- Details
- Category: พาณิชย์
- Published: Saturday, 30 October 2021 08:34
- Hits: 10832
ตั้งบริษัทใหม่ ก.ย.64 ฟื้น จดเพิ่ม 5,820 ราย โต 3% คาดไตรมาส 4 ขยายตัวแรง
กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเผยบริษัทตั้งใหม่เดือนก.ย.64 เริ่มฟื้นตัวดีขึ้น มีจำนวน 5,820 ราย เพิ่มขึ้น 3% หลังเจอผลกระทบโควิด-19 ก่อนหน้า ยอดเลิกมีจำนวน 1,503 ราย ลดลง 4% ส่วนการตั้งใหม่ 9 เดือน 58,056 ราย เพิ่ม 16% เลิก 8,749 ลด 16% คาดช่วงที่เหลือมีลุ้นตั้งใหม่เพิ่ม หลังคลายล็อกดาวน์ ฉีดวัคซีนเพิ่ม และเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว จับตาธุรกิจปลูกพืชโต รับสมุนไพรบูม รัฐปลดล็อกกัญชง
นายทศพล ทังสุบุตร อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า เดือนก.ย.2564 มีผู้ประกอบธุรกิจยื่นขอจดทะเบียนจัดตั้งห้างหุ้นส่วนบริษัทใหม่ทั่วประเทศ จำนวน 5,820 ราย เพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับเดือนส.ค.2564 ที่ผ่านมา และเพิ่มขึ้น 3% เทียบกับก.ย.2563 มีมูลค่าทุนจดทะเบียนจำนวน 13,973.77 ล้านบาท โดยประเภทธุรกิจจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจขนส่งและขนถ่ายสินค้ารวมถึง คนโดยสาร ที่ติดอันดับ 3 ต่อเนื่องมาแล้ว 5 เดือนติดต่อกัน ตามการขยายตัวของธุรกิจโลจิสติกส์และการค้าออนไลน์
ส่วนธุรกิจเลิกประกอบกิจการ มีจำนวน 1,503 ราย เทียบกับส.ค.2564 เพิ่ม 28% และเทียบกับก.ย.2563 ลดลง 4% มีมูลค่าทุนจดทะเบียนจำนวน 5,764.59 ล้านบาท โดยประเภทธุรกิจเลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจภัตตาคาร ร้านอาหาร
สำหรับ ยอดรวมธุรกิจตั้งใหม่ในช่วง 9 เดือนของปี 2564 (ม.ค.-ก.ย.) มีจำนวน 58,056 ราย เพิ่ม 16% ทุนจดทะเบียน 172,588.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.29% ส่วนธุรกิจเลิกกิจการ 8,749 ราย ลดลง 16% ทุนจดทะเบียน 45,208.20 ล้านบาท ลดลง 5.63%
สาเหตุที่ทำให้การจดทะเบียนเดือนก.ย.2564 เพิ่มขึ้น มาจากการเริ่มคลายล็อกดาวน์ ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมา มีการเร่งฉีดวัคซีน ทำให้ผู้ประกอบการมีความมั่นใจในการทำธุรกิจเพิ่มขึ้น หลังจากที่ก่อนหน้านี้ การจดทะเบียนตั้งใหม่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ทำให้ยอดจดชะลอตัว แต่คาดว่า แนวโน้มการจดทะเบียนในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้ (ต.ค.-ธ.ค.) จะฟื้นตัวต่อเนื่อง หลังจากที่มีการคลายล็อกดาวน์เพิ่มขึ้น มีการยกเลิกเคอร์ฟิว และมีการเปิดประเทศเพื่อรองรับนักท่องเที่ยว ซึ่งจะเป็นปัจจัยสร้างความเชื่อมั่นในการทำธุรกิจของผู้ประกอบการ
นายทศพล กล่าวว่า กรมฯ ได้ทำการวิเคราะห์จำนวนการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจในไตรมาสที่ 3 ของปี 2564 พบว่า มีหลายธุรกิจที่ตั้งใหม่ สอดรับกับพฤติกรรมของประชาชนที่เปลี่ยนแปลงไปจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เช่น ธุรกิจสร้างแม่ข่าย มีจำนวนจัดตั้งใหม่ทั้งสิ้น 172 ราย เพิ่มขึ้น 6 เท่าจากช่วงเดียวกันของปีก่อน (ไตรมาสที่ 3 ของปี 2563) และธุรกิจปลูกพืชประเภทเครื่องเทศ เครื่องหอม ยารักษาโรค และพืชทางเภสัชภัณฑ์ มีจำนวนจัดตั้งใหม่ทั้งสิ้น 44 ราย เพิ่มขึ้น 4 เท่าจากช่วงเดียวกันของปีก่อน
