- Details
- Category: พาณิชย์
- Published: Monday, 24 February 2020 23:00
- Hits: 5464
ส่งออกไทย เดือน ม.ค.63 ประเดิมสวย เพิ่ม 3.35% พลิกบวกครั้งแรกในรอบ 6 เดือน
ส่งออกไทยฟื้นตัว ประเดิมม.ค.63 เพิ่มขึ้น 3.35% บวกครั้งแรกในรอบ 6 เดือน ได้แรงหนุนจากการส่งออกทองคำ น้ำมัน พิษสงครามการค้าลดลง แถมส่งออกไทยอยู่ในช่วงขาขึ้น มีสินค้าหลายกลุ่มที่เป็นดาวรุ่งพุ่งแรง ส่วนผลกระทบโควิด-19 น่าจะเห็นผลในเดือนก.พ. แต่กลับเป็นโอกาสที่จะทำให้ส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารได้เพิ่มขึ้น แนะเตรียมตัวให้ดี คาดปีนี้ส่งออกกลับมาเป็นบวกแน่ เบื้องต้นประเมิน 0-2% แต่ตัวเลขชัดๆ รอ 28 ก.พ.นี้
น.ส.พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า การส่งออกสินค้าไทยในเดือนม.ค.2563 มีมูลค่า 19,625.7 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 3.35% เป็นการกลับมาขยายตัวเป็นบวกครั้งแรกในรอบ 6 เดือน และเป็นประเทศเดียวในภูมิภาคแถบนี้ ที่ส่งออกเป็นบวก แม้แต่เวียดนามยังติดลบถึง 2 หลัก ซึ่งสะท้อนถึงความเข้มแข็งของการส่งออกของไทยที่กระจายตัวได้ดีทั้งในด้านสินค้าและตลาด ทำให้ประคองส่งออกไปได้ แม้จะมีปัจจัยความท้าทายต่างๆ ที่เกิดขึ้นในเศรษฐกิจโลก ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า 21,181.4 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 7.86% โดยขาดดุลการค้ามูลค่า 1,555.7 ล้านเหรียญสหรัฐ
“การส่งออกของไทยในเดือนม.ค.2563 ที่เพิ่มขึ้น มาจากการส่งออกทองคำ เพราะคนวิ่งหาทองคำเพื่อลดความเสี่ยง และยังมีการส่งออกน้ำมันเพิ่มขึ้น ขณะที่ผลกระทบจากสงครามการค้าลดลง ทำให้สินค้าในกลุ่มที่เกี่ยวเนื่องกับสงครามการค้าส่งออกได้ดีขึ้น และการส่งออกไทยกลับมาอยู่ในช่วงฟื้นตัว ซึ่งน่าจะดีขึ้นต่อเนื่อง อีกทั้งไทยยังมีสินค้ากลุ่มใหม่ๆ ที่ขยายตัวได้ดี เป็นสินค้าดาวรุ่ง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเกษตรและอาหาร เช่น ผลไม้ ไก่ เครื่องดื่ม เครื่องสำอาง เฟอร์นิเจอร์ ของตกแต่งบ้าน รวมถึงสินค้าอุตสาหกรรมที่กลับมาฟื้นตัว เช่น เครื่องปรับอากาศ โดยน่าจะเป็นตัวที่ช่วยผลักดันส่งออกได้เพิ่มขึ้น”
อย่างไรก็ตาม ในเดือนม.ค.2563 ยังไม่สะท้อนผลกระทบจากโรคไวรัสโควิด-19 คาดว่าน่าจะเห็นผลได้ชัดเจนในเดือนก.พ.2563 ที่มองว่าการส่งออกน่าจะลดลง เพราะได้รับผลกระทบด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ โดยมีการเข้มงวดเรื่องตู้คอนเทนเนอร์มากขึ้น มีการปิดด่านบางด่วน แม้จะเริ่มเปิดให้บริการ ก็ทำให้เกิดความล่าช้าในการส่งออก แต่ในวิกฤตก็มีโอกาส โดยเฉพาะสินค้าเกษตรและอาหาร ที่จะส่งออกได้ดีขึ้นอย่างมาก หากสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 คลี่คลาย เพราะจะมีความต้องการเข้ามาอย่างมาก ซึ่งไทยจะต้องรักษาคุณภาพ มาตรฐาน เพื่อสร้างโอกาสในการส่งออกต่อไป
นอกจากนี้ ยังมีสัญญาณดีจากการนำเข้าเครื่องจักรที่เพิ่มขึ้นถึง 18.7% ที่แสดงให้เห็นว่ามีความต้องการขยายการผลิต และมีสัญญาณการเคลื่อนย้ายซัปพลายเชนในภูมิภาคบางส่วนเข้ามาไทย เพื่อลดผลกระทบจากสงครามการค้าและไวรัสโควิด-19 ซึ่งไทยควรจะใช้โอกาสนี้ปรับโครงสร้างการส่งออกและการผลิตให้ตอบสนองการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลก เช่น เรื่องรถยนต์ไฟฟ้า ที่ตลาดมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมแล้ว
