- Details
- Category: พาณิชย์
- Published: Tuesday, 05 May 2020 15:16
- Hits: 3508
น้ำมัน ฉุดเงินเฟ้อเม.ย.63 ลด 2.99% ต่ำสุด 10 ปี 9 เดือน ยันยังไม่เกิดภาวะเงินฝืด
พาณิชย์ เผยเงินเฟ้อเดือนเม.ย.63 ลดลง 2.99% ต่ำสุดในรอบ 10 ปี 9 เดือน จากการลดลงของราคาน้ำมันสูงถึง 30.85% ลดต่ำสุดในรอบ 11 ปี 2 เดือน แถมได้อานิสงค์จากนโยบายรัฐ ลดค่าไฟฟ้า น้ำประปา ลดราคาสินค้าจำเป็นต่อการครองชีพ ยันยังไม่เกิดภาวะเงินฝืด แต่ต้องหาทางหลีกเลี่ยง รัฐบาลควรผ่อนคลายการทำธุรกิจแบบค่อยเป็นค่อยไป ส่วนระยะต่อไป ต้องมีมาตรการกระตุ้นการบริโภค การท่องเที่ยวในประเทศ เพื่อฟื้นกำลังซื้อ
น.ส.พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (เงินเฟ้อทั่วไป) เดือนเม.ย.2563 เมื่อเทียบกับเดือนมี.ค.2563 ที่ผ่านมา ลดลง 2.03% เทียบกับเม.ย.2562 ลดลง 2.99% ต่ำสุดในรอบ 10 ปี 9 เดือน จากการลดลงของสินค้าในกลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะน้ำมันเชื้อเพลิงที่ลดลงสูงถึง 30.85% ต่ำสุดในรอบ 11 ปี 2 เดือน และยังมีการลดลงของค่าไฟฟ้า น้ำประปา และสินค้าจำเป็นต่อการครองชีพบางรายการที่ลดลงจากมาตรการของกระทรวงพาณิชย์ที่ได้ร่วมมือกับผู้ผลิต ห้างสรรพสินค้าปรับลดราคาเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ทำให้เงินเฟ้อในภาพรวมลดลง ส่วนเงินเฟ้อเฉลี่ย 4 เดือนของปี 2563 (ม.ค.-เม.ย.) ลดลง 0.44%
ขณะที่เงินเฟ้อพื้นฐานเดือนเม.ย.2563 ที่หักสินค้ากลุ่มอาหารสดและพลังงานออก เทียบกับเดือนมี.ค.2563 ลดลง 0.07% เทียบกับเม.ย.2562 เพิ่มขึ้น 0.41% และเฉลี่ย 4 เดือน เพิ่มขึ้น 0.50%
สำหรับ รายละเอียดของเงินเฟ้อที่ลดลง มาจากสินค้าหมวดอื่นๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม ลด 5.28% จากการลดลงของน้ำมันเชื้อเพลิง 30.85% เคหสถาน ลด 4.56% การสื่อสาร ลด 0.05% แต่เครื่องนุ่งห่มและรองเท้า เพิ่ม 0.08% การรักษาและบริการส่วนบุคคล เพิ่ม 0.16% ค่าโดยสารสาธารณะ เพิ่ม 4.29% บันเทิง การอ่าน การศึกษา เพิ่ม 0.34% ยาสูบและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ เพิ่ม 0.02% ขณะที่หมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ เพิ่ม 1.04% จากการเพิ่มของ ข้าว แป้งและผลิตภัณฑ์จากแป้ง 7.36% เนื้อสัตว์ เป็ด ไก่และสัตว์น้ำ เพิ่ม 1.37% ไข่และผลิตภัณฑ์นม เพิ่ม 5.52% เครื่องประกอบอาหาร เพิ่ม 3.16% เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ เพิ่ม 2.32% อาหารบริโภคในบ้าน เพิ่ม 0.58% นอกบ้าน เพิ่ม 0.32% แต่ผักสด ลด 9.58% ผลไม้สด ลด 1.71%
น.ส.พิมพ์ชนก กล่าวว่า การที่เงินเฟ้อติดลบ จะเป็นภาวะเงินฝืดหรือไม่ ตอนนี้ยังไม่ฝืด แม้เงินเฟ้อจะติดลบมาแล้ว 2 เดือนติดต่อกัน เพราะตามทฤษฎี การเกิดเงินฝืด เงินเฟ้อต้องติดลบติดต่อกัน 3 เดือน สินค้าลดลงหลายประเภทและลดลงติดต่อกัน แต่ตอนนี้ไม่ใช่ โดยเงินเฟ้อลด จากน้ำมันลด และได้รับผลดีจากมาตรการของรัฐ หากถามว่าต่อไปมีสิทธิ์เกิดเงินฝืดหรือไม่ ก็มีสิทธิ์ ต้องหาทางหลีกเลี่ยง ซึ่งนโยบายของรัฐบาล จะมีส่วนช่วยในการขับเคลื่อนมาก เช่น การผ่อนปรนการทำธุรกิจอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้เศรษฐกิจในประเทศขับเคลื่อนได้ และต้องเร่งส่งเสริมให้คนไทยเที่ยวไทย กินของไทย ใช้ของไทย เป็นต้น
