- Details
- Category: พาณิชย์
- Published: Sunday, 20 December 2020 17:03
- Hits: 7182
จุรินทร์ ประชุมร่วมเอกชนอินเดีย ประเดิมทำ 'มินิเอฟทีเอ' ระหว่างไทย-รัฐเตลังกานา
จุรินทร์ ประชุมร่วมกับภาคเอกชนอินเดีย ประเดิมทำ 'มินิเอฟทีเอ' ระหว่างไทยกับรัฐเตลังกานา เตรียมเสนอ ครม. อนุมัติ ก่อนลงนามปลาย ม.ค.64 คาดช่วยอำนวยความสะดวก และขยายการค้าไทย-อินเดียได้เพิ่มขึ้น พร้อมลุยทำต่อกับอีก 5 รัฐเป้าหมาย
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการประชุมหารือกับ 3 ภาคเอกชนด้านการค้าไทย-อินเดีย คือ หอการค้าอินเดีย-ไทย สมาคมธุรกิจอินเดีย-ไทย และสภาธุรกิจไทย-อินเดีย ว่า ได้มีการหารือกันว่าไทยกับอินเดียควรจะมีการทำการค้าเชิงลึกระหว่างกันมากขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องของการทำข้อตกลงทางการค้าให้เพิ่มขึ้นจากที่มีอยู่ คือ เอฟทีเอไทย-อินเดีย และเอฟทีเออาเซียน-อินเดีย โดยเห็นตรงกันที่จะทำมินิเอฟทีเอ ระหว่างกระทรวงพาณิชย์กับรัฐหรือมณฑลของประเทศต่างๆ ก็จะช่วยให้ได้รับสิทธิประโยชน์ทางการค้าเชิงลึกระหว่างไทยกับแต่ละรัฐแต่ละมณฑลได้มากขึ้น ซึ่งในส่วนของอินเดีย ได้มีการยกร่างการทำมิมิเอฟทีเอระหว่างกระทรวงพาณิชย์ของไทยกับรัฐเตลังกานาของอินเดียเสร็จแล้ว จากนี้จะนำเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้ความเห็นชอบ เมื่อให้ความเห็นชอบแล้วจะมีการลงนามกันต่อไป กำหนดวันไว้เบื้องต้นในช่วงเดือนปลายม.ค.2564
สำหรับรายละเอียดในมินิเอฟทีเอ เช่น การอำนวยความสะดวกทางการค้าระหว่างกัน การเชื่อมโยงการค้าออนไลน์กับแพลตฟอร์มต่างๆ ของอินเดีย การส่งเสริมสตาร์ทอัป การขยายมูลค่าการค้า และการให้สิทธิประโยชน์ทางด้านการค้าและการลงทุนระหว่างกัน เป็นต้น
ทั้งนี้ หลังจากลงนามมินิเอฟทีเอกับรัฐเตลังกานาแล้ว จะมีการเตรียมการสำหรับรัฐอื่นของอินเดียเพื่อทำมินิเอฟทีเอระหว่างกันเพิ่มขึ้นด้วย มีเป้าหมาย 5 รัฐ ได้แก่ 1.รัฐคุชราต 2.รัฐกรณาฏกะ 3.รัฐมหาราษฏระ 4.รัฐเคเรล่า และ 5.รัฐ 8 สาวน้อย หรือรัฐอัสสัม
อย่างไรก็ตาม หลังสถานการณ์โควิด-19 จะนำภาคเอกชนเดินทางไปขายสินค้าในฐานะหัวหน้าเซลล์แมนประเทศอีกรอบหนึ่ง เพื่อเปิดตลาดอินเดียให้ไทยมากขึ้น และเพื่อเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างไทยกับอินเดียให้เพิ่มมากขึ้นต่อไป
ส่วนสินค้าที่ไทยมีศักยภาพในการขยายตลาดอินเดีย ได้แก่ วัสดุก่อสร้าง ที่อินเดียมีความต้องการเพิ่มขึ้นจากนโยบายส่งเสริมให้คนมีบ้าน ไม้ยางและเฟอร์นิเจอร์ เพื่อตกแต่งบ้าน อาหาร เพราะคนอินเดียคุ้นเคยกับอาหารไทย และมีรสชาติใกล้เคียงกัน รวมถึงอาหารมังสวิรัติ ผลไม้ ที่มีความต้องการเพิ่มขึ้น ของเล่นเด็ก ที่มีแนวโน้มเติบโตได้ดี และอาหารสัตว์เลี้ยง ที่กำลังขยายตัวตามความต้องการเลี้ยงสัตว์เลี้ยงที่มีเพิ่มขึ้น รวมถึงไบโอพลาสติก ที่อินเดียมีนโยบายแบนพลาสติก ทำให้ความต้องการสูงขึ้น