“ที่น่าสนใจ ก็คือ ธุรกิจปลูกพืชที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของกระทรวงสาธารณสุขที่เน้นส่งเสริมให้โรงพยาบาลของรัฐนำสมุนไพรมาใช้ในการรักษาโรค ควบคู่กับการใช้ยาแผนปัจจุบัน การปลดล็อกกัญชงให้สามารถขออนุญาตปลูก ผลิต นำเข้าเมล็ดพันธุ์ ครอบครอง และจำหน่ายได้ รวมถึงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้มูลค่าการบริโภคสมุนไพรมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ผู้ประกอบการที่มองเห็นช่องทางในการปรับเปลี่ยนธุรกิจ จึงหันมาจัดตั้งธุรกิจประเภทนี้มากขึ้น”นายทศพลกล่าว
การจดทะเบียนธุรกิจประจำเดือนกันยายน 2564 และไตรมาส 3/2564
นายสินิตย์ เลิศไกร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ มอบหมายให้ นายทศพล ทังสุบุตร อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า แถลงข่าวการจดทะเบียนธุรกิจของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ประจำเดือนกันยายน 2564 และไตรมาส 3/2564 โดยมีรายละเอียด ดังนี้
ผลการจดทะเบียนธุรกิจ
ธุรกิจจัดตั้งใหม่เดือนกันยายน 2564
- จำนวนธุรกิจจัดตั้งใหม่ มีผู้ประกอบธุรกิจยื่นขอจดทะเบียนจัดตั้งห้างหุ้นส่วนบริษัทใหม่ทั่วประเทศในเดือนกันยายน 2564 จำนวน 5,820 ราย โดยมีมูลค่าทุนจดทะเบียนจำนวน 13,973.77 ล้านบาท
- ประเภทธุรกิจจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 680 ราย คิดเป็น 12% รองลงมา คือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 248 ราย คิดเป็น 4% และอันดับ 3 คือ ธุรกิจขนส่งและขนถ่ายสินค้ารวมถึง คนโดยสาร จำนวน 188 ราย คิดเป็น 3% ตามลำดับ
- ธุรกิจจัดตั้งใหม่แบ่งตามช่วงทุน โดยช่วงทุนที่มีจำนวนรายธุรกิจจัดตั้งใหม่ทั่วประเทศมากที่สุด ได้แก่ ช่วงทุนไม่เกิน 1 ล้านบาท มีจำนวน 4,367 ราย คิดเป็น 75.03% รองลงมาช่วงทุนมากกว่า 1-5 ล้านบาท จำนวน 1,375 ราย คิดเป็น 23.63% ลำดับถัดไป คือ ช่วงทุนมากกว่า 5-100 ล้านบาท มีจำนวน 67 ราย คิดเป็น 1.15% และช่วงทุนมากกว่า 100 ล้านบาท จำนวน 11 ราย คิดเป็น 0.19% ตามลำดับ
ธุรกิจจัดตั้งใหม่ไตรมาส 3/2564
- จำนวนธุรกิจจัดตั้งใหม่ มีผู้ประกอบธุรกิจยื่นขอจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนบริษัทจัดตั้งใหม่ทั่วประเทศ ไตรมาส 3/2564 จำนวน 17,034 ราย เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/2564 จำนวน 17,633 ราย ลดลงจำนวน 599 ราย คิดเป็น 3% และเมื่อเทียบกับไตรมาส 3/2563 จำนวน 16,841 ราย เพิ่มขึ้นจำนวน 193 ราย คิดเป็น 1%
- ประเภทธุรกิจจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 1,929 ราย คิดเป็น 11% รองลงมา คือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 725 ราย คิดเป็น 4% และธุรกิจขนส่งและขนถ่ายสินค้ารวมถึงคนโดยสาร จำนวน 622 ราย คิดเป็น 4% ตามลำดับ