ส่วนแนวโน้มเงินเฟ้อในเดือนพ.ค.2563 ยังมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง แม้สถานการณ์ด้านราคาพลังงานมีแนวโน้มสูงขึ้น จากการลดกำลังการผลิตของผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ และความต้องการใช้น้ำมันของจีนและบางประเทศเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ แต่ภาพรวมก็ยังถือว่ายังไม่เข้าสู่ภาวะปกติ และสินค้าเกษตรที่มีแนวโน้มราคาสูงขึ้น จากภัยแล้ง แต่ราคาก็ถูกกดดันจากความต้องการที่ลดลง และฐานราคาสินค้าเกษตรในปีก่อนสูงมาก ทำให้เงินเฟ้อยังไม่เพิ่ม โดยคาดว่าในไตรมาสที่ 2 เงินเฟ้อจะยังติดลบ 2.28% ส่วนไตรมาสที่ 3 และ 4 น่าจะดีขึ้น และเงินเฟ้อทั้งปีจะอยู่ที่ลบ 1.0% ถึงลบ 0.2% มีค่ากลางอยู่ที่ 0.6%
พาณิชย์ เผยเงินเฟ้อเม.ย. ติดลบ 2.99% - รับเสี่ยงเงินฝืดหากพ.ค.ยังติดลบ
พาณิชย์ เผยเงินเฟ้อทั่วไป เม.ย. ติดลบ 2.99% ดิ่งแรงสุดในรอบ 10 ปี 9 เดือน เหตุราคาน้ำมันเชื้อเพลิงต่ำสุดในรอบ 11 ปี 2 เดือน แย้มไทยมีสิทธิเกิดภาวะเงินฝืดหากเงินเฟ้อเดือนหน้ายังติดลบ จับตาราคาน้ำมัน-ผลกระทบโควิด-19
นางสาวพิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (อัตราเงินเฟ้อทั่วไป) เม.ย.ที่ผ่านมา ติดลบ 2.99% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยหดตัวแรงที่สุดในรอบ 10 ปี 9 เดือน ด้าน 4 เดือน (ม.ค.-เม.ย.) ติดลบ 0.44%
ด้านอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานขยายตัว 0.41% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ 4 เดือน สูงขึ้น 0.50%
อย่างไรก็ตาม อัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่ปรับลดลงนั้น เนื่องจากการลดลงของสินค้าในกลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะน้ำมันเชื้อเพลิงที่ลดลงต่ำสุดในรอบ 11 ปี 2 เดือน ค่ากระแสไฟฟ้าและค่าน้ำประปา รวมถึงสินค้าที่จำเป็นต่อการครองชีพบางรายการที่ลดลงจากมาตรการของภาครัฐ เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19
ขณะที่สินค้ากลุ่มอาหารสดโดยรวม ยังขยายตัวได้ต่อเนื่อง ตามผลกระทบจากภัยแล้ง แต่ในอัตราที่ชะลอลงตามความต้องการที่หายไปบางส่วน จากสถานการณ์โควิด-19 ส่วนราคาสินค้าและบริการในหมวดอื่นๆยังคงเคลื่อนไหวในทิศทางที่สอดคล้องกับพฤติกรรมการบริโภคของประชาชน
อย่างไรก็ตาม การจำกัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมรูปแบบต่างในช่วงสถานการณ์โควิด-19 เป็นปัจจัยชั่วคราวที่ส่งผลกระทบต่อความต้องการสินค้าและบริการทั้งในและต่างประเทศ ขณะที่ศักยภาพการผลิตและความสามารถด้านการแข่งขันของไทยยังอยู่ในระดับที่ดี
