- Details
- Category: พาณิชย์
- Published: Sunday, 27 December 2020 15:34
- Hits: 12029
ภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทยประจำเดือนพฤศจิกายน 2563 ?✈️??
การค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนพฤศจิกายน ส่งสัญญาณการฟื้นตัวที่ดี แม้ยังมีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่เศรษฐกิจโลกมีทิศทางการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง สะท้อนจากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อโลก (Global Manufacturing PMI) ที่ปรับตัวดีขึ้นเหนือระดับ 50 ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 และทำสถิติสูงสุดในรอบ 24 เดือน สอดคล้องกับหลายองค์กรระหว่างประเทศที่ปรับประมาณการเศรษฐกิจโลกในทิศทางที่ดีขึ้น
ส่วนหนึ่งเป็นผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในหลายประเทศที่ช่วยเพิ่มกำลังซื้อของคู่ค้า ส่งผลให้สินค้าส่งออกในเดือนนี้ปรับตัวดีขึ้นหลายรายการ รวมทั้งข่าวดีเรื่องความคืบหน้าในการผลิตและกระจายวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ในหลายประเทศ ส่งผลให้เกิดความเชื่อมั่นทั้งในภาคการผลิต และการบริโภค โดยการส่งออกไทยมีภาวะการหดตัวน้อยลง ทั้งสินค้าเกษตรและสินค้าอุตสาหกรรม ทั้งนี้ ภาพรวมการส่งออกไทยเดือนพฤศจิกายน 2563 มีมูลค่า 18,932.66 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ 3.65 ขณะที่ภาพรวมการส่งออก 11 เดือนแรก (มกราคม–พฤศจิกายน) มีมูลค่า 211,385.69 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ 6.92
สินค้าที่ขยายตัวได้ดี ยังเป็นสินค้ากลุ่มเดิมที่เติบโตต่อเนื่อง 3 กลุ่มหลัก ได้แก่
1 - สินค้าอาหาร เช่น ผักและผลไม้ ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง อาหารสัตว์เลี้ยง สุกรสดแช่เย็นแช่แข็ง และสิ่งปรุงรสอาหาร
2 - สินค้าที่เกี่ยวข้องกับการทำงานที่บ้าน (Work from Home) และเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน เช่น เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน เตาอบไมโครเวฟและเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้ความร้อน ตู้เย็นและตู้แช่แข็ง เครื่องซักผ้า เครื่องปรับอากาศ และโทรศัพท์และอุปกรณ์
3 - สินค้าเกี่ยวกับการป้องกันการติดเชื้อและลดการแพร่ระบาด เช่น เครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์ รวมถึงถุงมือยางที่มีคำสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
. ด้านตลาดส่งออก ตลาดสหรัฐฯ และออสเตรเลีย ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง ขณะที่หลายตลาดกลับมาฟื้นตัวเป็นบวกอีกครั้ง โดยเฉพาะตลาดญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และมาเลเซีย รวมทั้งตลาดอื่นๆ ที่มีสัดส่วนสำคัญกับการส่งออกไทย ล้วนมีอัตราการหดตัวที่ลดลงมากในเดือนนี้ เช่น อาเซียน (5) และตะวันออกกลาง ในขณะที่การค้าชายแดนของไทย โดยเฉพาะประเทศในกลุ่ม CLMV ยังได้รับผลกระทบจากการกลับมาแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ตั้งแต่เดือนตุลาคมที่ผ่านมา
.
? มูลค่าการค้ารวม.
??? มูลค่าการค้าในรูปของเงินดอลลาร์สหรัฐ
เดือนพฤศจิกายน 2563 การส่งออก มีมูลค่า 18,932.66 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ 3.65 เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน (YoY) การนำเข้า มีมูลค่า 18,880.07 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ 0.99 การค้าเกินดุล 52.59 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภาพรวม 11 เดือนแรกของปี 2563 การส่งออก มีมูลค่า 211,385.69 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ 6.92 ขณะที่การนำเข้า มีมูลค่า 187,872.73 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ 13.74 ส่งผลให้ 11 เดือนแรกของปี 2563 การค้าเกินดุล 23,512.96 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
.
??? มูลค่าการค้าในรูปของเงินบาท
เดือนพฤศจิกายน 2563 การส่งออก มีมูลค่า 585,911.03 ล้านบาท หดตัวร้อยละ 0.65 เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน (YoY) ขณะที่การนำเข้า มีมูลค่า 592,369.78 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 1.98 การค้าขาดดุล 6,458.75 ล้านบาท ภาพรวม 11 เดือนแรกของปี 2563 การส่งออก มีมูลค่า 6,575,690.45 ล้านบาท หดตัวร้อยละ 6.78 ขณะที่การนำเข้า มีมูลค่า 5,920,305.57 ล้านบาท หดตัวร้อยละ 13.76 ส่งผลให้ 11 เดือนแรกของปี 2563 การค้าเกินดุล 655,384.88 ล้านบาท
.