- มูลค่าทุนธุรกิจจัดตั้งใหม่ มีจำนวนทั้งสิ้น 39,350.24 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/2564 จำนวน 63,133.25 ล้านบาท ลดลงจำนวน 23,783.01 ล้านบาท คิดเป็น 38% และเมื่อเทียบกับไตรมาส 3/2563 จำนวน 43,813.68 ล้านบาท ลดลงจำนวน 4,463.44 ล้านบาท คิดเป็น 10%
- ธุรกิจจัดตั้งใหม่แบ่งตามช่วงทุน โดยช่วงทุนที่มีจำนวนรายธุรกิจจัดตั้งใหม่ทั่วประเทศมากที่สุด ได้แก่ ช่วงทุนไม่เกิน 1 ล้านบาท มีจำนวน 12,809 ราย คิดเป็น 75.20% รองลงมา คือช่วงทุนมากกว่า 1-5 ล้านบาท จำนวน 3,991ราย คิดเป็น 23.43% รองลงมา คือช่วงทุนมากกว่า 5-100 ล้านบาท มีจำนวน 207 ราย คิดเป็น 1.22% และช่วงทุนมากกว่า 100 ล้านบาท จำนวน 27 ราย คิดเป็น 0.16%
ธุรกิจเลิกประกอบกิจการเดือนกันยายน 2564
- จำนวนธุรกิจเลิกประกอบกิจการ ประจำเดือนกันยายน 2564 มีจำนวน 1,503 ราย โดยมีมูลค่าทุนจดทะเบียนจำนวน 5,764.59 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มการเลิกกิจการในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
- ประเภทธุรกิจเลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 114 ราย คิดเป็น 8% รองลงมาคือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 94 ราย คิดเป็น 6% และธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร จำนวน 49 ราย คิดเป็น 3% ตามลำดับ
- ธุรกิจเลิกประกอบกิจการแบ่งตามช่วงทุน โดยช่วงทุนที่มีจำนวนรายธุรกิจเลิกประกอบกิจการทั่วประเทศ มากที่สุด ได้แก่ ช่วงทุนไม่เกิน 1 ล้านบาท จำนวน 1,077 ราย คิดเป็น 71.66% รองลงมาช่วงทุนมากกว่า 1- 5 ล้านบาท จำนวน 339 ราย คิดเป็น 22.55% ลำดับถัดไป คือ ช่วงทุนมากกว่า 5-100 ล้านบาท จำนวน 83 ราย คิดเป็น 5.52% และช่วงทุนมากกว่า 100 ล้านบาท มีจำนวน 4 ราย คิดเป็น 0.27% ตามลำดับ
ธุรกิจเลิกประกอบกิจการไตรมาส 3/2564
- จำนวนธุรกิจเลิกประกอบกิจการ ประจำไตรมาส 3/2564 มีจำนวน 3,819 ราย โดยมีมูลค่าทุนจดทะเบียนจำนวน 14,749.31 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มการเลิกกิจการในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
- ประเภทธุรกิจเลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 314 ราย คิดเป็น 8% รองลงมาคือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 277 ราย คิดเป็น 6% และธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร จำนวน 117 ราย คิดเป็น 3% ตามลำดับ
- ธุรกิจเลิกประกอบกิจการแบ่งตามช่วงทุน โดยช่วงทุนที่มีจำนวนรายธุรกิจเลิกประกอบกิจการทั่วประเทศ มากที่สุด ได้แก่ ช่วงทุนไม่เกิน 1 ล้านบาท จำนวน 2,692 ราย คิดเป็น 70.49% รองลงมาช่วงทุนมากกว่า 1- 5 ล้านบาท จำนวน 911 ราย คิดเป็น 23.85% ลำดับถัดไป คือ ช่วงทุนมากกว่า 5-100 ล้านบาท จำนวน 199 ราย คิดเป็น 5.21% และช่วงทุนมากกว่า 100 ล้านบาท มีจำนวน 17 ราย คิดเป็น 0.45% ตามลำดับ
ธุรกิจดำเนินกิจการอยู่ ณ เดือนกันยายน 2564