นายจุรินทร์ กล่าวว่า ในการหารือครั้งนี้ ได้มีการหยิบยกปัญหาอุปสรรคทางการค้าที่ฝ่ายไทยประสบในการเข้าสู่ตลาดอินเดีย เช่น พิกัดศุลกากรที่ยังไม่ตรงกันระหว่างไทยกับอินเดีย กระทรวงพาณิชย์โดยกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศจะเข้าไปหารือในการประชุมระหว่างอาเซียนกับอินเดียต่อไป และเรื่องการดำเนินการเวลาไทยส่งสินค้าเข้าไปในอินเดีย ปรากฏว่าทางศุลกากรอินเดียยังต้องการรายละเอียดให้ผู้ส่งออกไทยตอบคำถามหลายข้อที่เป็นความลับทางการค้า ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้หยิบยกในช่วงการประชุม JTC ไทย-อินเดียแล้ว และรอผลในการคุยกันต่อไป ซึ่งเบื้องต้น การแก้ไขปัญหา จะมีการจัดสัมมนาออนไลน์ เพื่อทำความเข้าใจแนวทางปฏิบัติในเรื่องนี้แล้ว
นอกจากนี้ ยังมีปัญหาผู้ประกอบการไทย นำสินค้าเข้ามาจากอินเดีย แต่ศุลกากรของไทยไปขอเอกสารย้อนหลังทั้งที่นำเข้ามาแล้วขายไปแล้ว 4-5 ปี ทำให้ต้องมาแจ้งเอกสารย้อนหลัง ซึ่งกระทรวงพาณิชย์รับที่จะไปคุยกับกรมศุลกากรให้ เพื่อไม่ให้เป็นปัญหาอุปสรรคโดยไม่จำเป็น
นายสาธิต เซกัล ประธานสมาคมธุรกิจอินเดีย-ไทย กล่าวว่า ได้เสนอให้มีการฟื้นการเจรจาเอฟทีเอไทย-อินเดีย เพราะเอฟทีเอเดิมที่มีอยู่ เป็นการเปิดเสรีบางส่วน ต้องมีเอฟทีเอเต็มรูปแบบ ถึงจะช่วยขยายการค้า การลงทุนไทย-อินเดียได้เพิ่มขึ้น และต้องวางแผนในการขยายตลาดสินค้าเกษตร เช่น ยางพารา ผลไม้ ซึ่งเป็นสินค้าที่มีโอกาสขยายตัวสูง รวมทั้งต้องวางแผนเจาะกลุ่มประชากรที่มีอายุต่ำกว่า 25 ปีลงไป ซึ่งมีถึง 40% ของประชากรทั้งหมด 1,300 ล้านคน กลุ่มเศรษฐกิจ ที่มีประมาณ 300 ล้านคน และเจาะเป็นรายรัฐ โดยเฉพาะรัฐ 8 สาวน้อย ที่คนส่วนใหญ่มีเชื้อสายไทย
‘มินิเอฟทีเอ’ ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ !!! ‘จุรินทร์’เรียกประชุมเอกชนไทย-อินเดีย ประเดิมทำ ‘มินิ เอฟทีเอ‘ ระหว่างไทยกับรัฐเตลังกานาหวังลุยทำตัวเลขส่งออกอินเดียเพิ่มปีหน้า
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายสมเด็จ สุสมบูรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และคณะกระทรวงพาณิชย์ ประชุมหารือกับ 3 ภาคเอกชนด้านการค้าไทย-อินเดีย คือ 1.หอการค้าอินเดีย-ไทย (India-Thai Chamber of Commerce) เดิมชื่อชมรมผู้ประกอบการค้าชาวอินเดีย (Indian Society of Trade) 2.สมาคมธุรกิจอินเดีย-ไทย (India-Thailand Business Association) 3.สภาธุรกิจไทย-อินเดีย (Thailand-India Business Council) ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 2550 โดยคณะกรรมการร่วม ภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วยสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคม ธนาคารไทย ต่อมา กกร. ได้แต่งตั้งให้สภาหอการค้าแห่งประเทศไทยเป็นผู้ดูแล