? แนวโน้มและมาตรการส่งเสริมการส่งออกในช่วงที่เหลือของปี 2563 - 2564
. การส่งออกไทยได้รับปัจจัยบวกจากความเชื่อมั่นเศรษฐกิจโลกที่เริ่มฟื้นตัวอย่างชัดเจน ในภาพรวมคาดว่าจะส่งผลดีต่อการส่งออกในเดือนสุดท้ายของปี และหากประเทศไทยได้รับมอบวัคซีนในช่วงกลางปี 2564 ตามกำหนด จะฟื้นคืนความเชื่อมั่นได้เร็วขึ้น และส่งผลให้ภาคการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจไทยกลับมาขยายตัว ซึ่งจะทำให้สินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวหลายรายการกลับมาขยายตัวได้อีกครั้ง
ปัจจัยบวกในปี 2564 นอกจากการผลิตและการกระจายวัคซีนแล้ว หลังการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและภาคการขนส่งสามารถกลับมาดำเนินการได้ตามปกติ คาดว่าความต้องการใช้น้ำมันจะเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้สินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมันที่ไทยมีสัดส่วนการส่งออกสูงกลับมาขยายตัว ขณะที่ปัจจัยลบต่อการส่งออก คือ การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่อาจยืดเยื้อและส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อทั่วโลก นอกจากนี้ สถานการณ์การแพร่ระบาดในจังหวัดสมุทรสาครของไทย ที่จะต้องควบคุมไม่ให้เกิดการชะงักงันของห่วงโซ่อุปทาน
ซึ่งจะกระทบการส่งออกสินค้าอาหารทะเลของไทยได้ นอกจากนี้ ปัจจุบันผู้ส่งออกประสบปัญหาขาดแคลนตู้สินค้า ซึ่งหลังเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว ประเทศต่างๆ จะกลับมาส่งออกสินค้าเพิ่มขึ้น จึงต้องเร่งแก้ปัญหาเพื่อไม่ให้กระทบการส่งออกในอนาคต ประกอบกับปัญหาเชิงโครงสร้างของสินค้าอุตสาหกรรมไทยที่ยังผลิตโดยใช้เทคโนโลยีเก่า ขณะที่หลายๆ ประเทศเริ่มเปลี่ยนโครงสร้างการผลิตให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของเทคโนโลยี หากผู้ประกอบการไม่ปรับตัว หรือประเทศไทยไม่สามารถดึงดูดการลงทุนในสินค้าอุตสาหกรรมใหม่เข้ามาในประเทศ อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกในระยะยาว
การส่งเสริมการส่งออกในช่วงที่เหลือของปี 2563 รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์) ได้หารือกับภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนตู้สินค้าเพื่อให้มีเพียงพอต่อความต้องการของผู้ส่งออก รวมถึงการลดค่าระวางเรือ และค่าธรรมเนียมอื่นๆ ในด้านการเจรจาการค้า ได้กำชับให้เร่งเจรจาความตกลงการค้าระหว่างประเทศ (FTA) ที่ยังค้างอยู่ และเปิดการเจรจา FTA ใหม่ๆ เช่น ไทย-สหราชอาณาจักร ไทย-ยูเรเซีย ไทย-เอฟต้า อาเซียน-แคนาดา ตลอดจนผลักดันการสร้างหุ้นส่วนพันธมิตรรายมณฑล นอกจากนี้ ได้สั่งการให้ทูตพาณิชย์เร่งหาตลาดและโอกาสในการส่งออกเพิ่มขึ้น เพื่อเพิ่มแต้มต่อให้การส่งออกของไทยในปี 2564
.