ดังนั้น หากสถานการณ์ปรับตัวดีขึ้น น่าจะทำให้สถานการณ์เศรษฐกิจและเงินเฟ้อกลับเข้าสู่ทิศทางปกติได้โดยเร็ว ทั้งนี้ ภัยแล้งยังเป็นปัจจัยสำคัญที่กระทบต่อผลผลิตภาคเกษตรและราคาสินค้าเกษตรในปีนี้ ซึ่งจะประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญมากขึ้นในสถานการณ์หลังโควิด-19
นางสาวพิมพ์ชนก กล่าวว่า ด้านดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา ปรับลดลงต่อเนื่อง โดยอยู่ในระดับที่ 33.3 เทียบกับ 37.5 ในเดือนก่อนหน้า เป็นการลดลงของดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคทั้งในปัจจุบันและอนาคต สาเหตุสำคัญจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้เกิดการจำกัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมในรูปแบบต่างๆ ส่งผลกระทบต่อการบริโภคของประชาชน และการดำเนินธุรกิจ
ด้านแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อทั่วไป พ.ค. นี้ และแนวโน้มในไตรมาส 2 มองว่า ยังมีแนวโน้มลดลงต่อ จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด และแนวโน้มราคาพลังงานโลก ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลกระทบต่อเงินเฟ้อ ทั้งจากด้านอุปสงค์และด้านอุปทาน
ทั้งนี้ ในเดือนพ.ค. นี้ประเมินว่าสถานการณ์ราคาพลังงานมีแนวโน้มสูงขึ้น จากการลดกำลังการผลิตของผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของโลกมีแนวโน้มได้ข้อยุติ และความต้องการใช้น้ำมันของประเทศจีนและบางประเทศ ที่เริ่มกลับเข้าสู่สถานการณ์ปกติหลังสถานการณ์โควิดในประเทศเริ่มคลี่คลาย
ในขณะที่ภัยแล้งอาจส่งผลต่อผลผลิตสินค้าเกษตรบางชนิด ทำให้ราคามีโอกาสปรับตัวสูงขึ้น แต่จะลดทอนด้วยปัจจัยด้านอุปสงค์ ที่ลดลงและฐานราคาสินค้าเกษตรบางชนิดที่สูงมากในปีก่อน โดยรวมแล้วราคาในเดือนพ.ค. น่าจะลดลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ไตรมาส 2 คาดว่าจะติดลบ 2.28%
ด้านทั้งปีนี้ กระทรวงพาณิชย์ยังคงคาดการณ์เงินเฟ้อทั่วไปจะเคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง ติดลบ 0.2 ถึง ติดลบ 1% โดยมีค่ากลางที่ ติดลบ 0.6%
นางสาวพิมพ์ชนก กล่าวว่า สำหรับข้อเสนอแนะต่อรัฐ มองว่า ขณะนี้ยังมีความไม่แน่นอน เรื่องผลกระทบโควิดว่าจะอยู่อีกนานเท่าไหร่ ดังนั้น หาก รัฐมีการผ่อนคลายเรื่อยๆ จะทำให้เศรษฐกิจฐานรากและเศรษฐกิจในประเทศขยับเร็วขึ้น และมีรายได้เข้ามา
อย่างไรก็ตาม มองว่า ขณะนี้ไทยจะต้องพึ่งพาเศรษฐกิจภายในประเทศเป็นหลัก และพึ่งพาอย่างระวัง โดยให้มีรายได้เร็วมากขึ้น ดังนั้น ในเชิงนโยบายที่ตอนนี้เราเน้น ให้เงิน 5000 บาทคิดว่าเป็นสิ่งที่ดีและถูกต้อง แต่ช่วงถัดไปจะต้องดูกลุ่มอาชีพ ให้เศรษฐกิจหมุนเป็นรอบๆ รวมถึงต้องมีกลยุทธ์ ในการให้เงินช่วยเหลือเยียวยาด้วย
นางสาวพิมพ์ชนก กล่าวว่า สำหรับความกังวลเรื่องเงินฝืดนั้น ยืนยันว่า ปัจจุบัน ยังไม่เกิดภาวะเงินฝืด เนื่องจากมีสินค้าที่ราคาปรับขึ้นมากกว่าปรับลดลง และขณะนี้เงินเฟ้อยังติดลบแค่ 2 เดือนเท่านั้น ซึ่งหากเป็นสถานการณ์เงินฝืด เงินเฟ้อจะต้องติดลบติดต่อกัน 3 เดือนขึ้นไป