น.ส.พิมพ์ชนก กล่าวว่า สนค.คาดว่าการส่งออกของไทยในปีนี้ น่าจะขยายตัวเป็นบวกได้ 0-2% โดยหากส่งออกได้เฉลี่ยเดือนละ 21,049 ล้านเหรียญสหรัฐ ก็ขยายตัวได้ 2% แล้ว อยู่ในวิสัยที่ทำได้ แต่ตัวเลขเป้าหมายชัดๆ จะเป็นเท่าไร คงต้องรอการประชุมทูตพาณิชย์ในวันที่ 28 ก.พ.2563 ก่อน
“ที่มั่นใจว่า การส่งออกปี 2563 จะขยายตัวเป็นบวก เพราะสงครามการค้าคลี่คลายลงแล้ว แม้จะมีความเสี่ยงจากไวรัสโควิด-19 แต่ถ้าชะลอตัวลง และควบคุมสถานการณ์ได้ ก็จะส่งผลดีต่อการส่งออก ส่วนค่าเงินบาท ก็มีแนวโน้มอ่อนค่าตั้งแต่ต้นปี และกระทรวงพาณิชย์ยังมีมาตรการส่งเสริมและผลักดันการส่งออกอย่างเข้มข้น โดยนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์มีแผนที่จะนำคณะผู้แทนการค้าไปเปิดตลาด 18 ประเทศ เช่น อาฟริกาใต้ รัสเซีย ตะวันออกกลาง ส่วนประเทศอื่นๆ จะประเมินความเหมาะสมต่อไป และยังมีแผนเร่งรัดการเจรจา FTA ที่ค้างอยู่ให้เสร็จโดยเร็ว ทั้งไทย-ตุรกี ไทย-ปากีสถาน ไทย-ศรีลังกา และเริ่มเจรจา FTA ใหม่ๆ รวมทั้งการพิจารณาเข้าร่วม CPTPP”น.ส.พิมพ์ชนกกล่าว
สำหรับรายละเอียดการส่งออกเดือนม.ค.2563 สินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร ลดลง 6.3% จากการลดลงของข้าว 34% ผัก ผลไม้สดแช่แข็งและแปรรูป ลด 20.3% ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ลด 16.6% กุ้งสดแช่แข็งและแปรรูป ลด 28.7% แต่ยางพารา เพิ่ม 12% ไก่สดแช่แข็งและแปรรูป เพิ่ม 9.5% เครื่องดื่ม เพิ่ม 2.8% และสินค้าอุตสาหกรรม เพิ่ม 5.2% สินค้าที่เพิ่มขึ้น เช่น ทองคำ เพิ่ม 299.6% รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ เพิ่ม 35.4% เฟอร์นิเจอร์และส่วนประกอบ เพิ่ม 29.9% เครื่องสำอาง สบู่และผลิตภัณฑ์รักษาสิว เพิ่ม 13.8% ส่วนนาฬิกาและส่วนประกอบ ลด 54.8% เครื่องรับวิทยุโทรทัศน์และส่วนประกอบ ลด 13% แผงวงจรไฟฟ้า ลด 11.5% สินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ลด 7.8% รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ลด 3.4%
ส่วนตลาดส่งออกสำคัญ ตลาดหลัก เพิ่ม 3.1% โดยสหรัฐฯ เพิ่ม 9.9% สหภาพยุโรป เพิ่ม 0.6% แต่ญี่ปุ่น ลด 2.5% ตลาดศักยภาพสูง เพิ่ม 0.6% โดยอาเซียนเดิม เพิ่ม 3.8% CLMV ลด 0.7% จีน เพิ่ม 5.2% อินเดีย ลด 5.7% ฮ่องกง ลด 14.3% เกาหลีใต้ ลด 4.0% ไต้หวัน เพิ่ม 13.1% ตลาดศักยภาพระดับรอง ลด 6.6% โดยทวีปออสเตรเลีย ลด 16% ตะวันออกกลาง เพิ่ม 25 แอฟริกา ลด 14.2% ลาตินอเมริกา ลด 4.1% สหภาพยุโรป (12 ประเทศ) เพิ่ม 20% รัสเซียและ CIS ลด 0.9% แคนาดา เพิ่ม 3.8% และสวิตเซอร์แลนด์ เพิ่ม 305.8%
ภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทย เดือนมกราคม 2563
