วนประกอบ แผงวงจรไฟฟ้า และเครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ เป็นต้น ขณะที่ ทั้งปี 2564 ขยายตัวร้อยละ 22.6
ตลาดเอเชียใต้
ขยายตัวร้อยละ 22.9 (ขยายตัวต่อเนื่อง 11 เดือน) สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ เคมีภัณฑ์ อัญมณีและเครื่องประดับ เม็ดพลาสติก ยางพารา และผลิตภัณฑ์อลูมิเนียม เป็นต้น ขณะที่ ทั้งปี 2564 ขยายตัวร้อยละ 52.9
ตลาดอินเดีย
ขยายตัวร้อยละ 25.9 (ขยายตัวต่อเนื่อง 11 เดือน) สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ เคมีภัณฑ์
อัญมณีและเครื่องประดับ ยางพารา ผลิตภัณฑ์อลูมิเนียม และเม็ดพลาสติก เป็นต้น ขณะที่ ทั้งปี 2564 ขยายตัวร้อยละ 55.0
ตลาดทวีปออสเตรเลีย (25)
ขยายตัวร้อยละ 54.4 (ขยายตัวต่อเนื่อง 2 เดือน) สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ รถยนต์และส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับ เม็ดพลาสติก เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ และเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์รักษาผิว เป็นต้น ขณะที่ ทั้งปี 2564 ขยายตัวร้อยละ 15.5
ตลาดตะวันออกกลาง (15)
ขยายตัวร้อยละ 29.5 (ขยายตัวต่อเนื่อง 9 เดือน) สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ รถยนต์และส่วนประกอบ ข้าว ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ โทรศัพท์และอุปกรณ์ และเคมีภัณฑ์ เป็นต้น ขณะที่ ทั้งปี 2564 ขยายตัวร้อยละ 21.3
ตลาดทวีปแอฟริกา (57)
ขยายตัวร้อยละ 34.1 (ขยายตัวต่อเนื่อง 12 เดือน) สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ รถยนต์และส่วนประกอบ ข้าว เม็ดพลาสติก อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป และเครื่องยนต์สันดาป เป็นต้น ขณะที่ ทั้งปี 2564 ขยายตัวร้อยละ 25.8
ตลาดลาตินอเมริกา (47)
ขยายตัวร้อยละ 36.5 (ขยายตัวต่อเนื่อง 11 เดือน) สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ รถยนต์และส่วนประกอบ ยางพารา เครื่องยนต์สันดาป เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ และผลิตภัณฑ์อลูมิเนียม เป็นต้น ขณะที่ ทั้งปี 2564 ขยายตัวร้อยละ 37.8
ตลาดรัสเซียและกลุ่มประเทศ CIS
ขยายตัวร้อยละ 45.8 (ขยายตัวต่อเนื่อง 9 เดือน) สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ รถยนต์และส่วนประกอบ เม็ดพลาสติก เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ และผลิตภัณฑ์ยาง เป็นต้น ขณะที่ ทั้งปี 2564 ขยายตัวร้อยละ 31.1
แนวโน้มและแผนส่งเสริมการส่งออกในปี 2565
การส่งออกปี 2565 คาดการณ์ว่าจะขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 3.0-4.0 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจาก (1) การขยายตัวของเศรษฐกิจและการนำเข้าของประเทศคู่ค้า (2) เงินบาทช่วงครึ่งปีแรกมีแนวโน้มอ่อนค่าต่อเนื่อง จากแนวโน้มการใช้มาตรการทางการเงินที่เข้มงวดขึ้น (อาทิ สหรัฐและยุโรปมีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายและลดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ)
รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ลดลง (3) ราคาสินค้าอาหาร และวัตถุดิบที่ใช้ในภาคอุตสาหกรรมยังคงขยายตัวตามอุปสงค์ที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง (4) จำนวนตู้คอนเทนเนอร์ และเรือขนส่งจะเพิ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงกลางปี 2565 (5) ความรุนแรงของไวรัสโควิด-19 ลดน้อยลง และจะกลายเป็นโรคประจำถิ่น (Endemic) (6) ความตกลง RCEP ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 65 และ (7) การเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy) สร้างช่องทางการค้าบนแพลตฟอร์มออนไลน์ ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสในการขยายตลาดสินค้าไปยังต่างประเทศได้ง่ายและกว้างขวางขึ้น
สำหรับแผนส่งเสริมการส่งออกในปี 2565 รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์) มอบหมายให้หน่วยงานในกระทรวงพาณิชย์ ดำเนินกิจกรรมส่งเสริมการส่งออกอย่างต่อเนื่องจากปีก่อน ได้แก่ (1) เร่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการส่งออก และส่งเสริมแนวทางการส่งออกสินค้าผ่านรูปแบบผสมผสานระหว่างออนไลน์และออฟไลน์ (รูปแบบไฮบริด) (2) การจัดเจรจาการค้าผ่านช่องทางออนไลน์ (OBM) และร่วมมือกับแพลตฟอร์มออนไลน์ ทั้งในและต่างประเทศ
จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายสินค้าไทย (3) ประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ประเทศไทย (Trust Thailand) รวมถึงแบรนด์สินค้าไทยให้เป็นที่ยอมรับ ผ่านตรา Thailand Trust Mark (T Mark) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นสินค้าไทย โดยเฉพาะสินค้าอาหาร (4) เจาะตลาดเมืองรอง
โดยมีเป้าหมายขยายมูลค่าการค้าการลงทุน และเข้าถึงผู้บริโภคในพื้นที่เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งตลาดสินค้าไทยให้มากขึ้น ซึ่งได้ลงนาม MOU หรือ Mini FTA กับเมืองและมณฑลของประเทศเป้าหมายไปแล้ว และ (5) เร่งรัดการเจรจา FTA ที่คงค้าง อาทิ ไทย-ปากีสถาน ไทย-ตุรกี ไทย-ศรีลังกา นอกจากนี้ ยังมี กิจกรรมส่งเสริมการส่งออกในปี 2565 เพิ่มเติม ได้แก่
(1) การบุกตลาดเมืองรองในเมืองไห่หนาน โดยจะมีการจัดงาน Top Thai Brand ซึ่งจะเป็นการยกทัพสินค้าแบรนด์ดังระดับโลกของไทยไปร่วมจัดแสดงในงาน Hainan Expo (2) การเจรจา FTA เพิ่มเติม เช่น ไทย-EU ไทย-EFTA ไทย-สหราชอาณาจักร ไทย-สหภาพเศรษฐกิจยูเรเซีย และอาเซียน-แคนาดา (3) การพัฒนาผู้ประกอบการส่งออกในโครงการ Young Exporter from Local to Global เป็นต้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสทางการค้าให้แก่ผู้ส่งออกไทย และทำให้ไทยบรรลุเป้าหมายการส่งออกในปีนี้ได้
โดย สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.)กระทรวงพาณิชย์