สำหรับ การเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าและบริการ ในเดือนเม.ย. พบว่า มีสินค้าปรับสูงขึ้น 212 รายการ ด้านสินค้าที่ปรับลดลง 139 รายการ และไม่เปลี่ยนแปลง 71 รายการ
“ประเทศไทยยังไม่เข้าภาวะเงินฝืด เนื่องจากการเข้าเงินฝืด จะต้องมีเงินเฟ้อต่ำกว่า 0 ติดต่อกัน 3 เดือน หรือ 1 ไตรมาส เดือนหน้าก็มีสิทธิติดลบ แต่ก็ต้องดูก่อน และอีกเงื่อนไข คือ ว่าการลดลงของราคาสินค้าและบริการ ต้องเป็นส่วนใหญ่ ทั่วไป แต่การที่เงินเฟ้อติดลบเดือนนี้ เป็นผลจากราคาน้ำมัน พลังงานเป็นหลัก และการสนับสนุนมาตรการไฟฟ้า ประปา แก๊ส แต่ส่วนอื่น ราคายังเคลื่อนไหวในทิศทางปกติ เราคิดว่า ยังไม่เข้าสู่ภาวะเงินฝืด แต่ต่อไปมีสิทธิไหมก็อาจจะเข้าได้”นางสาวพิมพ์ชนก กล่าว
สถานการณ์ด้านราคาสินค้าและบริการ เดือนเมษายน 2563
ภาพรวม
ดัชนีราคาผู้บริโภค (เงินเฟ้อทั่วไป) เดือนเมษายน 2563 เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ลดลงร้อยละ 2.99 (YoY) หดตัวแรงที่สุดในรอบ 10 ปี 9 เดือน เนื่องจากการลดลงของสินค้าในกลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะน้ำมันเชื้อเพลิงที่ลดลงต่ำสุดในรอบ 11 ปี 2 เดือน ค่ากระแสไฟฟ้าและค่าน้ำประปา รวมถึงสินค้าที่จำเป็นต่อการครองชีพบางรายการที่ลดลงจากมาตรการของภาครัฐเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบโควิด-19 ขณะที่สินค้ากลุ่มอาหารสดโดยรวมยังขยายตัวได้ต่อเนื่องตามผลกระทบจากภัยแล้ง แต่ในอัตราที่ชะลอลงตามความต้องการที่หายไปบางส่วนจากสถานการณ์โควิด-19 ส่วนราคาสินค้าและบริการในหมวดอื่นๆ ยังคงเคลื่อนไหวในทิศทางที่สอดคล้องกับพฤติกรรมการบริโภคของประชาชน เมื่อหักอาหารสดและพลังงานออกแล้ว เงินเฟ้อพื้นฐานขยายตัวที่ร้อยละ 0.41 (YoY) (ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 0.54) เงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 4 เดือนแรก (ม.ค.- เม.ย.) ปี 2563 เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 ลดลงร้อยละ 0.44 (AoA) และ เงินเฟ้อพื้นฐาน สูงขึ้นร้อยละ 0.50 (AoA)
การจำกัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมรูปแบบต่าง ๆ ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 เป็นปัจจัยชั่วคราวที่ส่งผลกระทบต่อความต้องการสินค้าและบริการ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ขณะที่ศักยภาพการผลิตและความสามารถด้านการแข่งขันของไทยยังอยู่ในระดับที่ดี ดังนั้น หากสถานการณ์ปรับตัวดีขึ้น น่าจะทำให้สถานการณ์เศรษฐกิจและเงินเฟ้อกลับเข้าสู่ทิศทางปกติได้โดยเร็ว ทั้งนี้ ภัยแล้งยังเป็นปัจจัยสำคัญที่กระทบต่อผลผลิตภาคเกษตรและราคาสินค้าเกษตรในปีนี้ ซึ่งจะเป็นประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญมากขึ้นในสถานการณ์หลังโควิด-19 (Post Covid-19)
สถานการณ์ราคาสินค้าและบริการ เดือนเมษายน 2563
ดัชนี ราคาผู้บริโภค (เงินเฟ้อทั่วไป)
