WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

PTTGC ตั้งเป้า 5 ปี EBITDA โตเฉลี่ย 20-30% สรุปแผนปิโตรฯคอมเพล็กซ์อินโดฯ-สหรัฐปีหน้า

    บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) ตั้งเป้าช่วง 5 ปีนี้(ปี 58- 62) EBITDA โตเฉลี่ยยปีละ 20-30% ภายใต้งบลงทุน 4.5 พันล้านเหรียญสหรัฐที่จะเน้นใช้ในโครงการขนาดใหญ่ ซึ่งขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างเตรียมแผนลงทุนในโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในอินโดนีเซียร่วมกับเปอตามีน่าคาดว่าจะได้ข้อสรุปปลายปี 58 และการเจรจาร่วมทุนพันธมิตรทำโครงการปิโตรคอมเพล็กซ์ในสหรัฐคาดว่าจะได้ข้อสรุปราวกลางปี 58

    พร้อมกันนั้น บริษัทยังอยู่ระหว่างศึกษาการนำบริษัทร่วมทุน คือ บริษัท เนเจอร์เวิร์ค เอเชียแปซิฟิค จำกัด เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐเพื่อระดมทุนมาใช้ขยายธุรกิจไบโอพลาสติกในประเทศไทย

     นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ PTTGC เปิดเผยถึงกลยุทธ์การเติบโตของบริษัทว่า พร้อมพัฒนาประสิทธิภาพธุรกิจปิโตรเคมีเคมีภัณฑ์ ที่เป็นธุรกิจหลักและมีความชำนาญอยู่แล้วให้เติบโตบนฐาน Organic Growth รอบคอบในการลงทุนและสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยเน้นสมดุลทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม เพื่อให้ธุรกิจสามารถสร้างผลตอบแทนและดูแลผู้มีส่วนได้เสีย (Stakeholder) ทั่วทุกกลุ่ม และรองรับตลาดในประเทศอาเซียน

     ปัจจุบัน PTTGC เป็นผู้ผลิตปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ที่มีความหลากหลายมากถึง 7 กลุ่มธุรกิจ โดยขณะนี้มีโครงการที่แล้วเสร็จและสามารถสร้างรายได้แล้ว คือ การขยายกำลังการผลิตบิวทาไดอีนและบิวทีน-1  รวม 100,000 ตันต่อปี

     สำหรับโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการและจะแล้วเสร็จในปี 2015 ประกอบด้วย 3 โครงการหลัก คือ 1) การขยายกำลังการผลิตฟีนอล อีก 250,000 ตันต่อปี 2) การปรับปรุงประสิทธิภาพ (Plant Improvement) โรงงานทีโอซี ไกลคอล (TOCGC) เพิ่มการผลิต EO อีก 90,000 ตันต่อปี 3) การขายกำลังการผลิตของโรงงานอะโรเมติกส์ 2 เพื่อเพิ่มการผลิตพาราไซลีน อีก 115,000 ตันต่อปี โดยทั้ง 3 โครงการมีเป้าหมายแล้วเสร็จในไตรมาส 3-4 ปี 58

     ส่วนปีหน้าบริษัทก็มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นราว 4-5 แสนตัน/ปี ได้แก่ การขยายกำลังการผลิตฟีนอลอีก 2.5 แสนตัน/ปี การปรับปรุงประสิทธิภาพโรงงานทีโอซีไกลคอล (TOCGC) เพิ่มกำลังการผลิต EO อีก 90,000 ตัน/ปี และการขยายกำลังการผลิตของโรงงานอะโรเมติกส์ 2 เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตพาราไซลีนอีก 115,000 ตัน/ปี โดยทั้ง3โครงการมีเป้าหมายเสร็จในไตรมาส 3-4 ปี58 นอกจากนี้มีงบลงทุนปกติในปี 58 จำนวน 7-8 พันล้านาบท