ภายหลังการประชุม นายจุรินทร์ กล่าวว่า ไทยให้ความสำคัญกับตลาดอินเดียเป็นพิเศษเพราะอินเดียมีประชากรถึง 1,300 ล้านคนและ GDP มีขนาดใหญ่เป็นลำดับ 5 ของโลก และเป็นคู่ค้าอันดับ1 ของไทยในภูมิภาคเอเชียใต้ และที่ผ่านมาได้นำกระทรวงพาณิชย์และภาคเอกชนเดินทางไปเยือนอินเดียมาแล้วเพื่อเจรจาทางการค้า 2 ครั้ง ซึ่งสามารถลงนาม MOU เพื่อทำการซื้อขายสินค้าระหว่างกันได้เป็นจำนวนรวมกันถึง 10,137 ล้านบาท โดยมีการส่งมอบแล้ว 5,948 ล้านบาท ที่ยังไม่ครบเพราะติดเรื่องโควิด-19 ที่เป็นอุปสรรคสำคัญ ได้มีการส่งมอบแล้วถึงร้อยละ 60 โดยประมาณ
การหารือในวันนี้ เรามีความเห็นว่าไทยกับอินเดียควรจะได้มีการทำการค้าเชิงลึกระหว่างกันมากขึ้นโดยเฉพาะในเรื่องของการทำข้อตกลงทางการค้า ขณะนี้เรามี FTA ไทย-อินเดีย และมี FTA อาเซียน-อินเดียอยู่ แต่นโยบายของผมที่เห็นตรงกันกับภาคเอกชนคือถ้าเราสามารถทำ mini FTA ระหว่างกระทรวงพาณิชย์กับรัฐหรือมณฑลของประเทศต่างๆก็จะช่วยให้ได้รับสิทธิประโยชน์ทางการค้าเชิงลึกระหว่างไทยกับแต่ละรัฐแต่ละมณฑลได้มากขึ้น ตนได้มอบให้มีการทำ Mini FTA ระหว่างไทยกับอินเดีย ได้มีการดำเนินการจนยกร่างเสร็จสิ้นแล้วสำหรับการทำ Mini FTA ระหว่างกระทรวงพาณิชย์หรือประเทศไทยกับรัฐเตลังคานาของอินเดีย ถัดไปจากนี้ตนจะนำเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบเมื่อให้ความเห็นชอบแล้วจะมีการลงนาม ระหว่างกระทรวงพาณิชย์ของไทยกับกระทรวงอุตสาหกรรมของ รัฐเตลังคานาของอินเดียต่อไป โดยกำหนดวันไว้เบื้องต้นในช่วงเดือนมกราคม 2564
"วันนี้ได้มีการหารือร่วมกันกับภาคเอกชนนอกจากการทำ Mini FTA ระหว่างไทยกับรัฐเตลังคานาแล้ว จะมีการเตรียมการสำหรับรัฐอื่นๆด้วย ดังนี้ 1. รัฐคุชราต 2.กรณาฏกะ 3. รัฐมหาราษฏระ 4. เคเรล่า และ 5.รัฐ 8 สาวน้อย หรือรัฐอัสสัมเป็นเป้าหมายที่จะเดินหน้าต่อไปที่จะทำ Mini FTA กับอินเดียและหลังสถานการณ์โควิด-19 ผมจะนำภาคเอกชนเดินทางไปทำขายสินค้าในฐานะหัวหน้าเซลล์แมนประเทศอีกรอบหนึ่งเพื่อเปิดตลาดอินเดียให้ไทยมากขึ้น เพื่อเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างไทยกับอินเดียเพิ่มเติม โดยอำนวยความสะดวกให้กับอินเดียได้ในการทำการค้ากับไทย " นายจุรินทร์ กล่าว