ดัชนี ราคาผู้บริโภค (เงินเฟ้อทั่วไป) เดือนเมษายน 2563 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อน ลดลงร้อยละ 2.99 (YoY) ตามการลดลงของสินค้าอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม ที่ลดลงร้อยละ 5.28 โดยเฉพาะหมวดพาหนะการขนส่งและการสื่อสาร ลดลงร้อยละ 9.77 ตามราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงที่ลดลงทุกประเภท และเครื่องรับโทรศัพท์มือถือ ส่วนสินค้าที่ปรับราคาสูงขึ้นคือ ค่าโดยสารสาธารณะ (ค่าโดยสารรถประจำทาง ค่าโดยสารรถสองแถว ค่าโดยสารรถตู้ ค่าโดยสารเครื่องบิน) หมวดเคหสถาน ลดลงร้อยละ 4.56 จากการลดลงของค่ากระแสไฟฟ้า ค่าน้ำประปา และสินค้าจำเป็นหลายรายการ (ผงซักฟอก ผลิตภัณฑ์ซักผ้า น้ำยารีดผ้า) ปรับลดลงจากมาตรการของภาครัฐเพื่อลดภาระค่าครองชีพของประชาชน
นอกจากนี้ ก๊าซหุงต้ม ปรับลดลงตามราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ขณะที่หมวดเครื่องนุ่งห่มและรองเท้า สูงขึ้นร้อยละ 0.08 (รองเท้าหุ้มส้นหนังบุรุษ เสื้อยืดสตรี เสื้อเชิ้ตบุรุษ) หมวดการตรวจรักษาและบริการส่วนบุคคล สูงขึ้นร้อยละ 0.16 (น้ำยาระงับ กลิ่นกาย ค่าแต่งผมชาย แป้งผัดหน้า) หมวดการบันเทิง การอ่าน การศึกษาฯ สูงขึ้นร้อยละ 0.34 (ค่าเดินทางไปเยี่ยมญาติและทำบุญ ค่าเล่าเรียน-ค่าธรรมเนียมการศึกษา) และหมวดยาสูบและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ สูงขึ้นร้อยละ 0.02 (สุรา) ขณะที่หมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ สูงขึ้นร้อยละ 1.04 จากทุกหมวดสินค้ายกเว้นสินค้าในกลุ่มผักและผลไม้ ลดลงร้อยละ 4.10 จากฐานราคาปีที่ผ่านมาสูง
และความต้องการบริโภคชะลอตัว ประกอบด้วย ผักสด (พริกสด มะนาว ต้นหอม) และผลไม้ (เงาะ มะม่วง ลองกอง) สินค้าที่ปรับราคาสูงขึ้น ได้แก่ ข้าว แป้งและผลิตภัณฑ์จากแป้ง สูงขึ้นร้อยละ 7.36 (ข้าวสารเหนียว ข้าวสารเจ้า) เนื้อสัตว์ เป็ดไก่ และสัตว์น้ำ สูงขึ้นร้อยละ 1.37 (เนื้อสุกร ไก่ย่าง ปลานิล ปลาดุก) ไข่และผลิตภัณฑ์นม สูงขึ้นร้อยละ 5.52 เกิดจากพฤติกรรมการซื้อไข่ไก่ครั้งละมาก ๆ ทำให้สินค้าขาดตลาดในบางช่วง เครื่องประกอบอาหาร สูงขึ้น ร้อยละ 3.16 (น้ำมันพืช มะพร้าว (ผลแห้ง/ขูด) ซอสหอยนางรม) เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ สูงขึ้นร้อยละ 2.32 (น้ำอัดลม น้ำหวาน กาแฟผงสำเร็จรูป) อาหารบริโภคในบ้านและนอกบ้าน สูงขึ้นร้อยละ 0.58 และ 0.32 ตามลำดับ (กับข้าวสำเร็จรูป ข้าวแกง/ข้าวกล่อง ก๋วยเตี๋ยว)
ดัชนี ราคาผู้บริโภค เมื่อเทียบกับเดือนมีนาคม 2563 ลดลงร้อยละ 2.03 (MoM) และเฉลี่ย 4 เดือนแรก (ม.ค.-เม.ย.) ปี 2563 เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 ลดลงร้อยละ 0.44 (AoA)
ดัชนีราคาผู้ผลิต
