- Details
- Category: พาณิชย์
- Published: Friday, 22 October 2021 19:33
- Hits: 9984
พาณิชย์ เผย'ชาไทย' สินค้าดาวรุ่ง แนะเข้มมาตรฐาน เพิ่มแปรรูป สร้างโอกาสส่งออก
สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เผย 'ชาไทย' สินค้าดาวรุ่งส่งออก ยอด 7 เดือนโตกระฉูด มูลค่า 508.54 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 119.36% แนะเร่งผลักดันมาตรฐาน สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค และแปรรูปไปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพื่อเพิ่มโอกาสส่งออก ชี้ควรใช้ FTA เป็นใบเบิกทางเจาะจีนและอาเซียน
นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า สนค. ได้ติดตามสถานการณ์สินค้า ‘ชาไทย’ เพื่อประเมินโอกาสในการขยายตลาด ตามนโยบายที่ได้รับจากนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ โดยพบว่า ชาไทยเป็นสินค้าดาวรุ่งที่มีโอกาสในการขยายตัวได้อีกมาก ซึ่งเห็นได้จากยอดการส่งออกสินค้าประเภทชาเขียวและชาดำบรรจุหีบห่อในช่วง 7 เดือนของปี 2564 (ม.ค.-ก.ค.) มีปริมาณสูงถึง 2,192.44 ตัน เพิ่มขึ้น 99.88% และมีมูลค่า 508.54 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 119.36%
“จากแนวโน้มการส่งออกดังกล่าว แสดงให้เห็นว่า ชาไทยยังมีโอกาสในการส่งออกได้เพิ่มขึ้น โดยหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง จะต้องเข้ามาช่วยเหลือในการเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า โดยผลักดันให้มีมาตรฐานรับรอง ทั้งมาตรฐานในประเทศและมาตรฐานต่างประเทศ เช่น การผลิตทางการเกษตรอย่างถูกต้องและเหมาะสม (GAP) มาตรฐานการผลิตผลิตภัณฑ์ (GMP) สิ่งบ่งชี้ภูมิศาสตร์ (GI) รวมถึงการรับรองสินค้าอินทรีย์ เป็นต้น เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ซื้อ และช่วยเพิ่มโอกาสในการขายให้กับชาไทย”นายรณรงค์กล่าว
นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะต้องเร่งให้ความรู้แก่เกษตรกรทั้งในด้านการเพาะปลูกชาที่ตลาดต้องการ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ การแปรรูปไปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพื่อเพิ่มความหลากหลาย ช่วยผลักดันให้มีการรวมกลุ่มเป็นวิสาหกิจชุมชนหรือเกษตรแปลงใหญ่ และต้องช่วยขยายช่องทางการตลาดให้กับเกษตรกร ทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะช่องทางตลาดออนไลน์ที่มีความสำคัญและได้รับความนิยมในปัจจุบัน
ขณะเดียวกัน ควรจะช่วยประชาสัมพันธ์ชาไทย เพื่อกระตุ้นการบริโภค เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคได้ปรับเปลี่ยนจากการบริโภคเครื่องดื่มตามกระแส มาเป็นเลือกบริโภคเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพมากขึ้น ซึ่งชาไทย เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดีและได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น
ส่วนการส่งออก ผู้ประกอบการไทยมีโอกาสในการส่งออกชาและผลิตภัณฑ์ชาไทย เพราะชาไทยเป็นที่นิยมและยอมรับในหมู่ผู้บริโภค โดยมีตลาดสำคัญ เช่น ไต้หวัน จีน และอาเซียน ซึ่งในส่วนของจีนและอาเซียน สามารถใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรี (FTA) ที่ปัจจุบันมีการลดภาษีนำเข้าให้กับชาไทยแล้ว ทำให้สินค้าไทยมีความได้เปรียบเหนือคู่แข่ง
ปัจจุบัน แหล่งปลูกชาที่สำคัญของไทยอยู่ในพื้นที่ภูเขาสูงในภาคเหนือ ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ แพร่ แม่ฮ่องสอน ลำปาง และน่าน ชาสามารถปลูกได้ตลอดทั้งปี โดยเฉพาะช่วงต้นฤดูฝน และสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ทั้งปี โดยในช่วงเดือน พ.ย.-ธ.ค. เป็นช่วงที่ผลผลิตออกมากที่สุด ไทยมีพื้นที่ปลูกชาในปี 2563 จำนวน 149,656.95 ไร่ เพิ่มขึ้นจากปี 2562 คิดเป็นเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.90 โดยพันธุ์ที่นิยมปลูกมากที่สุด ได้แก่ พันธุ์ชาอัสสัม และพันธุ์ชาจีน คิดเป็นร้อยละ 87 และ 13 ตามลำดับ
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