WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

1aaaDCPTPP1

พาณิชย์ ส่งการบ้านตามมติ กนศ. ให้ ครม. พิจารณาไปเคาะประตูขอเจรจาร่วมวง CPTPP เชื่อช่วยขยายส่งออก เพิ่มจ้างงาน ดันจีดีพีไทย ห่วงช้า เสียโอกาสให้เพื่อนบ้าน ซ้ำเติมวิกฤติโควิด-19

     นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยความคืบหน้าการดำเนินการตามมติที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (กนศ.) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) เป็นประธาน เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2563 ที่ให้กระทรวงพาณิชย์เสนอผลการศึกษาและระดมความเห็นภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเรื่องการเข้าร่วมความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (CPTPP) ของไทย ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา ซึ่งขณะนี้ผลการศึกษาและการระดมความเห็นภาคส่วนที่เกี่ยวข้องแล้วเสร็จ จึงได้ดำเนินการตามมติ กนศ. โดยได้ส่งเรื่องให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีพิจารณานำเสนอคณะรัฐมนตรี

     ทั้งนี้ ผลการศึกษาตามแบบจำลองทางเศรษฐศาสตร์สรุปว่า การเข้าร่วม CPTPP จะช่วยให้เศรษฐกิจไทยขยายตัว โดย GDP จะขยายตัวร้อยละ 0.12 (คิดเป็นมูลค่า 13.32 พันล้านบาท) การลงทุนขยายตัวร้อยละ 5.14 (คิดเป็นมูลค่า 148.24 พันล้านบาท) แต่หากไม่เข้าร่วม CPTPP จะส่งผลกระทบ GDP ไทยลดลงร้อยละ 0.25 (คิดเป็นมูลค่า 26.6 พันล้านบาท) และกระทบการลงทุนร้อยละ 0.49 (คิดเป็นมูลค่า 14,270 ล้านบาท) รวมทั้งจะทำให้ไทยเสียโอกาสขยายการค้าการลงทุนและการเชื่อมโยงห่วงโซ่หรือกระบวนการผลิตในภูมิภาค โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับเพื่อนบ้านอาเซียน เช่น เวียดนาม และสิงคโปร์ ซึ่งเป็นสมาชิก CPTPP แล้ว

     โดยพบว่า ตั้งแต่ที่ความตกลง CPTPP หาข้อสรุปได้ในปี 2558 จนถึงปี 2562 การส่งออกของเวียดนามไปประเทศสมาชิก CPTPP เพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 7.85 และของสิงคโปร์เพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 9.92 ขณะที่การส่งออกของไทยไป CPTPP เพิ่มขึ้นเฉลี่ยเพียงร้อยละ 3.23 ส่วนเงินลงทุนโดยตรงไหลเข้า (FDI Inflow) ของเวียดนาม และสิงคโปร์ ในปี 2562 มีมูลค่า 16,940 และ 63,939 ล้านเหรียญสหรัฐ ตามลำดับ ขณะที่ของไทยมีมูลค่าเพียง 9,010 ล้านเหรียญสหรัฐ  

     นางอรมน กล่าวว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะเป็นปัจจัยเร่งให้ระบบเศรษฐกิจ การค้า การลงทุนเปลี่ยนไป ส่งผลกระทบทุกภาคส่วน ตั้งแต่เกษตรกร แรงงาน เจ้าของกิจการ โดยเศรษฐกิจไทยที่ผ่านมาเติบโตเพราะไทยเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการผลิตโลก ไทยมีศักยภาพในการผลิตสินค้า ที่มีกำลังการผลิตเพียงพอเกินความต้องการในประเทศ และสามารถเติบโตจนเป็นผู้ส่งออกที่ติดอันดับท๊อปเทนของโลกในสินค้าต่างๆ และมีการจ้างงานในอุตสาหกรรมเหล่านี้มาก เช่น อาหาร รถยนต์และชิ้นส่วน เครื่องปรับอากาศ เครื่องใช้ไฟฟ้า คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ เป็นต้น