     "กลยุทธ์การเติบโตของบริษัท คือ การสร้างความแข็งแกร่งในธุรกิจปัจจุบันที่จะมีกำลังการผลิตเพิ่มเข้ามาอีก 4-5 แสนตัน/ปีในปี 58 และการขยายการลงทุนต่อเนื่องในธุรกิจเดิมแต่ลงทุนในพื้นที่ใหม่ ได้แก่ อินโดนีเซีย สหรัฐ รวมทั้งการลงทุนในธุรกิจสีเขียว และการลงทุนผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยได้เตรียมงบลงทุนไว้ 4.5 พันล้านเหรียญในช่วง 5 ปี(ปี 58-62) ทั้งหมดนี้จะช่วยผลักดันให้กำไรก่อนหักภาษี ดอกเบี้ย ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย(EBITDA) เติบโตเฉลี่ยปีละ 20-30%ในช่วง 5 ปีนี้ พร้อมเป็นบริษัทติดอันดับต้นๆในเอเชียซึ่งปัจจุบัน PTTGC ใหญ่เป็นอันดับ 6 รองจากบริษัทจากจีนและเกาหลี และเป็นบริษัทที่เติบโตอย่างยั่งยืน"

      นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวถึงทางด้านการลงทุนต่างประเทศว่า การลงทุนโครงการปิโตรคอมเพล็กซ์ร่วมกับเปอตามีน่าในอินโดนีเซียคาดว่า จะได้ข้อสรุปหรือผลการศึกษาความเป็นไปได้โครงการ(Final Fesibility) ในปลายปี 58 เพราะรอทางเปอตามีน่าหาพันธมิตรในการขยายโรงกลั่น 1.2แสนบาร์เรล/วัน เพิ่มป็น 3.2 แสนบาร์เรล/วัน โดยมีขนาดกำลังการผลิต 1.5 ล้านตัน/ปี งบลงทุน 5 พันล้านเหรียญ

      และการร่วมลงทุนกับพันธมิตรสหรัฐที่จะลงทุนโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในสหรัฐโดยใช้ shale gas เป็นวัตถุดิบ โดยมีขนาดกำลังการผลิต 1 ล้านตันปี คาดว่าจะสรุปผลการเจรจาได้ในช่วงกลางปี 58 หากสำเร็จจะใช้เวลาก่อสร้าง 4 ปี แต่ยังประเมินมูลค่าโครงการแต่แนวโน้มมูลค่าการลงทุนสูงกว่าในพบเอเชีย

     นอกจากนั้น คาดว่า ปี 58 จะได้ข้อสรุปการร่วมลงทุนกับ Sino Chem ของจีน ในการร่วมลงทุนปลิตโพลียูริเทน โดยใช้ฐานการผลิตที่จีน

    "กลยุทธ์เราจะขยายธุรกิจต่อเนื่องในพื้นที่ใหม่ แต่ในธุรกิจที่เราชำนาญคือในอินโดนีเซียที่ยังมีความต้องการผลิตภัณฑ์สูง... แม้เราจะมีความชำนาญมา 30 ปีแต่ก็ยังต้องการมีพาร์ทเนอร์ทั้งในอินโดนีเซีย จีนและสหรัฐ"นายสุพัฒนพงษ์ CEO คนใหม่กล่าว

    ขณะเดียวกัน การลงทุนธุรกิจสีเขียวได้แก่การลงทุนไบโอพลาสติก ที่บริษัทลงทุนผ่านบริษัท Nature Work ที่ร่วมทุนกับบริษัท Cargill ฝ่ายละ 50% และบริษัทได้หารือกับ Cargill ที่ศึกษานำ Nature Work เข้าตลาดหุ้นในสหรัฐซึ่งจะมีการรับโครงสร้างธุรกิจซึ่งจะทำให้ Nature Work มีเทคโนโลยีครบวงจรที่จะนำมาใช้ผลอตไบโอพลาสติก ทั้งนี้จะนำเงินที่ระดมทุนจากการขายหุ้น IPO มาลงทุนโรงงานไบโอพลาสติกในไทยต่อไป