การส่งออกไทยเดือนมกราคม 2563 ขยายตัวร้อยละ 3.35 กลับมาเป็นบวกในรอบ 6 เดือน จากการส่งออกน้ำมันเพิ่มขึ้นจากโรงกลั่นเริ่มกลับมาเปิดทำการ และการส่งออกทองคำที่สูงขึ้นตามราคาตลาดโลก ทั้งนี้ ทิศทางการส่งออกของไทยสะท้อนแนวโน้มเชิงบวกจากการลงนามข้อตกลงทางการค้าระยะแรก (Phase-1 Deal) ระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่ช่วยให้บรรยากาศการค้าดีขึ้นและคลายความกังวล สินค้าที่ได้รับผลกระทบภายใต้มาตรการสงครามการค้า อาทิ เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ กลับมาขยายตัวทั้งในตลาดสหรัฐฯ และจีน อีกทั้ง สินค้าดาวรุ่งของไทยในภาคการผลิตจริง (Real Sector) หลายรายการ
อาทิ ไก่สดแช่เย็น แช่แข็ง อาหารสัตว์เลี้ยง ผลไม้กระป๋องและแปรรูป สิ่งปรุงรสอาหาร นมและผลิตภัณฑ์นม และเครื่องดื่ม ยังคงขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง เมื่อหักทองคำและน้ำมันการส่งออกไทยเดือนมกราคม 2563 หดตัวร้อยละ 0.6 ด้านการนำเข้าเดือนมกราคม 2563 หดตัวร้อยละ 7.86 จากฐานสูงของการนำเข้าอาวุธเพื่อซ้อมรบในเดือนมกราคมปีก่อนหน้า และการนำเข้าทองคำที่ลดลง เมื่อหักทองคำ น้ำมัน และอาวุธ ยุทธปัจจัย การนำเข้าไทยเดือนมกราคม 2563 หดตัวเล็กน้อย ที่ร้อยละ 0.17 อย่างไรก็ดี การนำเข้าสินค้าทุนขยายตัวร้อยละ 5.8 ในกลุ่มเครื่องจักรกลและส่วนประกอบที่ร้อยละ 18.7 สูงสุดในรอบ 2 ปี
ในรายสินค้า ยอดส่งออกยางพารา และผลิตภัณฑ์ยางในตลาดตุรกี ปรับตัวสูงขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการเร่งรัดและติดตามการส่งออกสินค้าจากการลงนาม MOU โดยรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์) โดยการส่งออกยางพารากลับมาเป็นบวกในรอบ 5 เดือน ขยายตัวในตลาดตลาดจีน มาเลเซีย บราซิล ตุรกี และเยอรมนี นอกจากนี้ สินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรอื่นๆ ที่ยังขยายตัวได้ดี อาทิ น้ำตาลทราย ไก่สดแช่แข็งและแปรรูป นมและผลิตภัณฑ์นม และสิ่งปรุงรสอาหาร สินค้าอุตสาหกรรม ที่ยังคงเติบโตดีต่อเนื่อง อาทิ รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน และเครื่องสำอาง สบู่และผลิตภัณฑ์รักษาผิว
ในรายตลาด การส่งออกไปตลาดสำคัญมีสัญญาณการฟื้นตัวชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะการส่งออกไป 2 ประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่สุดของโลกอย่างสหรัฐฯ (ร้อยละ 9.9) และจีน ที่ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 (ร้อยละ 5.2) เช่นเดียวกับตลาดไต้หวัน และตะวันออกกลาง มีสัญญาณเติบโตต่อเนื่อง ที่ร้อยละ 13.1 และ 2.0 ตามลำดับ
มูลค่าการค้ารวม
มูลค่าการค้าในรูปของเงินดอลลาร์สหรัฐ
เดือนมกราคม 2563 การส่งออก มีมูลค่า 19,626 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 3.35 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน (YoY) ในขณะที่ การนำเข้า มีมูลค่า 21,181ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ 7.86 ส่งผลให้การค้าขาดดุล 1,556 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
มูลค่าการค้าในรูปของเงินบาท
เดือนมกราคม 2563 การส่งออก มีมูลค่า 587,494 ล้านบาท หดตัวร้อยละ 4.63 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน (YoY) ในขณะที่ การนำเข้า มี 643,511 ล้านบาท หดตัวร้อยละ 14.82 ส่งผลให้การค้า ขาดดุล 56,017 ล้านบาท
การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร
มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรหดตัวที่ร้อยละ 6.3 (YoY) สินค้าที่ยังขยายตัวดี ได้แก่ น้ำตาลทราย ขยายตัวร้อยละ 18.6 (ขยายตัวในตลาดอินโดนีเซีย เกาหลีใต้ กัมพูชา ไต้หวัน และเวียดนาม) ยางพารา ขยายตัวที่ร้อยละ 12.0 (ขยายตัวในตลาดจีน มาเลเซีย บราซิล ตุรกี และเยอรมนี) ไก่สดแช่แข็งและแปรรูป ขยายตัวร้อยละ 9.5 (ขยายตัวในตลาดญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร จีน มาเลเซีย และสิงคโปร์) เครื่องดื่ม ขยายตัวร้อยละ 2.8 (ขยายตัวในตลาดกัมพูชา เมียนมา จีน ญี่ปุ่น และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) สินค้าที่หดตัว
ได้แก่ ข้าว หดตัวที่ร้อยละ 34.0 (หดตัวในตลาดสหรัฐฯ แอฟริกาใต้ อังโกลา ฮ่องกง จีน แต่ยังขยายตัวได้ดีในตลาดญี่ปุ่น โตโก และคองโก) ผัก ผลไม้สด แช่แข็งและแปรรูป หดตัวที่ร้อยละ 20.3 (หดตัวในตลาดจีน เวียดนาม และฮ่องกง แต่ยังขยายตัวได้ดีในตลาดสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย) ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง หดตัวที่ร้อยละ 16.6 (หดตัวในตลาดจีน ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย ไต้หวัน และมาเลเซีย แต่ยังขยายตัวได้ดีในตลาดสหรัฐฯ เกาหลีใต้ ฟิลิปปินส์ นิวซีแลนด์ และอินเดีย) กุ้งสดแช่แข็งและแปรรูป หดตัวที่ร้อยละ 28.7 (หดตัวในตลาดญี่ปุ่น สหรัฐฯ จีน ออสเตรเลีย และเกาหลีใต้ แต่ยังขยายตัวได้ดีในตลาดเมียนมา)
การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม
มูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมกลับมาขยายตัวที่ร้อยละ 5.2 (YoY) สินค้าที่ยังขยายตัวดี ได้แก่ ทองคำ ขยายเกือบทุกตลาดที่ร้อยละ 299.6 (ขยายตัวในตลาดสวิตเซอร์แลนด์ สิงคโปร์ เมียนมา ญี่ปุ่น และรัสเซีย) รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ ขยายตัวเกือบทุกตลาด ขยายตัวร้อยละ 35.4 (ขยายตัวในตลาดเบลเยียม สหรัฐฯ สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น และเนเธอร์แลนด์) เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน ขยายตัวร้อยละ 29.9 (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ ออสเตรเลีย เวียดนาม อินเดีย และอาร์เจนตินา) เครื่องสำอาง สบู่ และผลิตภัณฑ์รักษาผิว ขยายตัวที่ร้อยละ 13.8 (ขยายตัวในจีน ฟิลิปปินส์ ออสเตรเลีย เวียดนาม และมาเลเซีย) สินค้าที่หดตัว ได้แก่ นาฬิกาและส่วนประกอบ หดตัวที่ร้อยละ 54.8 (หดตัวในตลาดสวิตเซอร์แลนด์ อินเดีย และสหรัฐฯ
แต่ยังขยายตัวได้ดีในตลาดฮ่องกง ญี่ปุ่น และจีน) เครื่องรับวิทยุ โทรทัศน์และส่วนประกอบ หดตัวที่ร้อยละ 13.0 (หดตัวในตลาดญี่ปุ่น อินเดีย จีน เยอรมนี และอินโดนีเซีย แต่ยังขยายตัวได้ดีในตลาดสหรัฐฯ เนเธอร์แลนด์ และเม็กซิโก) แผงวงจรไฟฟ้า หดตัวที่ร้อยละ 11.5 (หดตัวในตลาดจีน เยอรมนี สหรัฐฯ มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ แต่ยังขยายตัวในตลาดฮ่องกง ญี่ปุ่น และสิงคโปร์) สินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน หดตัวเกือบทุกตลาด หดตัวที่ร้อยละ 7.8 (หดตัวในตลาดจีน มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และญี่ปุ่น แต่ยังขยายตัวได้ดีในตลาดกัมพูชา เวียดนาม และอินเดีย) รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ หดตัวที่ร้อยละ 3.4 (หดตัวในตลาดออสเตรเลีย เวียดนาม เม็กซิโก และมาเลเซีย แต่ยังขยายตัวได้ดีในตลาดฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น และอินโดนีเซีย)