- ธุรกิจดำเนินกิจการอยู่ทั้งสิ้น (ณ วันที่ 30 ก.ย. 64) ธุรกิจที่ดำเนินกิจการอยู่ทั่วประเทศ จำนวน 810,509 ราย มูลค่าทุน 19.41 ล้านล้านบาท จำแนกเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด/ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล จำนวน 197,398 ราย คิดเป็น 24.35% บริษัทจำกัด จำนวน 611,799 ราย คิดเป็น 75.48% และบริษัทมหาชนจำกัด จำนวน 1,312 ราย คิดเป็น 0.16% ตามลำดับ
- ธุรกิจดำเนินกิจการอยู่แบ่งตามช่วงทุน ธุรกิจส่วนใหญ่มีช่วงทุนไม่เกิน 1 ล้านบาท จำนวน 481,078 ราย คิดเป็น 59.36% รวมมูลค่าทุน 0.42 ล้านล้านบาท คิดเป็น 2.18% รองลงมา คือ ช่วงทุนมากกว่า 1-5 ล้านบาท จำนวน 238,944 ราย คิดเป็น 29.48% รวมมูลค่าทุน 0.80 ล้านล้านบาท คิดเป็น 4.13% ช่วงถัดไปคือ ช่วงทุนมากกว่า 5-100 ล้านบาท จำนวน 73,979 ราย คิดเป็น 9.13% รวมมูลค่าทุน 2.02 ล้านล้านบาท คิดเป็น 10.40% และช่วงทุนมากกว่า 100 ล้านบาท จำนวน 16,508 ราย คิดเป็น 2.04% รวมมูลค่าทุน 16.17 ล้านล้านบาท คิดเป็น 83.29% ตามลำดับ
การลงทุนประกอบธุรกิจในไทยภายใต้กฎหมายต่างด้าว
เดือนกันยายน 2564
- เดือนกันยายน 2564 มีการอนุญาตให้คนต่างชาติประกอบธุรกิจทั้งสิ้น มีจำนวน 60 ราย เพิ่มขึ้น 15% จากเดือนสิงหาคม (52 ราย) แบ่งเป็นใบอนุญาตประกอบธุรกิจจำนวน 29 ราย และหนังสือรับรองประกอบธุรกิจจำนวน 31 ราย โดยมีเม็ดเงินลงทุนทั้งสิ้น 4,864 ล้านบาท
- นักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในไทยมากที่สุด ได้แก่ ญี่ปุ่น จำนวน 16 ราย เงินลงทุน 478 ล้านบาทรองลงมา ได้แก่ สิงคโปร์ จำนวน 8 ราย เงินลงทุน 162 ล้านบาท และสหรัฐอเมริกา จำนวน 7 ราย เงินลงทุน 145 ล้านบาท ตามลำดับ
ปี 2564 (มกราคม - กันยายน)
- เดือนมกราคม - กันยายน 2564 คนต่างชาติได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจ จำนวน 376 ราย มีเงินลงทุนทั้งสิ้น 50,602 ล้านบาท
การให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเดือนกันยายน 2564
กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลดิจิทัล และ พ.ร.บ. การอำนวยความสะดวกเพื่อลดต้นทุน ลดเวลา และลดการใช้กระดาษ โดยพัฒนางานบริการทุกกระบวนการของกรมผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ให้ผู้ใช้บริการยื่นขอรับบริการได้ทุกที่ ทุกเวลาได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว และประกาศกรมเรื่องการให้บริการในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
การบริการหนังสือรับรองข้อมูลนิติบุคคลทางอิเล็กทรอนิกส์และผลักดันการใช้ลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์
กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้ยกระดับการเป็นหน่วยงานรัฐบาลดิจิทัล โดยการใช้ลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ (Digital Signature) มาให้บริการ ซึ่งการบริการ e-Service เป็นการบริการขอหนังสือรับรองผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์
