- Details
- Category: พาณิชย์
- Published: Friday, 27 November 2020 23:13
- Hits: 10969
DITP เผยสินค้า 'ของหวาน-ของใช้-ของแต่งบ้าน-เครื่องประดับ' มีโอกาสเพิ่มยอดส่งออกตลาดอินเดีย
กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) เผยสินค้า 'ของหวาน-ของใช้ในชีวิตประจำวัน – ของตกแต่งบ้าน -เครื่องประดับ' มีโอกาสส่งออกตลาดอินเดียได้เพิ่มขึ้น รองรับความต้องการของผู้บริโภคที่ซื้อเป็นของขวัญในช่วงเทศกาลและพิธีการต่างๆ แนะผู้ผลิต ผู้ส่งออกศึกษาแนวโน้มตลาด ก่อนวางแผนผลักดันการส่งออก
นายสมเด็จ สุสมบูรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) เปิดเผยว่า ได้รับรายงานถึงทิศทางธุรกิจค้าปลีกในตลาดอินเดียในช่วงเทศกาลและพิธีการต่างๆ จากสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครมุมไบ โดยได้แจ้งถึงโอกาสในการเพิ่มยอดการส่งออกสินค้าในกลุ่มของหวาน ของใช้ในชีวิตประจำวัน ของตกแต่งบ้าน และเครื่องประดับ เพื่อป้อนตลาดผู้บริโภคชาวอินเดีย ที่มีความต้องการเพิ่มสูงขึ้นในช่วงเทศกาลและพิธีการต่างๆ ที่ได้เริ่มมาตั้งแต่เดือนต.ค.2563 และจะมียาวไปจนถึงเดือนธ.ค.2563 รวมถึงต้นปีที่มักจะมีพิธีการแต่งงานไปจนถึงสิ้นฤดูหนาวในเดือนมี.ค.2564
ทั้งนี้ กลุ่มผู้บริโภคชาวอินเดีย นิยมซื้อหาของขวัญให้แก่กันตั้งแต่เดือนก.ย.2563 โดยของที่มอบในโอกาสพิเศษอาจเป็นของนำเข้า อาทิ ขนม ผลไม้ และช็อกโกแลตนำเข้า โดยสินค้าไทยนอกจากผลไม้อบแห้งแล้ว ยังมีสินค้าที่ไทยมีศักยภาพ คือ ขนมประเภทบิสกิต คุ้กกี้ ซึ่งคนอินเดียนิยมทานขนมที่มีความกรอบร่วมกับชานม (Chai) โดยผู้ผลิต ผู้ส่งออกของไทย ควรศึกษาพฤติกรรมของผู้บริโภคและปรับสินค้าให้ตอบโจทย์ตลาด ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสส่งออกได้
น.ส.สุพัตรา แสวงศรี ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครมุมไบ กล่าวว่า ยอดขายในเดือนเทศกาล ในช่วงเดือนต.ค.-ธ.ค. ของทุกปี จะเป็นช่วงที่มีการซื้อหาของขวัญและจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ในอินเดีย โดยอดขายในช่วงนี้จะมีสัดส่วนสูงถึงประมาณ 35% ของยอดขายตลอดทั้งปีของธุรกิจค้าปลีก ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีขนาดใหญ่ประมาณ 10% ของ GDP และ 8% ของการจ้างงานทั้งหมดในอินเดีย ดังนั้น ช่วงเวลาแห่งเทศกาลนี้จึงมีความสำคัญอย่างมากต่อเศรษฐกิจอินเดีย
โดยจากข้อมูลพบว่าในเดือนก.ย. ที่ผ่านมา ผู้บริโภคเริ่มมีการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ทำให้รัฐเก็บภาษีสินค้าและบริการ (GST) ได้เพิ่มขึ้น 4% เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้า และในเดือนต.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นเดือนที่มีเทศกาลนวราตรี (17-25 ต.ค.) และวันดุชเซห์รา (25 ต.ค.) หรือที่เรียกว่า Navratri-Dussehra Period พบว่ามีสัญญาณบวกในการบริโภคที่เพิ่มขึ้นเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ทั้งในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค อุปกรณ์ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์ในขณะที่ดัชนีผู้จัดการจัดซื้อ (Purchasing Manager Index) ก็ปรับตัวดีขึ้นด้วยเช่นกัน