ตลาดส่งออกสำคัญ
การส่งออกไปตลาดสำคัญๆ หลายตลาดกลับมาขยายตัว โดยการส่งออกไปยังตลาดหลักขยายตัวร้อยละ 3.1 เนื่องจากการส่งออกไปสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 9.9 และสหภาพยุโรป (15) ขยายตัวร้อยละ 0.6 ตามลำดับ ด้านการส่งออกไป ตลาดศักยภาพสูงขยายตัวร้อยละ 0.6 เป็นผลมาจากการส่งออกไปตลาดจีนขยายตัวร้อยละ 5.2 และตลาดอาเซียน (5) กลับมาขยายตัวของ ร้อยละ 3.8 อย่างไรก็ตาม การส่งออกไปตลาดเอเชียใต้ และ CLMV ปรับตัวลดลงร้อยละ 4.6 และ 0.7 ตามลำดับ สำหรับตลาดศักยภาพระดับรองหดตัวที่ร้อยละ 6.6 ตามการส่งออกไปตลาดทวีปออสเตรเลีย แอฟริกา ลาตินอเมริกา และรัสเซียและกลุ่มประเทศ CIS ที่หดตัวร้อยละ 16.0 14.2 4.1 และ 0.9 ตามลำดับ ขณะที่การส่งออกไปตะวันออกกลางขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 2.0
ตลาดสหรัฐอเมริกา
ขยายตัวร้อยละ 9.9 และขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 โดยสินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ฯ อุปกรณ์กึ่งตัวนำฯ เครื่องปรับอากาศฯ ผลิตภัณฑ์ยาง และเฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน เป็นต้น
ตลาดจีน
ขยายตัวร้อยละ 5.2 และขยายตัวต่อเนื่องติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 โดยสินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ ยางพารา ผลิตภัณฑ์ยาง ทองแดงฯ รถยนต์และส่วนประกอบ และเครื่องยนต์สันดาปฯ เป็นต้น
ตลาดสหภาพยุโรป (15)
ขยายตัวร้อยละ 0.6 สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ รถยนต์และส่วนประกอบ รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ เครื่องนุ่งห่ม เครื่องใช้ไฟฟ้าฯ และเคมีภัณฑ์ เป็นต้น
ตลาดเอเชียใต้
หดตัวร้อยละ 4.6 สินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ รถยนต์และส่วนประกอบ สำหรับสินค้าที่ขยายตัวสูง ได้แก่ อัญมณีและเครื่องประดับ น้ำมันสำเร็จรูป ปูนซิเมนต์ และเคมีภัณฑ์
ตลาดอินเดีย
หดตัวร้อยละ 5.7 สินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ นาฬิกาฯ และรถยนต์และส่วนประกอบ สำหรับสินค้าที่ขยายตัวสูง ได้แก่อัญมณีและเครื่องประดับ เคมีภัณฑ์ และ ผลิตภัณฑ์อลูมิเนียม
ตลาด CLMV
หดตัวร้อยละ 0.7 สินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ ผลไม้สด แช่แข็งและแห้งฯ และ รถยนต์และส่วนประกอบ สำหรับสินค้าที่ขยายตัวสูง ได้แก่ น้ำมันสำเร็จรูป สินค้าปศุสัตว์อื่น ๆ และอุปกรณ์กึ่งตัวนำฯ
ตลาดญี่ปุ่น
หดตัวร้อยละ 2.5 สินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ เม็ดพลาสติก อาหารทะเลแปรรูปฯ และ เครื่องจักรกล สำหรับสินค้าที่ขยายตัวสูง ได้แก่ ไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง และรถยนต์และส่วนประกอบ
ตลาดลาตินอเมริกา
หดตัวร้อยละ 4.1 สินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ รถยนต์และส่วนประกอบ โทรศัพท์และอุปกรณ์ฯ อาหารทะเลแปรรูปฯ และ เครื่องใช้ไฟฟ้าฯ สำหรับสินค้าที่ขยายตัวสูง ได้แก่เครื่องคอมพิวเตอร์ฯ