ดัชนีราคาผู้ผลิต เดือนเมษายน 2563 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อน ลดลงร้อยละ 4.3 (YoY) หดตัวต่ำสุดในรอบ 4 ปี 10 เดือน โดยลดลงในทุกหมวดสินค้า ตามเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ขยายวงกว้าง ทำให้ภาคการผลิตและบริการทั้งในและต่างประเทศหดตัว ประกอบกับราคาน้ำมันดิบอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งเพิ่มแรงกดดันให้ราคาสินค้าสำคัญลดลง โดยหมวดผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ลดลงร้อยละ 4.2 จากการลดลงของกลุ่มน้ำมันเชื้อเพลิงและสินค้าที่เกี่ยวเนื่อง (ก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG)) กลุ่มเคมีภัณฑ์ (โซดาไฟ เม็ดพลาสติก) กลุ่มโลหะ ขั้นมูลฐานและผลิตภัณฑ์ (เหล็กแท่ง เหล็กแผ่น เหล็กเส้นและเหล็กฉาก) กลุ่มสิ่งทอ (เส้นใยสังเคราะห์ ด้ายใยสังเคราะห์ผสมฝ้าย)
กลุ่มเยื่อกระดาษ ผลิตภัณฑ์กระดาษ (กระดาษพิมพ์เขียน เยื่อกระดาษ) กลุ่มผลิตภัณฑ์ยางและพลาสติก (ยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง ถุงพลาสติก) กลุ่มเครื่องไฟฟ้า อุปกรณ์และอิเล็กทรอนิกส์ หมวดผลิตภัณฑ์จากเหมือง ลดลงร้อยละ 15.6 อาทิ น้ำมันปิโตรเลียมดิบ ก๊าซธรรมชาติ และแร่ (ตะกั่ว สังกะสี ดีบุก) และหมวดผลผลิตเกษตรกรรม ลดลงร้อยละ 1.7 อาทิ กลุ่มผลผลิตการเกษตร (ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ หัวมันสำปะหลัง ยางพารา และพืชผัก) กลุ่มสัตว์มีชีวิต (สุกรมีชีวิต) กลุ่มปลาและสัตว์น้ำ (กุ้งแวนนาไม และหมึกสด) ส่วนสินค้าสำคัญที่ราคาสูงขึ้น อาทิ ข้าวเปลือก มะพร้าวผล ปาล์มสด ไก่มีชีวิต และไข่ไก่
ดัชนี ราคาผู้ผลิต เมื่อเทียบกับเดือนมีนาคม 2563 ลดลงร้อยละ 1.7 (MoM) และเฉลี่ย 4 เดือนแรก (ม.ค.-เม.ย.) ปี 2563 เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 ลดลงร้อยละ 1.4 (AoA)
ดัชนี ราคาวัสดุก่อสร้าง
ดัชนีราคาวัสดุก่อสร้าง เดือนเมษายน 2563 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อน ลดลงร้อยละ 4.0 (YoY) ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 11 สอดคล้องกับเครื่องชี้วัดด้านการก่อสร้างที่ลดลง ทั้งปริมาณการจำหน่ายเหล็ก/ปูนซีเมนต์ และการเบิกจ่ายงบลงทุน โดยหมวดเหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็ก ลดลงร้อยละ 15.4 (เหล็กเส้นกลมผิวเรียบ-ผิวข้ออ้อย
เหล็กโครงสร้างรูปพรรณ ลวดเหล็ก) ตามราคาวัตถุดิบเป็นสำคัญ หมวดผลิตภัณฑ์คอนกรีต ลดลงร้อยละ 2.5 (คอนกรีตบล็อกก่อผนังมวลเบา คอนกรีตผสมเสร็จ) ตามปริมาณงานก่อสร้างที่ลดลง และการแข่งขันสูง หมวดวัสดุก่อสร้างอื่น ๆ ลดลงร้อยละ 1.1 (อลูมิเนียม ยางมะตอย) หมวดซีเมนต์ ลดลงร้อยละ 0.8 (ปูนซีเมนต์ผสมและปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์) หมวดสุขภัณฑ์ ลดลงร้อยละ 0.2 (อ่างล้างหน้าเซรามิก กระจกเงา สายฉีดชำระ)
ขณะที่หมวดกระเบื้อง สูงขึ้นร้อยละ 1.7 (กระเบื้องปูพื้น กระเบื้องแกรนิต) หมวดอุปกรณ์ไฟฟ้าและประปา สูงขึ้นร้อยละ 0.4 (ถังเก็บน้ำสแตนเลส ท่อร้อยสายไฟและสายโทรศัพท์พีวีซี) ราคาสูงขึ้นตามต้นทุนวัตถุดิบ หมวดวัสดุฉาบผิว สูงขึ้นร้อยละ 0.3 (สีเคลือบน้ำมัน สีรองพื้นปูน-โลหะ) ส่วนหมวดไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ ดัชนีราคาโดยเฉลี่ยไม่เปลี่ยนแปลง
