- Details
- Category: พาณิชย์
- Published: Monday, 09 March 2020 20:06
- Hits: 3360
พาณิชย์ลั่นเตรียมฟันผิด'ศรสุวีร์'3 ข้อหาหนัก ตุนสต๊อก โขกราคาขายแมสก์
พาณิชย์ เตรียมฟันผิด'ศรสุวีร์ ภู่รวีรัศวัชรี' ที่กักตุนสต๊อกและจำหน่ายหน้ากากอนามัยราคาแพงเกินจริงใน 3 ข้อหาหนัก โทษสูงสุด คุก 7 ปี ปรับ 1.4 แสน หรือทั้งจำทั้งปรับหลังได้ร่วมมือกับตำรวจในการติดตามจนเจอตัว ล่าสุดพบปิดเฟซบุ๊กไปแล้ว เผยยังได้มีการติดตามเส้นทางการเงินย้อนหลัง และยังติดตามว่ามีการประกาศขายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์อื่นๆ อีกหรือไม่เพื่อเอาผิดทางกฎหมายต่อไป
นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงความคืบหน้าการตรวจสอบและติดตามกรณีเฟซบุ๊กชื่อ ศรสุรีว์ ภู่รวีรัศวัชรี จำหน่ายหน้ากากอนามัยในราคาสูงเกินสมควร ว่าเช้าวันนี้ (9 มี.ค.63) หลังจากได้รับทราบการประกาศขายหน้ากากอนามัยล้อตใหญ่ในหน้า Facebook ดังกล่าว กระทรวงพาณิชย์โดยนายสุชาติ สินรัตน์ รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ ได้ร่วมหารือกับพ.ต.ต.ประทีป จันทร์เพชรบุรี สว.กก.บก.ปอท. (กองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมการกระทำความผิดทางเทคโนโลยี) เพื่อดำเนินการทางกฎหมาย ซึ่งพบว่าเฟซบุ๊กดังกล่าวได้ปิดตัวลงไปแล้ว และจากการติดต่อผ่านหมายเลขโทรศัพท์ 09-5995-9892 ที่เคยปรากฎในการซื้อขายผ่านเฟซบุ๊ก พบว่า หมายเลขดังกล่าวยังไม่ลงทะเบียนในระบบ คาดว่าจะมีการยกเลิกหมายเลขดังกล่าวก่อนหน้าไม่นาน
ทั้งนี้ จากการสืบสวนเบื้องต้นของเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ปอท. พบว่า เฟซบุ๊กดังกล่าวมีการโอนเงินผ่านบัญชีธนาคารกสิกรไทย จึงได้ทำการตรวจสอบประวัติการโอนเงินเข้ามาในบัญชีและการโอนย้อนหลัง เพื่อขยายผลการสืบสวนแล้ว รวมทั้งได้มีการตรวจสอบเส้นทางการเงินว่าเกี่ยวข้องกับการจำหน่ายบนแพลตฟอร์มออนไลน์อื่นซึ่งได้มีการโพสต์จำหน่ายหน้ากากอนามัยหรือไม่
อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบความผิดที่เกิดขึ้น กระทรวงพาณิชย์สามารถดำเนินการเอาผิดได้ใน 3 ข้อหา คือ 1.ความผิดฐานไม่แจ้งสต๊อก ต้นทุน ราคาจำหน่าย สถานที่เก็บและปริมาณคงเหลือ ตาม มาตรา 25 (5) มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 20,000บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และปรับอีกวันละ 2,000 บาทจนกว่าจะแจ้ง 2.ความผิดตามมาตรา 29 จำหน่ายในราคาสูงเกินสมควรมีโทษหนักจำคุกไม่เกิน 7 ปี ปรับไม่เกิน 1.4 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และ 3.ขายเกินราคาควบคุม มีความผิดตามมาตรา 25 (1) มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ล่าสุด จากข่าวทราบว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ. หนองปรือ จ.ชลบุรี ได้ควบคุมตัว นายศรสุวีร์ ภู่รวีรัศวัชรีแล้ว และหากกระบวนการสอบสวนพบการกระทำความผิดต่อข้อกฎหมาย กระทรวงพาณิชย์จะดำเนินการกล่าวโทษเพื่อดำเนินคดีต่อไป
พาณิชย์ เผยผลการจับกุมหน้ากากอนามัยขายแพงเกินจริง