นายจุรินทร์ กล่าวว่า สำหรับปัญหาอุปสรรคของฝ่ายไทย เช่น เรื่องพิกัดศุลกากรที่ยังไม่ตรงกันระหว่างไทยกับอินเดีย กระทรวงพาณิชย์โดยกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศจะเข้าไปหารือในการประชุมระหว่างอาเซียนกับอินเดียต่อไป และเรื่องการดำเนินการเวลาไทยส่งสินค้าเข้าไปในอินเดียปรากฏว่าทางศุลกากรอินเดียยังต้องการรายละเอียดให้ผู้ส่งออกไทยตอบคำถามหลายข้อที่เป็นความลับทางการค้าซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้หยิบยกมาที่ประชุม JTC ไทย-อินเดีย เมื่อปลายปีที่แล้ว และรอผลในการคุยกันต่อไป ล่าสุดอินเดียกับไทยได้มีการจัดสัมมนาออนไลน์เพื่อทำความเข้าใจในทางปฏิบัติเรื่องนี้เพื่อให้การส่งสินค้าสะดวกคล่องตัวขึ้นและปัญหาอุปสรรคในเรื่องที่ผู้ประกอบการไทยนำสินค้าเข้ามาจากอินเดียโดยศุลกากรของไทยไปขอเอกสารย้อนหลังทั้งที่นำเข้ามาแล้วขายไปแล้ว 4-5 ปี จะต้องมาแจ้งเอกสารย้อนหลังกระทรวงพาณิชย์รับที่จะไปคุยกับกรมศุลกากรต่อไปเพื่อไม่ให้เป็นปัญหาอุปสรรคโดยไม่จำเป็น
รายงานจากกระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า การค้ารวมระหว่างไทยและอินเดีย
- ระยะ 5 ปีที่ผ่านมา (2558-2562) มูลค่าเฉลี่ยปีละ 10,136.58 ล้านเหรียญสหรัฐ และไทยเป็นฝ่ายเกินดุลการค้า มาโดยตลอด
- ปี 2562 อินเดียเป็นคู่ค้าอันดับท่ี 11 ของไทย และเป็นคู่ค้าอันดับที่ 1 ของไทยในภูมิภาคเอเชียใต้ ขณะที่ไทยเป็น คู่ค้าอันดับ 4 ของอินเดียในภูมิภาคอาเซียน รองจากสิงคโปร์ อินโดนีเซีย และมาเลเซีย โดยการค้าสองฝ่ายมีมูลค่า 12,147.68 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงจากปี 2561 ร้อยละ 2.77 และมูลค่าการค้าสองฝ่ายคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 2.52 ของ มูลค่าการค้าทั้งหมดของไทย และไทยเป็นฝ่ายเกินดุลการค้า 2,532.94 ล้านเหรียญสหรัฐ
- ม.ค.-ต.ค. 63 การค้ารวมมีมูลค่า 7,871.53 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2562 ร้อยละ 24.41 และไทยเป็นฝ่ายเกินดุลการค้า 909.55 ล้านเหรียญสหรัฐ
การส่งออกสินค้าของไทยไปอินเดีย
- ระยะ 5 ปีที่ผ่านมา (2558-2562) ไทยส่งออกไปอินเดียมูลค่าเฉลี่ยปีละ 6,379.31 ล้านเหรียญสหรัฐ
- ปี2562อินเดียเป็นตลาดส่งออกอันดับที่ 10 ของไทยในตลาดโลกและเป็นอันดับที่1ของไทยในภูมิภาคเอเชียใต้ โดยไทยส่งออกไปอินเดียมูลค่า 7,340.31 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงจากปี 2561 ร้อยละ 3.77
- ม.ค.-ต.ค. 63 ไทยส่งออกไปอินเดียมูลค่า 4,390.54 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2562 ร้อยละ 30.53
- สินค้าส่งออกหลักของไทยไปอินเดีย 5 อันดับแรก (ม.ค.-ต.ค. 63) ได้แก่ 1) เม็ดพลาสติก (-19.25%) 2) เคมีภัณฑ์ (-27.57%) 4) อัญมณีและเครื่องประดับ (-46.62%) 4) เครื่องจักรกลและส่วนประกอบของเครื่องจักรกล (-22.62%) และ 5) เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ (-13.87%)
สำหรับ ผู้สนใจสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ www.ditp.go.th หรือสายตรงการค้าระหว่างประเทศ โทร 1169
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