ท่านสามารถดาวน์โหลดเอกสารเพิ่มเติมได้ที่
?⬇️ http://www.tpso.moc.go.th/th/node/10896
พาณิชย์ เผยส่งออกเดือนพ.ย. ฟื้นตัวต่อเนื่อง ติดลบ 3.65% หดตัวต่ำสุดในรอบปี
ส่งออกเดือนพ.ย.63 ฟื้นตัวต่อเนื่อง ลดลงเพียง 3.65% หดตัวต่ำสุดในรอบปี หลังเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว มีการสั่งซื้อสินค้าเพิ่ม และมีข่าวดีวัคซีนโควิด-19 ช่วยกระตุ้นการผลิต การบริโภค ขณะที่อาหาร สินค้าเกี่ยวเนื่องทำงานที่บ้าน และสินค้าป้องกันติดเชื้อยังเติบโตได้ดี ทำยอดรวม 11 เดือนลบ 6.92% มั่นใจทั้งปีต่ำกว่าที่คาดลบ 7% ส่วนปี 64 ประเมินบวก 4% ได้แรงหนุนเศรษฐกิจ การค้าโลกฟื้น มีวัคซีน น้ำมันปรับตัวดีขึ้น
น.ส.พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า การส่งออกของไทยในเดือนพ.ย.2563 มีมูลค่า 18,932.66 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 3.65% หดตัวต่ำสุดในรอบปี 2563 ที่การส่งออกเคยมีการติดลบมา ถือเป็นสัญญาณดีของการส่งออกของไทยที่ฟื้นตัวขึ้นอย่างช้าๆ ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า 18,880.07 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 0.99% ซึ่งเห็นสัญญาณดีต่อการส่งออก เพราะมีการนำเข้าวัตถุดิบและเครื่องจักรเพิ่มขึ้น โดยเกินดุลการค้า 52.59 ล้านเหรียญสหรัฐ
ขณะที่ยอดรวมการส่งออก 11 เดือนของปี 2563 (ม.ค.-พ.ย.) มีมูลค่า 211,385.69 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 6.92% การนำเข้ามีมูลค่า 187,872.73 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 13.74% เกินดุลการค้ามูลค่า 23,512.96 ล้านเหรียญสหรัฐ
สำหรับ ปัจจัยที่ทำให้การส่งออกฟื้นตัวดีขึ้น มาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก มีการสั่งซื้อสินค้าเพิ่มขึ้นจากการที่หลายประเทศมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และมีข่าวดีจากความคืบหน้าวัคซีนโควิด-19 ทำให้เกิดความเชื่อมั่นในการผลิตและการบริโภค และยังได้รับผลดีจากกลุ่มสินค้าที่ขยายตัวได้ดีใน 3 กลุ่มหลัก คือ อาหาร สินค้าที่เกี่ยวข้องกับการทำงานที่บ้านและเครื่องใช้ไฟฟ้า และสินค้าที่เกี่ยวกับการป้องกันการติดเชื้อและลดการแพร่ระบาด
อย่างไรก็ตาม สินค้าในกลุ่มสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร ก็ส่งออกได้ดีขึ้น ลดลงแค่ 2.4% มีสินค้าที่ส่งออกได้เพิ่มขึ้นและลดลง โดยสินค้าที่เพิ่มขึ้น เช่น ยางพารา อาหารสัตว์เลี้ยง ข้าวที่กลับมาส่งออกได้เพิ่มขึ้น ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง สิ่งปรุงรสอาหาร ผัก ผลไม้สดแช่แข็งกระป๋องและแปรรูป และสินค้าที่ลดลง เช่น น้ำตาลทราย อาหารทะเลแช่แข็งกระป๋องและแปรรูป เครื่องดื่ม ไก่สดแช่แข็งและแปรรูป ส่วนสินค้าอุตสาหกรรม ลด 2.9% สินค้าที่ขยายตัวได้ดี เช่น รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยาง เตาอบไมโครเวฟและเครื่องใช้ไฟฟ้า โทรศัพท์อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องซักผ้าและส่วนประกอบ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน และสินค้าที่ลดลง เช่น สินค้าเกี่ยวเนื่องน้ำมัน เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องสำอาง สบู่ และผลิตภัณฑ์รักษาสิว
ทางด้านตลาดส่งออก มีการฟื้นตัวดีขึ้นเช่นเดียวกัน โดยตลาดหลัก เพิ่ม 5.9% โดยสหรัฐฯ เพิ่ม 15.4% ญี่ปุ่น เพิ่ม 5.4% สหภาพยุโรป (อียู) 15 ประเทศ ลด 8.5% จากการล็อกดาวน์ในบางประเทศ ตลาดศักยภาพสูง ลด 11% โดยจีน ลด 8.9% อาเซียน 5 ประเทศ ลด 15% CLMV ลด 13% เอเชียใต้ ลด 1.5% โดยอินเดีย ลด 1.3% ตลาดศักยภาพระดับรอง เพิ่ม 4.2% โดยทวีปออสเตรเลีย เพิ่ม 23.7% ทวีปแอฟริกา เพิ่ม 4.9% รัสเซียและกลุ่มประเทศ CIS เพิ่ม 20.8% แต่ตะวันออกกลาง ลด 12.1% และลาตินอเมริกา ลด 12.1%