ปลัดพาณิชย์ เผยผลการจับกุมหน้ากากอนามัยขายแพงเกินจริง ล่าสุด ณ วันที่ 8 มี.ค. 63 จับดำเนินคดีไปแล้ว 102 ราย ซึ่งมีทั้งผู้ค้าที่เป็นห้างสรรพสินค้ารายใหญ่ และผู้ค้ารายย่อย ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ในข้อหาไม่ปิดป้ายแสดงราคา และจำหน่ายราคาเกินสมควรหรือแพงเกินจริง ซึ่งมีโทษสูงสุดจำคุกสูงสุด 7 ปี หรือปรับเงิน 1.4 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงผลการจับกุมผู้ค้าหน้ากากอนามัยที่กระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 ว่ากระทรวงฯ ได้จัดส่งสายตรวจออกตรวจสอบทุกวันนับตั้งแต่วันที่ 31 มกราคมเป็นต้นมา โดยปัจจุบันได้มีการจับกุมดำเนินคดีไปแล้ว 102 ราย โดยแบ่งเป็นกรุงเทพฯ 74 ราย ส่วนต่างจังหวัดอีก 28 ราย ในความผิด 2 ข้อหาคือ มาตรา 28 ไม่ปิดป้ายแสดงราคา ซึ่งมีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท และความผิดตามมาตรา 29 และ 30 คือการค้ากำไรเกินควรและกักตุนสินค้า ซึ่งมีโทษหนักจำคุก 7 ปี ปรับสูงสุด 1.4 แสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ ในส่วนการจับกุมผู้ค้าออนไลน์ ทั้ง facebook Line Instagram กระทรวงพาณิชย์ได้ร่วมมือกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ปัจจุบันได้จับกุมไปทั้งหมด 14 ราย
นอกจากนี้ ตั้งแต่วันนี้ คือวันที่ 9 มีนาคม 2563 เป็นต้นไป กระทรวงจะได้ดำเนินการตรวจสอบและจับกุมผู้จำหน่ายหน้ากากอนามัยที่จำหน่ายเกินราคาที่กฎหมายกำหนดไว้คือชิ้นละ 2.50 บาท ซึ่งหากพบผู้กระทำความผิด จะถูกดำเนินคดีในข้อหาจำหน่ายหน้ากากอนามัยเกินราคาที่กฎหมายกำหนดซึ่งเป็นความผิดตามมาตรา 25 โดยมีอัตราโทษจำคุกสูงสุด 5 ปี ปรับ 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งหากพบว่าผู้กระทำผิดขายแพงเกินจริงและมีการกักตุนสินค้าด้วย จะเป็นความผิดทั้ง 2 กระทง โดยจะได้รับโทษหนักกว่า คือจำคุก 7 ปี ปรับ 1.4 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
โดยหากผู้พบเห็นการกระทำความผิดดังกล่าว โปรดแจ้งข้อมูลและหลักฐานมายังกรมการค้าภายใน โดยใช้สายด่วน 1569 หรือสื่อโซเชียลของกรมการค้าภายในเพื่อเป็นข้อมูลในการตรวจสอบและจับกุมต่อไป
พาณิชย์ ดีเดย์ 9 มี.ค.นี้ จับแหลก ร้านค้า ห้าง ออนไลน์ ขายหน้ากากอนามัยเกิน 2.50 บาท
กรมการค้าภายในดีเดย์ 9 มี.ค.นี้ จับแหลกพวกที่ยังขาย “หน้ากากอนามัย” แบบสีเขียว เกินราคาสูงสุดที่กำหนดชิ้นละ 2.50 บาท ทั้งร้านค้าทั่วไป ร้านขายยา ห้างสรรพสินค้า และในออนไลน์ ลั่นเฉพาะแพลตฟอร์มออนไลน์ หากยังปล่อยให้ใครนำมาขายแพงๆ เจอฟันด้วย โทษคุก 5 ปี ปรับ 1 แสนบาท
นายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 9 มี.ค.2563 เป็นต้นไป กรมฯ จะจัดส่งเจ้าหน้าที่สายตรวจออกตรวจสอบการจำหน่ายหน้ากากอนามัย (แบบสีเขียว) ที่ประชาชนใช้สำหรับป้องกันโรคไวรัสโควิด-19 โดยในกรุงเทพฯ จะมีจำนวน 10 สาย และต่างจังหวัดจะดำเนินการร่วมกับสำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ เพื่อตรวจสอบว่ามีการจำหน่ายในราคาสูงสุดตามที่กฎหมายกำหนด คือ ชิ้นละ 2.50 บาทหรือไม่ หากพบว่ามีการจำหน่ายเกินราคา จะดำเนินการจับกุมและส่งดำเนินคดีตามกฎหมาย มีโทษจำคุก 5 ปี ปรับ 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับทันที
“ขอเตือนไปยังร้านค้าทั่วไป ร้านขายยา ร้านสะดวกซื้อ ห้างสรรพสินค้า หรือผู้ที่จำหน่ายทางออนไลน์ ให้จำหน่ายหน้ากากอนามัยในราคาสูงสุดตามที่กฎหมายกำหนด ถ้าไม่ทำตาม จะมีความผิด และถูกจับกุมดำเนินคดีไม่มียกเว้นทุกราย และเฉพาะทางออนไลน์ หากเป็นทางเฟซบุ๊ก จะมีการประสานกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเข้ามาช่วยตามตัว ส่วนที่ขายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ขายผ่านทางมาร์เก็ตเพลสต่างๆ ไม่เพียงแต่เล่นงานคนขาย จะดำเนินคดีกับแพลตฟอร์มและมาร์เก็ตเพลสที่ปล่อยให้มีการขายเกินราคาที่กำหนดด้วย มีโทษเท่ากัน”นายวิชัยกล่าว
นายวิชัย กล่าวว่า สำหรับการกระจายหน้ากากอนามัยที่ศูนย์บริหารจัดการหน้ากากอนามัยได้รับมาวันละ 1.2 ล้านชิ้นจาก 11 โรงงาน ยังคงแบ่งสัดส่วนการระบายเช่นเดิม คือ 7 แสนชิ้น ให้กระทรวงสาธารณสุขกระจายให้กับโรงพยาบาล สถานพยาบาลทุกสังกัด ทั้งรัฐและเอกชน ส่วนอีก 5 แสนชิ้น กรมการค้าภายในจะเป็นผู้ระบายให้กับประชากร 65 ล้านคน โดยส่วนหนึ่งจะกระจายให้กับการบินไทย เพื่อให้นำไปให้ผู้ที่ให้บริการทั้งในสนามบินและบนเครื่องบินใช้ กระจายให้กับสมาคมร้านขายยา และร้านสะดวกซื้อ คือ เซเว่นอีเลฟเว่น มินิ บิ๊กซี โลตัส เอ็กซ์เพรส แฟมิลี่มาร์ท และรถโมบาย 111 คัน กระจายทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด
“ตอนนี้ ทางศูนย์ฯ ได้เร่งจัดส่งหน้ากากอนามัยไปให้โรงพยาบาล สถานพยาบาล ที่มีปัญหาขาดแคลนเป็นการเร่งด่วนแล้ว โดยจะส่งให้รายที่มีปัญหาก่อน จากนั้นจะทยอยส่งไปให้ทุกที่ ซึ่งปริมาณที่ส่ง สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม และความจำเป็นเร่งด่วน ส่วนการจำหน่ายให้กับประชาชน ก็จะกระจายผ่านช่องทางที่มีอยู่ และจะเน้นผ่านรถโมบายมากขึ้น เพราะวิ่งตรงเข้าถึงชุมชนเลย แต่ที่กระทรวงพาณิชย์ ได้ยกเลิกการจำหน่ายไปแล้วตั้งแต่วันที่ 6 มี.ค.2563 ที่ผ่านมา”นายวิชัยกล่าว
ทั้งนี้ หากถามว่าหน้ากากอนามัยมีเพียงพอกับความต้องการของประชาชนแล้วหรือยัง ก็ต้องตอบตามความเป็นจริง ทุกวันนี้ผลิตได้ 1.2 ล้านชิ้นต่อวัน ได้กระจายให้กับบุคลากรทางการแพทย์ ผู้ป่วย ผู้ที่มีความเสี่ยงในการทำงาน เช่น สนามบิน ศูนย์การประชุม และประชาชน หากคำนวนจากประชากร 65 ล้านคน และในจำนวนนี้ ถือว่ามี 10% ที่จำเป็นต้องใช้แค่คนละ 1 ชิ้นต่อวัน ก็จะมีความต้องการสูงถึงวันละ 6.5 ล้านชิ้น หัก 1.2 ล้านชิ้น ก็ยังขาดอยู่ 5.3 ล้านชิ้น ยังไงก็ไม่พอ ซึ่งกรมฯ ก็ต้องบริหารจัดการตามความเร่งด่วนและความจำเป็น และขอความร่วมมือประชาชน ช่วยซื้อแต่พอใจ อย่าซื้อกักตุน เพื่อให้คนข้างหลังได้มีโอกาสซื้อ แต่เชื่อว่า ในระยะต่อไป น่าจะดีขึ้น หลังจากที่รัฐบาลได้เร่งผลิตหน้ากากผ้า เพื่อเป็นหน้ากากทางเลือกให้กับประชาชนได้ใช้
ส่วนสินค้านำเข้า ปกติเคยนำได้เข้าประมาณ 20 ล้านชิ้นต่อเดือน แต่ปัจจุบันในเดือนม.ค.2563 ที่ผ่านมา นำเข้าเหลือ 1-2 ล้านชิ้นต่อเดือน และในจำนวนนี้เป็นหน้ากากอนามัยแบบสีเขียวแค่ 7-8 แสนชิ้นเท่านั้น ถือว่ายอดลดลงมาก เพราะประเทศที่เป็นผู้ผลิตอย่างจีน ญี่ปุ่น ได้ห้ามการส่งออก ซึ่งก็ต้องหาทางเพิ่มกำลังการผลิตในประเทศ โดยล่าสุดรัฐบาลได้เดินหน้าแก้ไขแล้ว ทั้งการจัดหาแหล่งวัตถุดิบ หรือสนับสนุนให้มีการลงทุนโรงงานเพื่อเพิ่มกำลังการผลิต
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web