โดยในปี 2564 (ม.ค. - ก.ย.) มีจำนวนขอรับข้อมูล 2,137,288 ราย ซึ่งผ่านช่องทาง Self Pick up มีจำนวน 870,076 ราย , EMS จำนวน 401,796 ราย , Delivery จำนวน 5,606 ราย และการออกหนังสือรับรองรูปแบบไฟล์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Certificate File) จำนวน 859,810 ราย และรองรับการให้บริการหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของชาวต่างชาติและสมาคมการค้า หนังสือรับรองภาษาอังกฤษ ทั้งนี้ การขอรับบริการทางอิเล็กทรอนิกส์ นอกจากผ่านทาง www.dbd.go.th แล้ว สามารถขอรับบริการผ่านทาง Application DBD e- Service ได้ทั้งระบบ Android และ IOS
การให้บริการขอหนังสือรับรอง และรับรองสำเนาเอกสารนิติบุคคล ที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า (ส่วนกลาง) และสำนักงานพัฒนาธุรกิจการค้า เขต 1-6 ให้ขอรับบริการได้เฉพาะทางอิเล็กทรอนิกส์ (DBD e-Service) ผ่านเว็บไซต์กรมพัฒนาธุรกิจการค้า (www.dbd.go.th) มาตั้งแต่วันที่ 20 เมษายน 2563
กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ขยายเวลาการลดอัตราค่าธรรมเนียมการจดทะเบียน การขอตรวจเอกสาร การขอสำเนาเอกสารพร้อมคำรับรอง และค่าธรรมเนียมอื่นเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนและบริษัทลง 50% สำหรับห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัด ที่มีสำนักงานแห่งใหญ่ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่เขตพัฒนาเฉพาะกิจ (พื้นที่จังหวัดนราธิวาส จังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา จังหวัดสงขลาเฉพาะในท้องที่อำเภอจะนะ อำเภอเทพา อำเภอนาทวี และอำเภอสะบ้าย้อย และจังหวัดสตูล) ซึ่งสิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2563 ให้ขยายไปสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2566
DBD e - Filing การนำส่งงบการเงินผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์
การนำส่งงบการเงินของนิติบุคคลที่มีรอบปีบัญชีสิ้นสุดปี 2563 ณ วันที่ 30 กันยายน 2564 มีนิติบุคคลนำส่งงบการเงินแล้ว จำนวน 582,170 ราย คิดเป็น 79% ของนิติบุคคลที่ต้องนำส่งงบการเงิน โดยนำส่งผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ (DBD e-Filing) จำนวน 578,124 ราย คิดเป็น 99% และนำส่งในรูปแบบกระดาษ จำนวน 4,046 ราย คิดเป็น 1%
ทั้งนี้ การนำส่งงบการเงินและบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นสามารถนำส่งได้ทุกที่ ทุกเวลา และสามารถตรวจสอบข้อมูลงบการเงินผ่าน DBD Data Warehouse หรือ DBD Service ผ่าน Application ได้อย่างรวดเร็ว
กรมจึงขอประชาสัมพันธ์ให้ภาคธุรกิจ สมาคมการค้า หอการค้า ที่ยังไม่ได้นำส่งงบการเงินประจำปี 2564 ให้นำส่งงบการเงินผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ (DBD e-Filing) เป็นหลัก เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับคู่ค้าทางธุรกิจ และสามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลงบการเงินประกอบการทำธุรกรรมทางการเงินได้อย่างรวดเร็ว โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าระบบ DBD e-Filing จะเป็นหัวใจสำคัญที่ขับเคลื่อนและสนับสนุนภาคธุรกิจไทยให้ก้าวสู่การค้าในยุคเศรษฐกิจดิจิทัลได้อย่างเป็นรูปธรรม