น.ส.พิมพ์ชนกกล่าวว่า การส่งออกในเดือนธ.ค.2563 หากส่งออกได้มูลค่า 18,000 ล้านเหรียญสหรัฐ การส่งออกทั้งปีจะติดลบ 6.86% มูลค่า 18,500 ล้านเหรียญสหรัฐ ติดลบ 6.6% และมูลค่า 19,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ติดลบเหลือ 6.45% ถือว่าต่ำกว่าที่ประมาณการณ์เอาไว้ว่าทั้งปีจะติดลบ 7% ถือว่าประเทศไทยทำได้ดี
ส่วนปี 2564 เบื้องต้นประเมินว่าการส่งออกจะกลับมาขยายตัวเป็นบวกได้ 4% โดยมีปัจจัยหนุนมาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจการค้าโลก แม้จะมีการล็อกดาวน์เป็นจุดๆ แต่ไม่กระทบเศรษฐกิจรุนแรงเหมือนรอบแรก วัคซีนน่าจะออกมาแล้ว แม้จะยังฉีดไม่ได้ทุกคน แต่ก็สร้างความมั่นใจให้เกิดขึ้น ราคาน้ำมัน มีแนวโน้มฟื้นตัว หากโควิด-19 จำกัดได้ สินค้าไทยทั้งกลุ่มอาหาร ทำงานที่บ้าน และดูแลสุขภาพ ยังคงส่งออกได้ดี รวมถึงกลุ่มอื่นๆ ที่มีแนวโน้มดีขึ้น เช่น รถยนต์ ส่วนปัจจัยที่ต้องระวัง คือ ค่าเงิน และนโยบายของสหรัฐฯ ที่อาจจะมีผลกระทบต่อการส่งออก
ภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทยประจำเดือนพฤศจิกายน 2563
การค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนพฤศจิกายน ส่งสัญญาณการฟื้นตัวที่ดี แม้ยังมีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่เศรษฐกิจโลกมีทิศทางการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง สะท้อนจากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อโลก (Global Manufacturing PMI) ที่ปรับตัวดีขึ้นเหนือระดับ 50 ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 และทำสถิติสูงสุดในรอบ 24 เดือน สอดคล้องกับหลายองค์กรระหว่างประเทศที่ปรับประมาณการเศรษฐกิจโลกในทิศทางที่ดีขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในหลายประเทศที่ช่วยเพิ่มกำลังซื้อของคู่ค้า ส่งผลให้สินค้าส่งออกในเดือนนี้ปรับตัวดีขึ้นหลายรายการ รวมทั้งข่าวดีเรื่องความคืบหน้าในการผลิตและกระจายวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ในหลายประเทศ ส่งผลให้เกิดความเชื่อมั่นทั้งในภาคการผลิต และการบริโภค โดยการส่งออกไทยมีภาวะการหดตัวน้อยลง ทั้งสินค้าเกษตรและสินค้าอุตสาหกรรม ทั้งนี้ ภาพรวมการส่งออกไทยเดือนพฤศจิกายน 2563 มีมูลค่า 18,932.66 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ 3.65 ขณะที่ภาพรวมการส่งออก 11 เดือนแรก (มกราคม–พฤศจิกายน) มีมูลค่า 211,385.69 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ 6.92
สินค้าที่ขยายตัวได้ดี ยังเป็นสินค้ากลุ่มเดิมที่เติบโตต่อเนื่อง 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1) สินค้าอาหาร เช่น ผักและผลไม้ ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง อาหารสัตว์เลี้ยง สุกรสดแช่เย็นแช่แข็ง และสิ่งปรุงรสอาหาร 2) สินค้าที่เกี่ยวข้องกับการทำงานที่บ้าน (Work from Home) และเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน เช่น เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน เตาอบไม่โครเวฟและเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้ความร้อน ตู้เย็นและตู้แช่งแข็ง เครื่องซักผ้า เครื่องปรับอากาศ และโทรศัพท์และอุปกรณ์ 3) สินค้าเกี่ยวกับการป้องกันการติดเชื้อและลดการแพร่ระบาด เช่น เครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์ รวมถึงถุงมือยางที่มีคำสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
ด้านตลาดส่งออก ตลาดสหรัฐฯ และออสเตรเลีย ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง ขณะที่หลายตลาดกลับมาฟื้นตัวเป็นบวกอีกครั้ง โดยเฉพาะตลาดญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และมาเลเซีย รวมทั้งตลาดอื่นๆ ที่มีสัดส่วนสำคัญกับการส่งออกไทย ล้วนมีอัตราการหดตัวที่ลดลงมากในเดือนนี้ เช่น อาเซียน (5) และตะวันออกกลาง ในขณะที่การค้าชายแดนของไทย โดยเฉพาะประเทศในกลุ่ม CLMV ยังได้รับผลกระทบจากการกลับมาแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ตั้งแต่เดือนตุลาคมที่ผ่านมา