    สำหรับ ผลประกอบการในปีนื้ นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า บริษัทยังคาดว่า EBITDA Margin ไม่รวมผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน ปีนี้อยู่ที่ 11% ใกล้เคียงปีก่อน แม้ว่า 3 ไตรมาสที่ผ่านมาได้รับผลกระทบจากโรงแยกก๊าซ 5 ของบมจ.ปตท. (PTT) ยังไม่เปิดดำเนินการ และเพิ่งเปิดดำเนินการในไตรมาส 4 นี้ จะทำให้ผลประกอบการในไตรมาส 4 นี้น่าจะดีขึ้น รวมทั้งราคาเม็ดพลาสติกHDPE ยังอยู่ระดับสูง และมีสเปรดราคาสูงที่800เหรียญ/ตัน ส่วนราคาพาราไซลีนน่าจะพ้นจุดต่ำสุดแล้ว

    อย่างไรก็ตาม ในไตรมาส 4 นี้ยังกังวลผลขาดทุนสต็อกน้ำมัน ที่ราคาน้ำมันดิบดูไบปรับตัวลงไปมากโดยสิ้นไตรมาส 3/57อยู่ที่ 95 เหรียญ/บาร์เรล จากต้นไตรมาส 3/57 ราคาอยู่ที่ 108 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่งก็ต้องรอติดตามผลประชุมโอเปคว่าจะงดกำลังการผลิตหรือไม่ ซึ่งเห็นว่าเป็นผลกระทบระยะสั้น แต่ในระยะยาวคาดว่าราคาน้ำมันดิบดูไบไปที่ 90-100เหรียญ/บาร์เรล

   "ถ้าเกิดขาดทุนสต็อกในปีนี้ก็เป็นผลขาดทุนทางบัญชี แต่ปีหน้าคาดว่าจะรีเทิร์นเป็นบวก"

      ส่วนแผนการควบรวมกิจการกับบมจ.ไออาร์พีซี( IRPC) นายสุพัฒนพงษ์กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ได้อยู่ในแผนกลยุทธ์ แต่บริษัทมีแผนและตั้งเป้าหมายที่จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งและเชื่อว่าต่างคนก็ต่างสร้างตัวเองให้แข็งแกร่ง

                อินโฟเควสท์

PTTGC ตั้งเป้า 5 ปี EBITDA โตเฉลี่ย 20-30% สรุปแผนปิโตรฯคอมเพล็กซ์อินโดฯ-สหรัฐปีหน้า

     บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) ตั้งเป้าช่วง 5 ปีนี้(ปี 58- 62) EBITDA โตเฉลี่ยปีละ 20-30% ภายใต้งบลงทุน 4.5 พันล้านเหรียญสหรัฐที่จะเน้นใช้ในโครงการขนาดใหญ่ ซึ่งขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างเตรียมแผนลงทุนในโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในอินโดนีเซียร่วมกับเปอตามีน่าคาดว่าจะได้ข้อสรุปปลายปี 58 และการเจรจาร่วมทุนพันธมิตรทำโครงการปิโตรคอมเพล็กซ์ในสหรัฐคาดว่าจะได้ข้อสรุปราวกลางปี 58

      พร้อมกันนั้น บริษัทยังอยู่ระหว่างศึกษาการนำบริษัทร่วมทุน คือ บริษัท เนเจอร์เวิร์ค เอเชียแปซิฟิค จำกัด เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐเพื่อระดมทุนมาใช้ขยายธุรกิจไบโอพลาสติกในประเทศไทย

PTTGC เปิดแผน 5 ปี (58-62) EBITDA โตเฉลี่ยปีละ 20-30% - วางงบลงทุน 4.5 พันล้านเหรียญ เน้นใช้ในโครงการขนาดใหญ่

     PTTGC เปิดแผน 5 ปี (58-62) ตั้งเป้า EBITDA โตเฉลี่ยปีละ 20-30% วางงบลงทุน 4.5 พันล้านเหรียญ เน้นใช้ในโครงการขนาดใหญ่ ส่วนแผนควบรวม IRPC ยังไม่ตัดสินใจในช่วงนี้ เผยอยู่ระหว่างเจรจาพันธมิตรลงทุนปิโตรเคมีในสหรัฐฯ คาดสรุปกลางปีหน้า ใช้งบลงทุน 7-8 พันลบ.- แย้มมีแผนนำบริษัทร่วมทุนเข้าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ส่วนแผนลงทุนโครงการปิโตรคอมเพล็กซ์ในอินโดฯ คาดสรุปปลายปี 58

     นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC เปิดเผยว่า บริษัทฯ ตั้งเป้าหมาย 5 ปีข้างหน้า (2558-2562) EBITDA จะเติบโตเฉลี่ยปีละ 20-30% เป็นไปตามแผนขยายธุรกิจของบริษัทฯอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ราคาน้ำมันมีแนวโน้มจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคตตามดีมานด์ที่เพิ่มขึ้นจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก

  ขณะที่คาดว่าอัตรากำไรก่อนหักภาษี ดอกเบี้ย และค่าเสื่อม (EBITDA Margin) ไม่รวมผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมันในปีนี้ จะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีก่อนที่ 11% ?

  "การปรับตัวลงของราคาน้ำมันคงจะเกิดขึ้นในช่วงระยะสั้นๆในช่วงนี้เท่านั้น เพราะเกิดภาวะโอเวอร์ซัพพลาย ซึ่งในปีต่อๆไปกลไกของตลาดจะทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นไปได้อีกครั้ง รวมทั้งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกจะสนับสนุนให้ดีมานด์ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง" นายสุพัฒนพงษ์ กล่าว

  ด้านแผนการลงทุน บริษัทฯ ตั้งงบลงทุน 5 ปี ที่ 4.5 พันล้านเหรียญ หรือเฉลี่ยใช้ปีละราว 1,000 ล้านเหรียญ โดยจะเน้นลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษา อาทิ โครงการปิโตรคอมเพล็กซ์ในประเทศอินโดนีเซีย เป็นต้น

   สำหรับ ในปีหน้าบริษัทฯคาดว่าจะใช้เงินลงทุนราว 7-8 พันล้านบาท เพื่อใช้ในการปรับปรุงโรงกลั่น 2 แห่ง 

   ส่วนแผนการควบรวมกับ IRPC ยังไม่ได้มีการตัดสินใจใดๆ ในระยะอันใกล้นี้

    "เราและ IRPC ต่างฝ่ายก็ต่างดำเนินธุรกิจของตัวเองกันไปก่อน ซึ่งเรื่องการควบรวมยังไม่ได้มีการพิจารณาขณะนี้ โดยหากในอนาคตเราพบว่าทั้งสองบริษัทมี Synergy ในทางบวกที่จะเอื้อให้กับกลุ่มธุรกิจโรงกลั่นของปตท. ได้อย่างมีนัยสำคัญ ก็อาจจะมีการพิจารณา และมีโอกาสควบรวมระหว่างกัน"นายสุพัฒนพงษ์ กล่าว

    นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวด้วยว่า ขณะนี้บริษัทฯอยู่ระหว่างการศึกษาแผนเข้าร่วมทุนกับพันธมิตรในประเทศสหรัฐฯ เพื่อลงทุนธุรกิจปิโตรเคมีในประเทศสหรัฐฯ คาดได้ข้อสรุปกลางปี 2558 เบื้องต้นประเมินว่าเงินลงทุนจะอยู่ในระดับราว 7,000-8,000 ล้านบาท 

    นอกจากนี้ อยู่ระหว่างการศึกษานำบริษัทร่วมทุน "เนเจอร์เวิร์ค เอเชียแปซิฟิค" เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ เพื่อนำเงินระดมทุนใช้ขยายธุรกิจไบโอพลาสติกในประเทศไทย

    ส่วนแผนการลงทุนปิโตรคอมเพล็กซ์ในประเทศอินโดนีเซียที่จะร่วมกับบริษัท เปอร์ตามิน่า ผู้ประกอบการปิโตรรายใหญ่ของอินโดนีเซีย คาดว่าจะได้ข้อสรุปรายละเอียดการลงทุนในช่วงปลายปี 2558 โดยขณะนี้อยู่ระหว่างรอความชัดเจนของการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลในประเทศอินโดนีเซีย และผู้บริหารของเปอร์ตามิน่า ซึ่งโครงการดังกล่าวจะตั้งอยู่ที่เมืองบาลองกัน

สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!