e-Certificate บริการระบบหนังสือรับรอง และรับรองสำเนาเอกสารนิติบุคคลทางอิเล็กทรอนิกส์ ผ่านธนาคาร
กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้ดำเนินการพัฒนาต่อยอดระบบการให้บริการหนังสือรับรอง และรับรองสำเนาเอกสารนิติบุคคลทางอิเล็กทรอนิกส์ ผ่านธนาคาร (e-Certificate) ซึ่งเปิดให้บริการตั้งแต่ปี 2555 และผ่านการรับรองระบบพิมพ์ออกฯ จากสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) จึงเป็นนวัตกรรมที่สามารถบริการประชาชนได้อย่างทั่วถึง สะดวก รวดเร็วและมีความน่าเชื่อถือ และเป็นไปตามกฎหมายที่กำหนด ทำให้ภาคธุรกิจและประชาชนผู้สนใจสามารถติดต่อขอรับบริการ ณ สาขาธนาคารใกล้บ้านที่เข้าร่วมโครงการได้รวมทั้งสิ้น 9 ธนาคาร จำนวน 3,230 สาขา
e-Secured จดทะเบียนสัญญาหลักประกันทางธุรกิจแบบอิเล็กทรอนิกส์
กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้เปิดให้บริการจดทะเบียนสัญญาหลักประกันทางธุรกิจแบบอิเล็กทรอนิกส์อย่างครบวงจร ผ่าน Web Application และ Web Service แบบ Host to Host และชำระค่าธรรมเนียมผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment) และออกใบเสร็จรับเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Receipt) โดยเจ้าพนักงานทะเบียนลงลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ (Digital Signature)
รวมถึงสามารถตรวจค้นข้อมูลการจดทะเบียนสัญญาหลักประกันทางธุรกิจ ผ่านเว็ปไซต์ www.dbd.go.th และ Application : DBD e-service ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า และผ่านเว็ปไซต์ Biz Portal ของสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (สพร.)
ทั้งนี้ ตั้งแต่ 4 กรกฎาคม 2559 จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2564 มีการจดทะเบียนสัญญาหลักประกันทางธุรกิจ จำนวน 633,888 คำขอ มูลค่าทรัพย์สินที่นำมาเป็นหลักประกัน จำนวน 12,020,585 ล้านบาท โดยมีการนำทรัพย์สินที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจและใช้ประกอบธุรกิจมาเป็นหลักประกันทางธุรกิจได้โดยไม่ต้องส่งมอบทรัพย์สิน
สำหรับ เดือนกันยายน 2564 มีการจดทะเบียนสัญญาหลักประกันทางธุรกิจ จำนวน 6,824 คำขอ มูลค่าทรัพย์สินที่นำมาเป็นหลักประกัน จำนวน 466,317 ล้านบาท โดยทรัพย์สินที่นำมาเป็นหลักประกันทางธุรกิจ มากที่สุด ได้แก่ สังหาริมทรัพย์ที่ใช้ในการประกอบธุรกิจ เช่น เครื่องจักร สินค้าคงคลัง คิดเป็นร้อยละ 83.63 (มูลค่า 390,000 ล้านบาท) รองลงมาคือ สิทธิเรียกร้อง เช่น บัญชีเงินฝาก ลูกหนี้การค้า สิทธิการเช่า คิดเป็นร้อยละ 16.36 (มูลค่า 76,309 ล้านบาท) กิจการ มีการจดทะเบียน คิดเป็นร้อยละ 0.002 (มูลค่า 8 ล้านบาท) ไม้ยืนต้น คิดเป็นร้อยละ 0.00004 (มูลค่า 0.21 ล้านบาท)
ทั้งนี้ มีการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงสัญญาหลักประกันทางธุรกิจ จำนวน 600 คำขอ และจดทะเบียนยกเลิกสัญญาหลักประกันทางธุรกิจ จำนวน 2,689 คำขอ โดยมีผู้รับหลักประกัน จำนวนทั้งสิ้น 337 ราย