สำหรับ ยอดขายรถยนต์ในช่วง Navratri-Dussehra พบว่าเพิ่มขึ้น 20% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยรถยนต์หรู (Mercedes) ขายได้ประมาณ 550 คัน ในขณะเดียวกันรถยนต์ Hyundai มียอดขายเพิ่มขึ้น 28% โดยเฉพาะรถ SUV
นอกจากนี้ ผลการศึกษาของ RedSeer Consulting คาดการณ์ในช่วง 1 เดือนก่อนเทศกาล Diwali หรือวันขึ้นปีใหม่ของอินเดีย (ซึ่งในปีนี้ตรงกับวันที่ 14 พ.ย.) คาดว่ายอดค้าปลีกในอินเดียจะมีมูลค่าประมาณ 7 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 84% จากปีก่อนหน้าที่มีมูลค่า 3.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในขณะที่ยอดขายรวมทั้งปี 2563 คาดว่าจะเพิ่มขึ้นกว่าปีก่อนหน้าประมาณ 41% ด้วย โดยการช็อปปิ้งในช่วงนี้จะทำผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์มากขึ้น เช่น Amazon , Flipkart , Reliance JioMart, Myntra , Pepperfry (เฟอร์นิเจอร์) , Nykaa (เครื่องสำอาง บำรุงผิวและบำรุงผม) และ FirstCry (สินค้าสำหรับเด็ก)
ส่วนสินค้าที่คาดว่าจะมียอดขายเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอนในเดือนพ.ย. คือ สินค้าประเภทของหวาน โดยเฉพาะบิสกิต และคุ้กกี้ แบบไม่ใส่ไข่ ขนมแบบตุรกีผลไม้อบแห้งแบบต่างๆ และช็อคโกแลต รวมทั้งของขวัญแบบดั้งเดิมของอินเดีย ขณะที่เครื่องประดับ คาดว่าจะกลับมาขยายตัวก่อนเทศกาล Akshay Trithiya ในต้นเดือนก.พ.ของทุกปี
“ผู้ประกอบการไทยสามารถเข้าไปศึกษาสินค้าที่มีอยู่ในตลาดได้จากแพลตฟอร์มอออนไลน์ต่างๆ โดยนอกจากของหวานแล้ว ของขวัญที่นิยมให้กันอาจเป็นของใช้ในชีวิตประจำวัน ของตกแต่งบ้าน และเครื่องประดับ ในขณะที่บริษัท และหน่วยงานต่างๆ ก็มักเตรียมของขวัญให้กับลูกค้าเช่นกัน ซึ่งสินค้าที่ไทยมีความได้เปรียบในแง่ฝีมือและการออกแบบ คือ ผลิตภัณฑ์เซรามิค ของใช้บนโต๊ะอาหาร รูปตกแต่งบ้าน ตุ๊กตาผ้า รวมทั้งกระเป๋าถือและกระเป๋าใส่เงิน เป็นต้น หากศึกษาตลาดให้ดี ก็จะมีโอกาสส่งออกได้เพิ่มขึ้น”น.ส.สุพัตรา กล่าว
ในปี 2562 อินเดียนำเข้าบิสกิต จากอินโดนีเซียและมาเลเซียเป็นอันดับ 1 และ 2 ตามลำดับ รวมทั้งจากสิงคโปร์และเวียดนาม ส่วนไทยอยู่ในอันดับที่ 15 ด้วยมูลค่าการนำเข้า 1 แสนเหรียญสหรัฐ และอินเดียเป็นผู้ผลิตบิสกิตอันดับที่ 3 ของโลกรองจากสหรัฐฯ และจีน แม้ว่าอินเดียจะผลิตได้มาก แต่ก็มีความต้องการบริโภคมากด้วยเช่นกัน โดยผลการศึกษาของแนวโน้มการบริโภคบิสกิตของ Bonafide Market Research Reports พบว่าตลาดบิสกิตในช่วงปี 2561 –2566 จะขยายตัวเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 6% ต่อปี โดยผู้บริโภคคาดหวังสินค้าที่มีความแปลกใหม่และหลากหลายมากขึ้น รวมทั้งมีประโยชน์ต่อสุขภาพด้วย