ตลาดอาเซียน (5)
ขยายตัวร้อยละ 3.8 สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ อัญมณีและเครื่องประดับ น้ำตาลทราย เครื่องปรับอากาศฯ เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์รักษาผิว และยางพารา เป็นต้น
ตลาดตะวันออกกลาง
ขยายตัวร้อยละ 2.0 สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ เครื่องปรับอากาศฯ ข้าว เหล็กและผลิตภัณฑ์ รถยนต์และส่วนประกอบ และอัญมณีและเครื่องประดับ เป็นต้น
ตลาดทวีปออสเตรเลีย
หดตัวร้อยละ 16.0 สินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ รถยนต์และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ข้าวสาลีฯ และ เหล็กและผลิตภัณฑ์ สำหรับสินค้าที่ขยายตัวสูง ได้แก่ เครื่องปรับอากาศฯ และอัญมณีและเครื่องประดับ
ตลาดรัสเซียและกลุ่มประเทศ CIS
หดตัวร้อยละ 0.9 สินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ รถยนต์และส่วนประกอบ เครื่องยนต์สันดาปฯ และข้าว สำหรับสินค้าที่ขยายตัวสูง ได้แก่ อัญมณีและเครื่องประดับ และเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์รักษาผิว
ตลาดทวีปแอฟริกา
หดตัวร้อยละ 14.2 สินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ ข้าว อาหารทะเลแปรรูปฯ และ เครื่องยนต์สันดาปฯ สำหรับสินค้าที่ขยายตัวสูง ได้แก่น้ำมันสำเร็จรูป และ รถยนต์และส่วนประกอบ
แนวโน้มและมาตรการส่งเสริมการส่งออกปี 2563
แม้ว่าการลงนามข้อตกลงระยะแรกช่วยให้บรรยากาศการค้าดีขึ้นบ้าง สะท้อนจากการส่งออกไทยที่กลับมาขยายตัวในเดือนมกราคม อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจโลกและการส่งออกไทยยังเผชิญแรงกดดันจากสถานการณ์ไวรัส Covid-19 ที่ชะลอการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการค้าโลกในระยะสั้น-กลาง รวมถึงปัจจัยเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์และราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับต่ำ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจีนมีการดำเนินการอย่างรวดเร็ว เป็นรูปธรรม โดยจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัส Covid-19 รายวันในจีนเริ่มลดลง จึงคาดว่าจะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ในไม่ช้า และประเมินว่าทางการจีนจะทยอยออกมาตรการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจหลังจากนี้ สำหรับประเด็นค่าเงินนั้น ค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มอ่อนค่าลงตั้งแต่ช่วงต้นปี อาจช่วยลดแรงกดดันสำหรับสินค้าที่มีการแข่งทางด้านราคาสูงได้บ้าง ทั้งนี้ ผู้ส่งออกควรทำประกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนร่วมด้วยเพื่อหลีกเลี่ยงปัจจัยลบในภาวะที่มีความผันผวนสูง