มูลค่าการค้ารวม
มูลค่าการค้าในรูปของเงินดอลลาร์สหรัฐ
เดือนพฤศจิกายน 2563 การส่งออก มีมูลค่า 18,932.66 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ 3.65 เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน (YoY) การนำเข้า มีมูลค่า 18,880.07 ล้านดอลลาร์สหรัฐหดตัวร้อยละ 0.99 การค้าเกินดุล 52.59 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภาพรวม 11 เดือนแรกของปี 2563 การส่งออก มีมูลค่า 211,385.69 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ 6.92 ขณะที่การนำเข้า มีมูลค่า 187,872.73 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ 13.74 ส่งผลให้ 11 เดือนแรกของปี 2563 การค้าเกินดุล 23,512.96 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
มูลค่าการค้าในรูปของเงินบาท
เดือนพฤศจิกายน 2563 การส่งออก มีมูลค่า 585,911.03 ล้านบาท หดตัวร้อยละ 0.65 เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน (YoY) ขณะที่การนำเข้า มีมูลค่า 592,369.78 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 1.98 การค้าขาดดุล 6,458.75 ล้านบาท ภาพรวม 11 เดือนแรกของปี 2563 การส่งออก มีมูลค่า 6,575,690.45 ล้านบาท หดตัวร้อยละ 6.78 ขณะที่การนำเข้า มีมูลค่า 5,920,305.57 ล้านบาท หดตัวร้อยละ 13.76 ส่งผลให้ 11 เดือนแรกของปี 2563 การค้าเกินดุล 655,384.88 ล้านบาท
การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร
มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร หดตัวร้อยละ 2.4 (YoY) เป็นอัตราหดตัว ที่ลดลงจากเดือนก่อน สินค้าที่ขยายตัวดี ได้แก่ ยางพารา ขยายตัวร้อยละ 32.5 ขยายตัว 2 เดือนต่อเนื่อง (ขยายตัวในตลาดจีน มาเลเซีย ญี่ปุ่น และสหรัฐฯ) อาหารสัตว์เลี้ยง ขยายตัวร้อยละ 23.6 ขยายตัว 15 เดือน ต่อเนื่อง (ขยายตัวในหลายตลาด อาทิ สหรัฐฯ อิตาลี มาเลเซีย ออสเตรเลีย อินโดนีเซีย) ข้าว กลับมาขยายตัวร้อยละ 16.7 ในรอบ 7 เดือน (ขยายตัวในตลาดเบนิน สหรัฐฯ จีน และแอฟริกาใต้) ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง กลับมาขยายตัวร้อยละ 14.0 ในรอบ 2 เดือน (ขยายตัวในตลาดจีน ไต้หวัน เกาหลีใต้ และมาเลเซีย) สิ่งปรุงรสอาหาร ขยายตัวร้อยละ 7.8 ขยายตัว 4 เดือนต่อเนื่อง
(ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ ออสเตรเลีย และเมียนมา) ผัก ผลไม้ สดแช่แข็ง กระป๋องและแปรรูป ขยายตัวร้อยละ 2.0 ขยายตัว 3 เดือนต่อเนื่อง (ขยายตัวในตลาดจีน สหรัฐฯ ฮ่องกง มาเลเซีย และออสเตรเลีย) สินค้าที่หดตัว ได้แก่ น้ำตาลทราย หดตัวร้อยละ 74.1 หดตัว 8 เดือนต่อเนื่อง (หดตัวในหลายตลาด อาทิ อินโดนีเซีย กัมพูชา จีน ลาว ฯลฯ แต่ขยายตัวดีในตลาดเวียดนาม) อาหารทะเลแช่แข็ง กระป๋องและแปรรูป หดตัวร้อยละ 10.4 หดตัว 4 เดือนต่อเนื่อง (หดตัวในตลาดญี่ปุ่น จีน ออสเตรเลีย และแคนาดา แต่ขยายตัวดีในตลาดสหรัฐฯ อียิปต์ เกาหลีใต้ ซาอุดีอาระเบีย และไต้หวัน) เครื่องดื่ม หดตัวร้อยละ 8.7 หดตัว 2 เดือนต่อเนื่อง (หดตัวในตลาดกัมพูชา และเวียดนาม แต่ขยายตัวดีในตลาดเมียนมา จีน ลาว สิงคโปร์ และฮ่องกง) ไก่สดแช่แข็งและแปรรูป หดตัวร้อยละ 6.6 หดตัว 5 เดือนต่อเนื่อง (หดตัวในตลาดญี่ปุ่น และสหราชอาณาจักร แต่ขยายตัวดีในตลาดจีน สิงคโปร์ และฮ่องกง) ขณะที่ 11 เดือนแรกของปี 2563 สินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร หดตัวร้อยละ 4.0
การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม
มูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม หดตัวร้อยละ 2.9 (YoY) หดตัว 7 เดือนต่อเนื่อง สินค้าที่ขยายตัวดี ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ กลับมาขยายตัวร้อยละ 10.3 ในรอบ 9 เดือน (ขยายตัวในตลาดออสเตรเลีย ญี่ปุ่น มาเลเซีย และสหรัฐฯ) ผลิตภัณฑ์ยาง ขยายตัวร้อยละ 13.3 ขยายตัว 6 เดือนต่อเนื่อง (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ ญี่ปุ่น มาเลเซีย สหราชอาณาจักร และออสเตรเลีย) เตาอบไมโครเวฟและเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้ความร้อน ขยายตัวร้อยละ 41.3 ขยายตัว 6 เดือนต่อเนื่อง (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ แคนาดา ออสเตรเลีย และเมียนมา) โทรศัพท์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 35.5 ขยายตัว 5 เดือนต่อเนื่อง (ขยายตัวในตลาดญี่ปุ่น สหรัฐฯ เนเธอร์แลนด์ และสิงคโปร์) เครื่องซักผ้าและส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 22.2 ขยายตัว 6 เดือนต่อเนื่อง (ขยายตัวในตลาดญี่ปุ่น สหรัฐฯ เกาหลีใต้ และแคนาดา) เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 17.0 ขยายตัว 2 เดือนต่อเนื่อง
(ขยายตัวในตลาดออสเตรเลีย สหรัฐฯ อินเดีย และไต้หวัน) เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน ขยายตัวร้อยละ 10.8 ขยายตัว 6 เดือนต่อเนื่อง (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ ญี่ปุ่น มาเลเซีย เวียดนาม ออสเตรเลีย และอาร์เจนตินา) สินค้าที่หดตัว ได้แก่ ทองคำ หดตัวร้อยละ 42.7 หดตัว 2 เดือนต่อเนื่อง (หดตัวในตลาดกัมพูชา สวิตเซอร์แลนด์ และญี่ปุ่น แต่ขยายตัวได้ดีในตลาดสิงคโปร์ ออสเตรเลีย และฮ่องกง) สินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน หดตัวร้อยละ 11.4 หดตัว 23 เดือนต่อเนื่อง (หดตัวแทบทุกตลาด อาทิ จีน กัมพูชา อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ และลาว แต่ขยายตัวได้ดีในตลาดเวียดนาม ญี่ปุ่น อินเดีย และสหรัฐฯ) เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ กลับมาหดตัวร้อยละ 7.4 ในรอบ 1 เดือน
(หดตัวในตลาดสหรัฐฯ ฮ่องกง จีน เนเธอร์แลนด์ และญี่ปุ่น แต่ขยายตัวได้ดีในตลาดมาเลเซีย สิงคโปร์ เยอรมนี และเกาหลีใต้) อัญมณีและเครื่องประดับไม่รวมทองคำ หดตัวร้อยละ 28.4 หดตัว 10 เดือนต่อเนื่อง (หดตัวในตลาดสหรัฐฯ ฮ่องกง และเยอรมนี แต่ขยายตัวได้ดีในตลาดออสเตรเลีย อิตาลี และไต้หวัน) เครื่องสำอาง สบู่ และผลิตภัณฑ์รักษาผิว หดตัวร้อยละ 11.0 หดตัว 10 เดือนต่อเนื่อง (หดตัวในหลายตลาด อาทิ ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ เวียดนาม ออสเตรเลีย เมียนมา จีน แต่ขยายตัวได้ดีในตลาดฮ่องกง) ขณะที่ 11 เดือนแรกของปี 2563 สินค้าอุตสาหกรรม หดตัวร้อยละ 6.6
ตลาดส่งออกสำคัญ
การส่งออกไปตลาดสำคัญปรับตัวดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป แม้แนวโน้มการฟื้นตัวจะชะลอลงบ้างจากการกลับมาแพร่ระบาดของของไวรัสโควิด-19 ในหลายประเทศ
ภาพรวมการส่งออกไปยังกลุ่มตลาดต่าง ๆ ดังนี้ 1) ตลาดหลัก ขยายตัวร้อยละ 5.9 โดยตลาดสหรัฐฯ ขยายตัวสูงต่อเนื่องร้อยละ 15.4 และญี่ปุ่นกลับมาขยายตัวร้อยละ 5.4 ขณะที่สหภาพยุโรป (15) หดตัวร้อยละ 8.5 2) ตลาดศักยภาพสูง หดตัวร้อยละ 11.0 โดยการส่งออกไปตลาดจีน อาเซียน (5) และ CLMV หดตัวร้อยละ 8.9 ร้อยละ 15.0 และร้อยละ 13.0 ตามลำดับ ขณะที่เอเชียใต้กลับมาหดตัวเล็กน้อยร้อยละ 1.5 และ 3) ตลาดศักยภาพระดับรองขยายตัวร้อยละ 4.2 ตามการขยายตัวต่อเนื่องของส่งออกไปทวีปออสเตรเลีย (25) ร้อยละ 23.7 และการกลับมาขยายตัวในทวีปแอฟริการ้อยละ 4.9 และรัสเซียและกลุ่มประเทศ CIS ร้อยละ 20.8 ขณะที่ตลาดตะวันออกกลาง (15) และลาตินอเมริกาหดตัวร้อยละ 12.1 และร้อยละ 6.6 ตามลำดับ
ตลาดสหรัฐอเมริกา
ขยายตัวสูงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 ที่ร้อยละ 15.4 สินค้าสำคัญที่ขยายตัว อาทิ ผลิตภัณฑ์ยางรถยนต์และส่วนประกอบ เครื่องปรับอากาศ โทรศัพท์และอุปกรณ์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า ขณะที่ 11 เดือนแรกของปี 2563 ขยายตัวร้อยละ 9.0
ตลาดจีน
หดตัวร้อยละ 8.9 สินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องคอมพิวเตอร์ และเม็ดพลาสติก เป็นต้น ด้านสินค้าที่ขยายตัวสูง ได้แก่ ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ยางพารา และผลไม้สด แช่แข็งและแห้ง เป็นต้น ขณะที่ 11 เดือนแรกของปี 2563 ขยายตัวร้อยละ 1.5
ตลาดญี่ปุ่น
กลับมาขยายตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 7 เดือนที่ร้อยละ 5.4 สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ รถยนต์และส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์ โทรศัพท์และอุปกรณ์ ยางพารา และผลิตภัณฑ์ยาง เป็นต้น ขณะที่ 11 เดือนแรกของปี 2563 หดตัวร้อยละ 8.4
ตลาดสหภาพยุโรป (15)
หดตัวร้อยละ 8.5 สินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ อัญมณีและเครื่องประดับ รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ และเครื่องนุ่งห่ม เป็นต้น ด้านสินค้าที่ขยายตัวสูง ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ยาง หม้อแปลงไฟฟ้า และโทรศัพท์และอุปกรณ์ เป็นต้น ขณะที่ 11 เดือนแรกของปี 2563 หดตัวร้อยละ 13.6
ตลาดอาเซียน (5)
หดตัวร้อยละ 15.0 สินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ รถยนต์และส่วนประกอบ น้ำมันสำเร็จรูป เครื่องยนต์สันดาปฯ และเคมีภัณฑ์ เป็นต้น ด้านสินค้าที่ขยายตัวสูง ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ฯ ยางพารา และแผงวงจรไฟฟ้า เป็นต้น ขณะที่ 11 เดือนแรกของปี 2563 หดตัวร้อยละ 13.2
ตลาด CLMV
หดตัวร้อยละ 13.0 สินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ อัญมณีและเครื่องประดับ น้ำมันสำเร็จรูป เครื่องดื่ม และน้ำตาลทราย เป็นต้น ด้านสินค้าที่ขยายตัวสูง ได้แก่ เหล็กและผลิตภัณฑ์ เครื่องยนต์สันดาป และเครื่องจักรกล เป็นต้น ขณะที่ 11 เดือนแรกของปี 2563 หดตัวร้อยละ 11.6
ตลาดเอเชียใต้
หดตัวร้อยละ 1.7 สินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ เคมีภัณฑ์ ผ้าผืน และเครื่องคอมพิวเตอร์ ด้านสินค้าที่ขยายตัวสูง ได้แก่ รถยนต์และส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับ และเม็ดพลาสติก ขณะที่ 11 เดือนแรกของปี 2563 หดตัวร้อยละ 26.2
ตลาดอินเดีย
หดตัวร้อยละ 1.3 สินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ เคมีภัณฑ์ เครื่องคอมพิวเตอร์ และโทรทัศน์และส่วนประกอบ เป็นต้น ด้านสินค้าที่ขยายตัวสูง ได้แก่ อัญมณีและเครื่องประดับ เม็ดพลาสติก และเหล็กและผลิตภัณฑ์ เป็นต้น ขณะที่ 11 เดือนแรกของปี 2563 หดตัวร้อยละ 28.2
ตลาดลาตินอเมริกา
หดตัวร้อยละ 6.6 สินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ รถยนต์และส่วนประกอบ เครื่องคอมพิวเตอร์ และรถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ เป็นต้น ด้านสินค้าที่ขยายตัวสูง ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ยาง ข้าว และเครื่องซักผ้าและส่วนประกอบ เป็นต้น ขณะที่ 11 เดือนแรกของปี 2563 หดตัวร้อยละ 20
ตลาดทวีปออสเตรเลีย (25)
ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ร้อยละ 23.7 สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ รถยนต์และส่วนประกอบ เครื่องปรับอากาศ อัญมณีและเครื่องประดับ เหล็กและผลิตภัณฑ์ และผลิตภัณฑ์ยาง เป็นต้น ขณะที่ 11 เดือนแรกของปี 2563 หดตัวร้อยละ 9.1
ตลาดตะวันออกกลาง (15)