     ภายหลังโควิด-19 รูปแบบการค้า กฎระเบียบการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศจะเปลี่ยนไป ไม่ว่าจะเป็นมาตรฐานของสินค้าที่สูงขึ้น การให้ความสำคัญกับเรื่องความปลอดภัยของอาหาร สิ่งแวดล้อม แรงงาน ความโปร่งใส ธรรมาภิบาล การให้แต้มต่อทางการค้า และเปิดตลาดให้กับกลุ่มพันธมิตรทางการค้าหรือประเทศที่มีมาตรฐานเดียวกัน จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่ไทยต้องหาพันธมิตรใหม่ๆ หรือเข้าเป็นส่วนหนึ่งของความตกลงการค้าสมัยใหม่ อาทิ CPTPP เพื่อช่วยให้ไทยได้แต้มต่อทางการค้า และเป็นประเทศที่น่าสนใจในสายตาของนักลงทุน รวมทั้งไม่ตกขบวนรถไฟของกระบวนการหรือห่วงโซ่การผลิตโลก และเป็นฐานการผลิตและการลงทุนในภูมิภาค ที่จะก่อให้เกิดการจ้างงาน สร้างรายได้ และขยายการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย

       นางอรมน เพิ่มเติมว่า เมื่อพิจารณาการค้ารวมระหว่างไทยกับสมาชิก CPTPP ไทยเป็นฝ่ายได้เปรียบดุลการค้าสมาชิก CPTPP มาโดยตลอด ในปี 2562 ไทยได้เปรียบดุลการค้าที่ 9,605.5 ล้านเหรียญสหรัฐ และ

       ไตรมาสแรกปี 2563 ได้เปรียบดุลการค้า 3,934 ล้านเหรียญสหรัฐ จึงถือว่า CPTPP เป็นตลาดที่ไทยมีความพร้อมในการแข่งขัน โดยผลการศึกษายังชี้ว่า กลุ่มสินค้าที่คาดว่าไทยจะได้ประโยชน์จากการเข้าสู่ตลาดสมาชิก CPTPP เช่น ญี่ปุ่น (เนื้อไก่แปรรูป เนื้อสุกรแปรรูป อาหารทะเลกระป๋อง ข้าว น้ำตาล) แคนาดา (อาหารทะเลปรุงแต่ง ข้าว ผลไม้ปรุงแต่ง ยางพารา ยางรถยนต์ รถจักรยานยนต์ เครื่องทำความร้อน) เม็กซิโก/เปรู/ชิลี (ข้าว น้ำตาล เนื้อไก่สด ตู้เย็น รถยนต์ ชิ้นส่วนอุปกรณ์โทรศัพท์ เครื่องซักผ้า ยางรถยนต์ เครื่องแต่งกาย เครื่องปรับอากาศ) เป็นต้น

     สำหรับ สาขาบริการและการลงทุน กลุ่มธุรกิจที่คาดว่าไทยจะได้ประโยชน์ เช่น สาธารณสุข ก่อสร้าง ท่องเที่ยว เป็นต้น ขณะที่กลุ่มสินค้าที่ไทยต้องเตรียมปรับตัว จะเป็นสินค้าที่ไทยมีศักยภาพในการผลิตน้อยกว่าประเทศสมาชิก CPTPP เช่น สินค้าที่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูง สินค้าต้นทุนต่ำ แต่ก็จะมีเวลาในการปรับตัวเช่นเดียวกับสมาชิกอื่นๆ ที่ขอเวลาปรับตัวสูงถึง 21 ปี ซึ่งเป็นโอกาสของไทยที่จะต้องเร่งพัฒนาปรับโครงสร้างการผลิตและให้ความสําคัญกับเทคโนโลยีและนวัตกรรม และอาจนำเข้าวัตถุดิบและปัจจัยการผลิตที่จะเป็นประโยชน์ต่อต้นทุนการผลิตของไทยมากขึ้น

      ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ ให้ความสำคัญกับการเตรียมกลไกช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกร SMEs และผู้ที่จะได้รับผลกระทบจากความตกลง โดยอยู่ระหว่างศึกษาและหารือผู้เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถจัดตั้งกองทุน FTA ที่จะช่วยเสริมสร้างศักยภาพและความต้องการต่อผู้ได้รับผลกระทบอย่างมีประสิทธิภาพ

     นางอรมน เสริมว่า สำหรับประเด็นที่มีผู้กังวลว่าความตกลง CPTPP จะส่งผลกระทบต่อการเข้าถึงยา การคุ้มครองพันธุ์พืช และการเปิดตลาดจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐของไทย ผลการศึกษาข้อในบทความตกลง CPTPP และข้อผูกพันของประเทศสมาชิก CPTPP พบว่า 

     (1) ความตกลงฯ ได้ถอดเรื่องการขยายขอบเขตและอายุคุ้มครองสิทธิบัตรยา ตลอดจนการผูกขาดข้อมูลผลการทดสอบยาออกไปแล้วตั้งแต่สหรัฐฯ ถอนตัวออกจากการเจรจาความตกลง CPTPP จึงไม่มีข้อบทนี้ และสมาชิก CPTPP ไม่มีข้อผูกพันเรื่องนี้ นอกจากนี้ ความตกลง ข้อ 18.41 และ 18.6 กำหนดให้สมาชิกสามารถบังคับใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตรยา (CL) และใช้มาตรการเพื่อดูแลเรื่องสาธารณสุข เพื่อดูแลเรื่องการเข้าถึงยาของประชาชนได้ ตามความตกลงทริปส์ขององค์การการค้าโลก (WTO) ในทุกกรณี รวมถึงการใช้เพื่อประโยชน์สาธารณะที่ไม่ใช่เพื่อการค้า (public noncommercial use)

      อีกทั้ง จะไม่สุ่มเสี่ยงที่จะถูกฟ้องร้องในประเด็นการใช้ CL เพราะข้อบทการลงทุนข้อที่ 9.8 เรื่องการเวนคืน  (expropriation) ย่อหน้าที่ 5 ได้กำหนดไว้ชัดเจนว่าจะไม่นำมาใช้กับมาตรการ CL นอกจากนี้ ข้อบทเรื่องการระงับข้อพิพาทข้อ 28.3.1 (C) ไม่ได้รวมเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาเป็นส่วนหนึ่งของข้อบทในขอบเขตการระงับข้อพิพาทระหว่างสมาชิก CPTPP

      (2) เรื่องการคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่และการเข้าเป็นสมาชิกอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ (UPOV 1991) ได้ให้ทางเลือกแก่สมาชิก CPTPP สามารถออกกฎหมาย กำหนดเป็นข้อยกเว้นให้เกษตรกรเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้ปลูกในพื้นที่เพาะปลูกของตนได้ อีกทั้งสามารถใช้ประโยชน์จากผลผลิตและผลิตภัณฑ์ได้ โดยไม่ต้องขออนุญาตเจ้าของพันธุ์หากซื้อมาถูกกฎหมาย จึงแก้ปัญหาที่เกษตรกรมีข้อกังวลว่าจะไม่สามารถเก็บพันธุ์พืชไว้ปลูกต่อได้เมื่อเข้าเป็นสมาชิก UPOV รวมทั้งยังคงสามารถเก็บเมล็ดพันธุ์พืชในกลุ่มพันธุ์พื้นเมือง พันธุ์ดั้งเดิม พันธุ์ป่าของพืชทุกชนิดรวมทั้งสมุนไพร และพันธุ์การค้าที่ไม่ได้รับการคุ้มครองไปปลูกต่อได้เหมือนเดิม  