ในภาวะที่มีปัจจัยท้าทายหลายประการในหลายตลาด ความหลากหลายของสินค้าส่งออกไทยที่กระจายในขั้นตอนต่างๆ ทั้งวัตถุดิบ สินค้าขั้นกลาง และสินค้าขั้นสุดท้าย และการกระจายตัวของตลาดส่งออก จะช่วยประคับประคองการส่งออกไทยในระยะนี้ได้ดี เมื่อเทียบกับประเทศที่มีโครงสร้างการส่งออกที่พึ่งพาสินค้าหรือตลาดส่งออกจำกัด และในช่วงที่หลายประเทศให้ความสำคัญด้านความปลอดภัยของสุขอนามัย จึงเป็นโอกาสดีในการขยายตลาดส่งออกสินค้ากลุ่มอาหาร ซึ่งสินค้าไทยมีภาพลักษณ์ดีและได้รับมาตรฐานระดับสากล นอกจากนี้ การรุกตลาดบนแพลตฟอร์มออนไลน์ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งเพื่อส่งเสริมการค้าที่ตอบสนองรูปแบบการดำเนินชีวิตสมัยใหม่ โดยเฉพาะในช่วงที่ผู้บริโภคมีความกังวลและระมัดระวังการออกไปที่สาธารณะมากขึ้น
สำหรับการส่งเสริมการส่งออกในปี 2563 นี้ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์) มีแผนนำคณะกระทรวงพาณิชย์และภาคเอกชนเดินทางไปเปิดตลาด ตามกลยุทธ์รักษาตลาดเดิม เปิดตลาดใหม่ ฟื้นฟูตลาดเก่า อย่างน้อย 18 ประเทศ เช่น แอฟริกาใต้ตะวันออกกลาง รัสเซีย อังกฤษ เยอรมนี และออสเตรเลีย และประเทศอื่นๆ ในเอเชีย อาทิ เวียดนาม กัมพูชา บังกลาเทศ อินเดีย เป็นต้น เพื่อผลักดันการส่งออกและสร้างโอกาสทางการค้าให้กับไทย และสำหรับนโยบายการค้าในระยะยาว กระทรวงพาณิชย์จะเร่งผลักดันการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) ที่อยู่ระหว่างดำเนินการให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว ได้แก่ ไทย-ตุรกี (คาดว่าจะเสร็จสิ้นปี 2563) ไทย-ปากีสถาน และ ไทย-ศรีลังกา และเตรียมความพร้อมสำหรับการเจรจา FTA ในอนาคต เพื่อขยายฐานตลาดส่งออกให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น
โดย สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์
พาณิชย์ เผยส่งออก ม.ค.63 โต 3.35% เป็นบวกครั้งแรกรอบ 6 เดือน
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย- -24 ก.พ. 63 12:06 น.
ก.พาณิชย์ เผยส่งออก ม.ค. 63 ขยายตัว 3.35% พลิกเป็นบวกได้ในรอบ 6 เดือน จากยอดส่งออกเติบโตสูง ด้านนำเข้ายังติดลบ 7.86% ทำขาดดุลการค้า 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนปี 63 เตรียมแถลงตัวเลข 28 ก.พ.นี้ เบื้องต้นคาดยังขยายตัว 0-2%
นางสาวพิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การส่งออกของไทยในเดือนมกราคม 63 มีมูลค่า 19,626 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 3.35% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน กลับมาเป็นบวกครั้งแรกในรอบ 6 เดือน ขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 21,181 ล้านดอลลาร์ ติดลบ 7.86% ด้านดุลการค้าขาดดุล 1,555.7 ล้านดอลลาร์
สำหรับการส่งออกในปี 2563 กระทรวงพาณิชย์จะประกาศตัวเลขอย่างเป็นทางการ เบื้องต้นคาดขยายตัว 0-2% ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 63
“ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์นี้เราจะได้เห็นตัวเลขทางการ แต่เบื้องต้น 0-2% อยู่ในวิสัยที่ทำได้ ขณะที่แนวโน้มการส่งออกกุมภาพันธ์มีโอกาสที่จะติดลบได้ จากสถานการณ์ของไวรัส COVID-19 ที่แพร่ระบาดอยู่ในขณะนี้ ซึ่งปัจจุบันกระทรวงพาณิชย์อยู่ระหว่างติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด รวมถึงหามาตรการดูแลเพิ่มเติมด้วย โดยร่วมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าไทย”นางสาวพิมพ์ชนก กล่าว