e-Registration การจดทะเบียนนิติบุคคลทางอิเล็กทรอนิกส์
การจดทะเบียนนิติบุคคลทางอิเล็กทรอนิกส์ เริ่มใช้งานตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม 2560 ซึ่งกรมได้มีการเตรียมการพัฒนาระบบให้อำนวยความสะดวกเพิ่มขึ้น ทั้งด้านการยืนยันตัวตนนิติบุคคลและการใช้ระบบงาน รวมถึงการเชื่อมโยงเพื่อสร้างความพร้อมในการดำเนินธุรกิจให้แก่ SME ทั้งด้านการเงินและซอฟแวร์ รวมทั้งการให้บริการสำเนาเอกสารทะเบียนนิติบุคคลรูปแบบไฟล์อิเล็กทรอนิกส์ของนิติบุคคลที่จดทะเบียนผ่านระบบe-Registration
DBD Connect เชื่อมระบบบัญชีสู่การยื่นงบการเงินออนไลน์ (DBD e-Filing)
กรมฯ ร่วมกับผู้ผลิตซอฟแวร์บัญชีชั้นนำของประเทศ จำนวน 16 ราย (20 โปรแกรม) พัฒนาการเชื่อมโยงซอฟต์แวร์บัญชีกับระบบการนำส่งงบการเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (DBD e-Filing) แบบอัตโนมัติ ผ่านระบบ DBD Connect อำนวยความสะดวกการจัดทำบัญชีและงบการเงินสำหรับนักบัญชีให้สามารถนำส่งงบการเงินในรูปแบบ XBRL ที่เชื่อมโยงข้อมูลทางบัญชีพร้อมนำส่งงบการเงินผ่าน DBD e-Filing ได้โดยตรง และไม่ต้องคีย์ข้อมูลงบการเงินซ้ำ
การบริหารจัดการธุรกิจแบบครบวงจร (Total Solution for SMEs) และ e-Accounting for SMEs
Total Solution for SMEs เป็นการขับเคลื่อน SMEs ด้วยนวัตกรรม โดยส่งเสริมให้ธุรกิจเข้าถึงเทคโนโลยีในการบริหารจัดการธุรกิจที่ครบวงจรได้โดยง่าย เปลี่ยน Traditional SMEs เป็น Smart SMEs ซึ่งกรมได้รวบรวมโปรแกรมด้านการบริหารจัดการทั้ง 3 ภาคส่วนไว้ด้วยกันคือ โปรแกรมสำนักงาน (Office) โปรแกรมหน้าร้าน (POS) โปรแกรมบัญชี online (Cloud Accounting) ปัจจุบันมีซอฟต์แวร์ที่เข้าร่วมโครงการรวมทั้งสิ้น 25 โปรแกรม
นอกจากนี้ กรมฯ ยังได้แจกฟรี ‘โปรแกรม e-Accounting for SMEs’ ซึ่งเป็นโปรแกรมหน้าร้าน (POS) ที่จะช่วยอำนวยความสะดวกในการค้าขาย เช่น มี Scanner เพื่อซื้อขายสินค้าในตัว , มีฐานข้อมูลของสินค้ามากกว่า 10,000 รายการ เป็นต้น โดยร้านค้าสามารถสมัครขอใช้งานโปรแกรม e-Accounting for SMEs ได้ผ่านทางโครงการ Total Solution for SMEs หรือดาวน์โหลดได้ที่ Google Play Store ในระบบ Android
DBD Data Warehouse
กรมได้พัฒนาระบบสารสนเทศให้มีความสมบูรณ์หลากหลาย และสามารถจัดทำผลวิเคราะห์ เพื่อเผยแพร่ข้อมูลธุรกิจ ประกอบด้วยข้อมูลนิติบุคคล ข้อมูลและวิเคราะห์งบการเงิน ข้อมูลซัพพลายเออร์ลูกค้า คู่ค้าทางธุรกิจ ข้อมูลโอกาสทางธุรกิจ ข้อมูลการลงทุนจากต่างชาติในนิติบุคคลไทย รวมทั้งข้อมูลสถิติการจดทะเบียนนิติบุคคล ซึ่งจะเป็นการเพิ่มโอกาสให้ SMEs สามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูล พร้อมทั้งนำข้อมูลธุรกิจไปสนับสนุนการตัดสินใจในการประกอบธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว โดยในปี 2564 (ม.ค.-ก.ย.) มีจำนวนผู้ใช้บริการทั้งสิ้นจำนวน 7,340,140 ครั้ง
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