     (3) สำหรับการจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ ความตกลงฯ เปิดให้สมาชิกสามารถกำหนดมูลค่าขั้นต่ำของการแข่งขันในโครงการจัดซื้อจัดจ้างของรัฐ ถ้ามูลค่าต่ำกว่าที่กำหนดไว้ ก็ไม่ต้องเปิดให้สมาชิก CPTPP เข้ามาแข่งขันทำให้สมาชิก CPTPP สามารถดูแลผู้ประกอบการในประเทศ และมีระยะเวลาปรับตัว เช่น เวียดนาม ขอเวลาปรับตัวถึง 25 ปี นอกจากนี้ สำหรับข้อกังวลอื่นๆ ที่มีหน่วยงาน ภาคเกษตร ภาคประชาสังคมหยิบยก ไทยก็จะต้องเข้าไปเจรจา ต่อรองเพื่อขอข้อยืดหยุ่น และข้อยกเว้น ที่จะไม่รวมเรื่องที่ไทยมีข้อกังวล หรือไม่พร้อมจะเปิดตลาด หรือไม่พร้อมจะปฏิบัติตามพันธกรณีไว้ในข้อผูกพันของไทย

      ดังเช่นที่ประเทศสมาชิก CPTPP มีการขอเวลาปรับตัว และขอข้อยกเว้นไว้ ซึ่งในส่วนการทำหนังสือถึง ครม. ของกระทรวงพาณิชย์ เป็นเพียงขอพิจารณาให้ไทยเคาะประตูไปเจรจากับสมาชิก CPTPP ซึ่งเป็นเพียงก๊อกแรก หรือขั้นตอนเริ่มต้นเท่านั้น เป็นการขอโอกาสไปคุยกับสมาชิก CPTPP เพื่อเตรียมตัวรับมือการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น และรูปแบบการค้าที่จะเปลี่ยนไปหลังโควิด-19

     นางอรมน ให้ข้อมูลว่า หาก ครม. เห็นชอบให้ไทยขอเจรจาเข้าร่วมความตกลง CPTPP ก็ยังมีอีกหลายขั้นตอน คือ  ไทยจะต้องมีหนังสือถึงนิวซีแลนด์ ในฐานะประเทศผู้รักษาความตกลงฯ เพื่อขอเจรจาเข้าร่วม หลังจากนั้น จะมีการตั้งคณะเจรจาซึ่งประกอบด้วยผู้แทนของกระทรวงต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อทำหน้าที่เจรจาต่อรองเงื่อนไข ข้อยกเว้น และระยะเวลาในการปรับตัวของไทย เพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อประเทศมากที่สุด และในระหว่างการเจรจาจะต้องมีกระบวนการที่โปร่งใส เปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนได้เข้าร่วมหารือ แลกเปลี่ยนข้อมูล ความเห็น และความคืบหน้าต่างๆ ซึ่งในท้ายที่สุด การตัดสินใจว่า ไทยจะยอมรับผลการเจรจา และเข้าร่วมความตกลง CPTPP หรือไม่ จะต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา ตามมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย

      ทั้งนี้ ปัจจุบันมีประเทศ ได้แก่ เม็กซิโก แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และเวียดนาม โดยความตกลงมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 30 ธันวาคม 2561 ซึ่งสมาชิก CPTPP 7 ประเทศ มีประชากรกว่า 415.8 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 6 ของประชากรโลก โดยในปี 2562 การค้าของไทยกับ CPTPP 7 ประเทศ มีมูลค่ารวม 114.93 พันล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 23.6 ของการค้าไทยกับโลก โดยไทยส่งออกไปยังสมาชิก CPTPP มูลค่า 61.48 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ร้อยละ 25 ของการส่งออกไทยไปโลก)

      และนำเข้ามูลค่า 53.44 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ร้อยละ 22 ของการนำเข้าของไทยจากโลก) นอกจากนี้ ยังมีประเทศที่แสดงความสนใจเข้าร่วมเป็นสมาชิก CPTPP เช่น สหราชอาณาจักร เกาหลีใต้  โคลัมเบีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ เป็นต้น ซึ่งเมื่อรวมกับประเทศสมาชิก CPTPP 11 ประเทศดั้งเดิม จะทำให้กลุ่มประเทศเหล่านี้มีสัดส่วนการค้ากับไทยประมาณร้อยละ 40 ประชากรรวมประมาณ 1,000 ล้านคน