หดตัวร้อยละ 12.1 สินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ อัญมณีและเครื่องประดับ รถยนต์และส่วนประกอบ และเครื่องคอมพิวเตอร์ เป็นต้น ด้านสินค้าที่ขยายตัวสูง ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ยาง ยางพารา และโทรศัพท์และอุปกรณ์ เป็นต้น ขณะที่ 11 เดือนแรกของปี 2563 หดตัวร้อยละ 14.2
ตลาดรัสเซียและกลุ่มประเทศ CIS
กลับมาขยายตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 11 เดือนที่ร้อยละ 20.8 สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ รถยนต์และส่วนประกอบ ผลไม้กระป๋อง แผงสวิทซ์และแผงควบคุมกระแสไฟฟ้า น้ำมันสำเร็จรูป และผลิตภัณฑ์เภสัชภัณฑ์ เป็นต้น ขณะที่ 11 เดือนแรกของปี 2563 หดตัวร้อยละ 21.5
ตลาดทวีปแอฟริกา
กลับมาขยายตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 16 เดือนที่ร้อยละ 4.9 สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ ข้าว รถยนต์และส่วนประกอบ เครื่องยนต์สันดาป เคมีภัณฑ์ และเครื่องจักรกล เป็นต้น ขณะที่ 11 เดือนแรกของปี 2563 หดตัวร้อยละ 20.7
แนวโน้มและมาตรการส่งเสริมการส่งออกในช่วงที่เหลือของปี 2563 - 2564
การส่งออกไทยได้รับปัจจัยบวกจากความเชื่อมั่นเศรษฐกิจโลกที่เริ่มฟื้นตัวอย่างชัดเจน ในภาพรวมคาดว่าจะส่งผลดีต่อการส่งออกในเดือนสุดท้ายของปี และหากประเทศไทยได้รับมอบวัคซีนในช่วงกลางปี 2564 ตามกำหนด จะฟื้นคืนความเชื่อมั่นได้เร็วขึ้น และส่งผลให้ภาคการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจไทยกลับมาขยายตัว ซึ่งจะทำให้สินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวหลายรายการกลับมาขยายตัวได้อีกครั้ง
ปัจจัยบวกในปี 2564 นอกจากการผลิตและการกระจายวัคซีนแล้ว หลังการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและภาคการขนส่งสามารถกลับมาดำเนินการได้ตามปกติ คาดว่าความต้องการใช้น้ำมันจะเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้สินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมันที่ไทยมีสัดส่วนการส่งออกสูงกลับมาขยายตัว ขณะที่ปัจจัยลบต่อการส่งออก คือ การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่อาจยืดเยื้อและส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อทั่วโลก นอกจากนี้สถานการณ์การแพร่ระบาดในจังหวัดสมุทรสาครของไทย ที่จะต้องควบคุมไม่ให้เกิดการชะงักงันของห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งจะกระทบการส่งออกสินค้าอาหารทะเลของไทยได้
นอกจากนี้ ปัจจุบันผู้ส่งออกประสบปัญหาขาดแคลนตู้สินค้าซึ่งหลังเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว ประเทศต่างๆ จะกลับมาส่งออกสินค้าเพิ่มขึ้น จึงต้องเร่งแก้ปัญหาเพื่อไม่ให้กระทบการส่งออกในอนาคต ประกอบกับปัญหาเชิงโครงสร้างของสินค้าอุตสาหกรรมไทยที่ยังผลิตโดยใช้เทคโนโลยีเก่า ขณะที่หลายๆ ประเทศเริ่มเปลี่ยนโครงสร้างการผลิตให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของเทคโนโลยีหากผู้ประกอบการไม่ปรับตัว หรือประเทศไทยไม่สามารถดึงดูดการลงทุนในสินค้าอุตสาหกรรมใหม่เข้ามาในประเทศ อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกในระยะยาว
การส่งเสริมการส่งออกในช่วงที่เหลือของปี 2563 รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์) ได้หารือกับภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนตู้สินค้าเพื่อให้มีเพียงพอต่อความต้องการของผู้ส่งออก รวมถึงการลดค่าระวางเรือ และค่าธรรมเนียมอื่นๆ ในด้านการเจรจาการค้า ได้กำชับให้เร่งเจรจาความตกลงการค้าระหว่างประเทศ (FTA) ที่ยังค้างอยู่ และเปิดการเจรจา FTA ใหม่ๆ เช่น ไทย-สหราชอาณาจักร ไทย-ยูเรเซีย ไทย-เอฟต้า อาเซียน-แคนาดา ตลอดจนผลักดันการสร้างหุ้นส่วนพันธมิตรรายมณฑล นอกจากนี้ ได้สั่งการให้ทูตพาณิชย์เร่งหาตลาดและโอกาสในการส่งออกเพิ่มขึ้น เพื่อเพิ่มแต้มต่อให้การส่งออกของไทยในปี 2564
โดย สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์