สำหรับ ผู้สนใจสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ www.ditp.go.th หรือสายตรงการค้าระหว่างประเทศ โทร 1169
พาณิชย์ เผย'ของหวาน-ของใช้-ของแต่งบ้าน-เครื่องประดับ'มีโอกาสเจาะอินเดียเพิ่ม
กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) เผยสินค้า 'ของหวาน-ของใช้ในชีวิตประจำวัน–ของตกแต่งบ้าน-เครื่องประดับ' มีโอกาสส่งออกตลาดอินเดียได้เพิ่มขึ้น รองรับความต้องการของผู้บริโภคที่ซื้อเป็นของขวัญในช่วงเทศกาลและพิธีการต่างๆ แนะผู้ผลิต ผู้ส่งออกศึกษาแนวโน้มตลาด ก่อนวางแผนผลักดันการส่งออก
นายสมเด็จ สุสมบูรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) เปิดเผยว่า ได้รับรายงานถึงทิศทางธุรกิจค้าปลีกในตลาดอินเดียในช่วงเทศกาลและพิธีการต่างๆ จากสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครมุมไบ โดยได้แจ้งถึงโอกาสในการเพิ่มยอดการส่งออกสินค้าในกลุ่มของหวาน ของใช้ในชีวิตประจำวัน ของตกแต่งบ้าน และเครื่องประดับ เพื่อป้อนตลาดผู้บริโภคชาวอินเดีย ที่มีความต้องการเพิ่มสูงขึ้นในช่วงเทศกาลและพิธีการต่างๆ ที่ได้เริ่มมาตั้งแต่เดือนต.ค.2563 และจะมียาวไปจนถึงเดือนธ.ค.2563 รวมถึงต้นปีที่มักจะมีพิธีการแต่งงานไปจนถึงสิ้นฤดูหนาวในเดือนมี.ค.2564
ทั้งนี้ กลุ่มผู้บริโภคชาวอินเดีย นิยมซื้อหาของขวัญให้แก่กันตั้งแต่เดือนก.ย.2563 โดยของที่มอบในโอกาสพิเศษอาจเป็นของนำเข้า อาทิ ขนม ผลไม้ และช็อกโกแลตนำเข้า โดยสินค้าไทยนอกจากผลไม้อบแห้งแล้ว ยังมีสินค้าที่ไทยมีศักยภาพ คือ ขนมประเภทบิสกิต คุ้กกี้ ซึ่งคนอินเดียนิยมทานขนมที่มีความกรอบร่วมกับชานม (Chai) โดยผู้ผลิต ผู้ส่งออกของไทย ควรศึกษาพฤติกรรมของผู้บริโภคและปรับสินค้าให้ตอบโจทย์ตลาด ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสส่งออกได้
น.ส.สุพัตรา แสวงศรี ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครมุมไบ กล่าวว่า ยอดขายในเดือนเทศกาล ในช่วงเดือนต.ค.-ธ.ค. ของทุกปี จะเป็นช่วงที่มีการซื้อหาของขวัญและจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ในอินเดีย โดยอดขายในช่วงนี้จะมีสัดส่วนสูงถึงประมาณ 35% ของยอดขายตลอดทั้งปีของธุรกิจค้าปลีก ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีขนาดใหญ่ประมาณ 10% ของ GDP และ 8% ของการจ้างงานทั้งหมดในอินเดีย ดังนั้น ช่วงเวลาแห่งเทศกาลนี้จึงมีความสำคัญอย่างมากต่อเศรษฐกิจอินเดีย
โดยจากข้อมูลพบว่าในเดือนก.ย. ที่ผ่านมา ผู้บริโภคเริ่มมีการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ทำให้รัฐเก็บภาษีสินค้าและบริการ (GST)ได้เพิ่มขึ้น 4% เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้า และในเดือนต.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นเดือนที่มีเทศกาลนวราตรี (17-25 ต.ค.) และวันดุชเซห์รา (25 ต.ค.) หรือที่เรียกว่า Navratri-Dussehra Period พบว่ามีสัญญาณบวกในการบริโภคที่เพิ่มขึ้นเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ทั้งในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค อุปกรณ์ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์ในขณะที่ดัชนีผู้จัดการจัดซื้อ (Purchasing Manager Index) ก็ปรับตัวดีขึ้นด้วยเช่นกัน