1aaaDCPTPP

เกษตรกร รุด ‘มอบชะลอมถั่ว’ขอบคุณ จุรินทร์ เหตุถอนวาระ CPTPP รับสุดซึ้งใจไม่ลืมรากหญ้า

      สมาคมผู้ปลูกมันสำปะหลัง และกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกข้าว มันสำปะหลัง จังหวัดนครราชสีมา และจังหวัดชัยภูมิ หอบหิ้วชะลอมถั่ว ฝักยาว มะม่วงพื้นบ้าน  มะเขือและผัก เข้าพบและมอบเพื่อแสดงความขอบคุณ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ต่อกรณีถอนวาระพิจารณา cptpp ออกจากการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี

       ทั้งนี้ นายบุญกอง สวงโท เกษตรกรจากจังหวัดชัยภูมิ กล่าวว่า พี่น้องเกษตรกรมีความวิตกกังวลใจมาก ว่าการที่ไทยจะเข้าร่วมใน cptpp แต่ทันทีที่ รองนายกฯได้ถอนเรื่องออกทางเกษตรกรก็มีความสบายใจ จึงมาให้กำลังใจในความกล้าหาญของท่าน แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ตั้งจากคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจมาก็ตาม ซึ่ง ถือว่านายจุรินทร์เป็นนักบริหารมืออาชีพ  เห็นสภาพความจำเป็น  เห็นความปัญหา อันอาจที่จะเกี่ยวข้องกับเกษตรกรอย่างพวกเราท่านก็ไม่ได้นิ่งดูดาย

      “ในวิกฤติโควิด ก็ยังเรื่องราวดีๆ เข้ามาคือท่านรองนายกฯจุรินทร์ ไม่ได้อยู่นิ่งดูดาย ท่านก็ยังทำงานทุกวัน  ทำงานเชิงรุก เราเห็นท่านผ่านทางสื่อ แสดงให้เห็นว่าท่านเป็นห่วง ให้ความดูแลพี่น้องประชาชนเป็นอย่างดีตามบทบาทหน้าที่ของท่าน

       เราเป็นตัวแทนจากเกษตรกรจังหวัดนครราชสีมา และจังหวัดชัยภูมิ ที่เรามาวันนี้นั้นมาให้กำลังใจ และมาขอบพระคุณท่านรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

        เราก็ขอขอบคุณท่านที่ผลักดันนโยบายการประกันรายได้เกษตรกร พวกเรามีความภูมิใจและดีใจที่ท่านได้ดำเนินการตามที่ท่านได้ประกาศนโยบายไว้ และเป็นหลักประกันว่าพี่น้องเกษตรกรทั่วประเทศ ได้รับอานิสงส์จากการที่ท่านได้บริหารราชการแผ่นดินที่ไม่ลืมรากหญ้า”เกษตรกรจากจังหวัดชัยภูมิ กล่าว

      นายสมชาย ปฐมศิริ นักวิชาการมหาวิทยาลัยมหิดล ให้สัมภาษณ์หลังเข้าพบ รมว.พาณิชย์ ว่า ที่มาในวันนี้ เพราะทราบข่าวว่าท่านรองนายกฯ จุรินทร์ ได้ถอนวาระการประชุมเรื่องซีพีทีพีพี ออกจากการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี จึงมาแสดงความขอบคุณ กับการที่ท่านยุติเรื่องนี้ อย่างน้อยๆ ก็เป็นการชั่วคราวก่อน และมาให้กำลังใจท่านในการทำงานเพื่อประชาชนต่อไป เพื่อให้เรื่องนี้มีความประจักษ์ชัดเจนก่อนที่จะมีการดำเนินการในเชิงลึก เพราะเรื่องนี้อาจจะมีผลกระทบในเชิงกว้าง กับ เกษตรกร สาธารณสุข สิ่งแวดล้อม

******************************************

line logotwitterLike1 Share3Like1 Share1กด Like - Share  เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ

 Click Donate Support Web

SAM720x100px bgGC 790x90

SME720 x 100banpu 720x90 new1 1

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!