- Details
- Category: พาณิชย์
- Published: Sunday, 31 January 2021 13:12
- Hits: 8830
‘กรมเจรจาฯ’ จับตาสินค้าสำคัญ หลัง 'FTA อียู-เวียดนาม' มีผลใช้บังคับ แนะเอกชนเร่งปรับตัวสร้างจุดขาย ‘ก่อนโดนเท’
กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ประเมินกลุ่มสินค้าสำคัญที่ต้องจับตามอง หลัง FTA อียูและเวียดนาม มีผลใช้บังคับ 1 ส.ค. 2563 ยกเว้นภาษีระหว่างกันกว่า 99% ของรายการสินค้าทั้งหมด แนะผู้ประกอบไทยเร่งปรับตัว เน้นพัฒนาคุณภาพและยกระดับสินค้า ก่อนอียูหันไปนำเข้าสินค้าจากเวียดนามแทน
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า กรมฯ ได้ประเมินกลุ่มสินค้าสำคัญที่ไทยต้องจับตามองและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด หลังความตกลงการค้าเสรีระหว่างอียูและเวียดนาม มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2563 ซึ่งอียูและเวียดนามได้เปิดตลาดยกเว้นภาษีระหว่างกันในระดับสูง หรือกว่า 99% ของจำนวนรายการสินค้าทั้งหมด สำหรับกลุ่มสินค้าที่ต้องจับตามอง ได้แก่ กลุ่มสินค้าที่อียูนำเข้าจากไทยจำนวนมาก แต่อาจพิจารณานำเข้าจากเวียดนามแทน หากต้นทุนการนำเข้าจากเวียดนามถูกกว่าไทย เช่น เส้นพาสต้า ข้าว ปลาปรุงแต่ง ปลาหมึกกระป๋อง ยางล้อรถจักรยาน ทุเรียน และน้ำผักและผลไม้ เป็นต้น ซึ่งไทยจำเป็นต้องเร่งปรับตัวเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดอียู
“เพื่อรักษาศักยภาพการแข่งขันของไทยในตลาดอียู ผู้ประกอบการไทยควรเตรียมปรับตัว โดยสร้างความแตกต่างให้กับสินค้า เน้นการพัฒนาคุณภาพและยกระดับมาตรฐานสินค้า รวมถึงใช้ช่องทางการส่งออกด้วยสิทธิประโยชน์จากเอฟทีเอฉบับต่างๆ ที่ไทยมีกับประเทศคู่ค้าสำคัญอื่นๆ อาทิ อาเซียน จีน และญี่ปุ่น รวมทั้ง “อาร์เซ็ป” ที่จะมีผลใช้บังคับในอนาคต เพื่อเร่งขยายการค้าในตลาดอื่นๆ และลดความเสียเปรียบทางภาษีศุลกากรที่หายไปในตลาดอียู” นางอรมน กล่าว
นางอรมน เสริมว่า นอกจากอียูจะทำเอฟทีเอกับเวียดนามและสิงคโปร์แล้ว สำหรับประเทศสมาชิกอาเซียนอื่น อียูยังอยู่ระหว่างการเจรจาเอฟทีเอกับอินโดนีเซีย และพิจารณาเรื่องการฟื้นการเจรจาเอฟทีเอกับไทย โดยในส่วนของไทย ขณะนี้กรมฯ อยู่ระหว่างการหารือกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งหภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เพื่อพิจารณาเรื่องการฟื้นการเจรจาเอฟทีเอกับอียู หากทุกภาคส่วนเห็นพ้องว่าควรฟื้นการเจรจา กรมฯ จะรวบรวมผลการศึกษาและความคิดเห็น รวมทั้งจัดทำกรอบเจรจาเสนอกระทรวงพาณิชย์เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
ทั้งนี้ ในปี 2563 อียูเป็นคู่ค้าอันดับ 4 ของไทย โดยไทยส่งออกไปอียูมูลค่า 17,637 ล้านเหรียญสหรัฐ สินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์และส่วนประกอบ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ ยาและเวชภัณฑ์ เครื่องมือทางทัศนศาสตร์ และยานยนต์และชิ้นส่วน ในขณะที่ไทยนำเข้าจากอียูมูลค่า 15,496 ล้านเหรียญสหรัฐ สินค้านำเข้าสำคัญ ได้แก่ เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์และส่วนประกอบ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ ยางพาราและผลิตภัณฑ์ ยานยนต์และชิ้นส่วน และอัญมณีและเครื่องประดับ
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