ดัชนีราคาวัสดุก่อสร้าง เมื่อเทียบกับเดือนมีนาคม 2563 ลดลงร้อยละ 1.0 (MoM) และเฉลี่ย 4 เดือนแรก (ม.ค.-เม.ย.) ปี 2563 เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 ลดลงร้อยละ 2.7 (AoA)
ดัชนี ความเชื่อมั่นผู้บริโภค
ดัชนี ความเชื่อมั่นผู้บริโภค เดือนเมษายน 2563 ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง โดยอยู่ที่ระดับ 33.3 เทียบกับระดับ 37.5 ในเดือนก่อนหน้า เป็นการลดลงของดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ทั้งในปัจจุบันและอนาคต โดยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในปัจจุบัน ปรับตัวลดลงจากระดับ 32.7 มาอยู่ที่ระดับ 28.0 และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในอนาคต ลดลงจากระดับ 40.7 มาอยู่ที่ระดับ 36.8 การปรับตัวลดลงในเดือนนี้ สาเหตุสำคัญจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้เกิดการจำกัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมในรูปแบบต่างๆ ส่งผลกระทบต่อการบริโภคของประชาชน
และการดำเนินธุรกิจ ในวงกว้าง เมื่อพิจารณาดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวม จำแนกรายสัปดาห์ พบว่า ลดลงในช่วงสัปดาห์ที่ 1-2 และเริ่มปรับตัวดีขึ้นในสัปดาห์ที่ 3-4 โดยในสัปดาห์สุดท้ายของเดือนปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ สอดคล้องกับสถานการณ์โควิด-19 ที่เริ่มมีสัญญาณการปรับตัวที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน โดยคาดว่ามาตรการในรูปแบบต่างๆ ของภาครัฐเพื่อช่วยเหลือ ผู้ได้รับผลกระทบน่าจะส่งผลให้ความเชื่อมั่นของประชาชนปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้นได้ในระยะต่อไป
แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนพฤษภาคม 2563
สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด–19 และแนวโน้มราคาพลังงานโลก ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลกระทบต่อเงินเฟ้อ (ทั้งจากด้านอุปสงค์และด้านอุปทาน) ในเดือนพฤษภาคม 2563 โดยสถานการณ์ราคาพลังงานมีแนวโน้มสูงขึ้น ทั้งจากการตกลงเพื่อลดกำลังการผลิตของผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของโลกมีแนวโน้มได้ข้อยุติ และความต้องการใช้น้ำมันของประเทศจีนและบางประเทศ ที่เริ่มกลับเข้าสู่สถานการณ์ปกติหลังสถานการณ์โควิด–19 ในประเทศเริ่มคลี่คลาย ในขณะที่ ภัยแล้งอาจส่งผลต่อผลผลิตสินค้าเกษตรบางชนิด ทำให้ราคามีโอกาสปรับตัวสูงขึ้น แต่จะถูกลดทอนด้วยปัจจัยด้านอุปสงค์ ที่ลดลงและฐานราคาสินค้าเกษตรบางชนิดที่สูงมากในปีก่อน โดยรวมแล้วราคาในเดือนพฤษภาคม 2563 น่าจะลดลงอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์คาดการณ์ว่า อัตราเงินเฟ้อทั้งปี 2563 จะเคลื่อนไหวอยู่ระหว่างร้อยละ (-1.0) – (-0.2) (ค่ากลางอยู่ที่ -0.6)
โดย สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web