สำหรับ ยอดขายรถยนต์ในช่วง Navratri-Dussehra พบว่าเพิ่มขึ้น 20% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยรถยนต์หรู (Mercedes) ขายได้ประมาณ 550 คัน ในขณะเดียวกันรถยนต์ Hyundai มียอดขายเพิ่มขึ้น 28% โดยเฉพาะรถ SUV
นอกจากนี้ ผลการศึกษาของ RedSeer Consulting คาดการณ์ในช่วง 1 เดือนก่อนเทศกาล Diwali หรือวันขึ้นปีใหม่ของอินเดีย (ซึ่งในปีนี้ตรงกับวันที่ 14 พ.ย.) คาดว่ายอดค้าปลีกในอินเดียจะมีมูลค่าประมาณ 7 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 84% จากปีก่อนหน้าที่มีมูลค่า 3.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในขณะที่ยอดขายรวมทั้งปี 2563 คาดว่าจะเพิ่มขึ้นกว่าปีก่อนหน้าประมาณ 41% ด้วย โดยการช็อปปิ้งในช่วงนี้จะทำผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์มากขึ้น เช่น Amazon , Flipkart , Reliance JioMart , Myntra , Pepperfry (เฟอร์นิเจอร์) , Nykaa (เครื่องสำอาง บำรุงผิวและบำรุงผม) และ FirstCry (สินค้าสำหรับเด็ก)
ส่วนสินค้าที่คาดว่าจะมียอดขายเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอนในเดือนพ.ย. คือ สินค้าประเภทของหวาน โดยเฉพาะบิสกิต และคุ้กกี้ แบบไม่ใส่ไข่ ขนมแบบตุรกีผลไม้อบแห้งแบบต่างๆ และช็อคโกแลต รวมทั้งของขวัญแบบดั้งเดิมของอินเดีย ขณะที่เครื่องประดับ คาดว่าจะกลับมาขยายตัวก่อนเทศกาล Akshay Trithiya ในต้นเดือนก.พ.ของทุกปี
“ผู้ประกอบการไทยสามารถเข้าไปศึกษาสินค้าที่มีอยู่ในตลาดได้จากแพลตฟอร์มอออนไลน์ต่างๆ โดยนอกจากของหวานแล้ว ของขวัญที่นิยมให้กันอาจเป็นของใช้ในชีวิตประจำวัน ของตกแต่งบ้าน และเครื่องประดับ ในขณะที่บริษัท และหน่วยงานต่างๆ ก็มักเตรียมของขวัญให้กับลูกค้าเช่นกัน ซึ่งสินค้าที่ไทยมีความได้เปรียบในแง่ฝีมือและการออกแบบ คือ ผลิตภัณฑ์เซรามิค ของใช้บนโต๊ะอาหาร รูปตกแต่งบ้าน ตุ๊กตาผ้า รวมทั้งกระเป๋าถือและกระเป๋าใส่เงิน เป็นต้น หากศึกษาตลาดให้ดี ก็จะมีโอกาสส่งออกได้เพิ่มขึ้น”น.ส.สุพัตรา กล่าว
ในปี 2562 อินเดียนำเข้าบิสกิต จากอินโดนีเซียและมาเลเซียเป็นอันดับ 1 และ 2 ตามลำดับ รวมทั้งจากสิงคโปร์และเวียดนาม ส่วนไทยอยู่ในอันดับที่ 15 ด้วยมูลค่าการนำเข้า 1 แสนเหรียญสหรัฐ และอินเดียเป็นผู้ผลิตบิสกิตอันดับที่ 3 ของโลกรองจากสหรัฐฯ และจีน แม้ว่าอินเดียจะผลิตได้มาก แต่ก็มีความต้องการบริโภคมากด้วยเช่นกัน โดยผลการศึกษาของแนวโน้มการบริโภคบิสกิตของ Bonafide Market Research Reports พบว่าตลาดบิสกิตในช่วงปี 2561 –2566 จะขยายตัวเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 6% ต่อปี โดยผู้บริโภคคาดหวังสินค้าที่มีความแปลกใหม่และหลากหลายมากขึ้น รวมทั้งมีประโยชน์ต่อสุขภาพด้วย
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