สำหรับการส่งออกในเดือนมกราคมที่ผ่านมา ขยายตัวเป็นบวกได้ โดยมีปัจจัยสำคัญจากการส่งออกทองคำที่ขยายตัวสูงตามทิศทางราคาในตลาดโลก รวมถึงการปรับตัวห่วงโซ่การผลิตภายใต้สงครามการค้าในทิศทางที่ดีขึ้น ขณะที่สินค้ากลุ่มน้ำมัน น้ำมันสำเร็จรูป กลับมาส่งออกได้ปกติ หลังจากที่ปิดโรงกลั่นน้ำมันในช่วงปลายปี 2562
“การส่งออกทองคำในเดือนมกราคมที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นถึง 299.6% โดยตลาดกังวลกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส CODIV-19 และการขยายตัวของเศรษฐกิจในปีที่ผ่านมาที่เติบโต 2.3% ต่ำสุดในรอบ 3 ปี ทำให้กระตุ้นการซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้น
ด้านการนำเข้าที่ติดลบเป็นผลจากฐานสูงของการนำเข้าอาวุธเพื่อซ้อมรบในเดือนมกราคมปีก่อน และการนำเข้าทองคำที่ลดลง ทั้งนี้ เมื่อหักทองคำ น้ำมัน และอาวุธ ยุทธปัจจัย การนำเข้าในเดือนมกราคม 2563 หดตัวเล็กน้อยที่ 0.17% อย่างไรก็ตาม การนำเข้าสินค้าทุนขยายตัว 5.8% ในกลุ่มเครื่องจักรกล และส่วนประกอบที่ 18.7% สูงสุดในรอบ 2 ปี
“ในรายตลาด การส่งออกไปตลาดสำคัญมีสัญญาณการฟื้นตัวชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะการส่งออกไป 2 ประเทศ เศรษฐกิจขนาดใหญ่สุดของโลกอย่างสหรัฐ และจีน ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 เช่นเดียวกับ ไต้หวัน และตะวันออกกกลาง มีสัญญาณเติบโตต่อเนื่อง”นางสาวพิมพ์ชนก กล่าว
สำหรับการส่งออกในปีนี้ มีโอกาสที่จะเป็นบวกได้ โดยอยู่ในภาวะที่เข้มแข็งที่จะช่วยรองรับกับความต้องการสินค้าในภูมิภาคนี้ได้ ส่วนผลกระทบจากไวรัส COVID-19 หากสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย และไทยมีการเตรียมความพร้อมล่วงหน้า คาดว่าจะสามารถเข้าไปช่วงชิงตลาดอื่นๆได้ด้วย
“เศรษฐกิจโลกและการส่งออกของไทยยังมีแรงกดดันจากสถานการณ์ไวรัสดังกล่าว ที่ชะลอการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการค้าโลกระยะสั้น-กลาง รวมถึงปัจจัยเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์และราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับต่ำ”นางสาวพิมพ์ชนก กล่าว
ทั้งนี้ จากการที่รัฐบาลจีนดำเนินการแก้ไขสถานการณ์ COVID-19 ได้รวดเร็ว และเป็นรูปธรรม จำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสรายวันในจีนเริ่มลดลง จึงคาดว่าจะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ และประเมินว่าทางการจีนจะทยอยออกมาตรการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจหลังจากนี้
ส่วนสถานการณ์ค่าเงินบาท มีแนวโน้มอ่อนค่าลงตั้งแต่ช่วงต้นปี ช่วยลดแรงกดดันสำหรับสินค้าที่มีการแข่งขันทางด้านราคาได้บ้าง แต่ผู้ส่งออกควรทำประกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนร่วมด้วย เพื่อหลีกเลี่ยงปัจจัยลบในภาวะที่มีความผันผวนสูง
อย่างไรก็ตาม ความหลากหลายของสินค้าไทยที่กระจายในขั้นตอนต่างๆ เช่น วัตถุดิบ สินค้าขั้นกลาง และสินค้าขั้นสุดท้าย และการกระจายตัวของการส่งออก จะช่วยประคับประคองการส่งออกไทยในระยะนี้ได้ดี เมื่อเทียบกับประเทศที่มีโครงสร้างการส่งออกที่พึ่งพาสินค้าหรือตลาดส่งออกจำกัด และในช่วงที่หลายประเทศให้ความสำคัญด้านความปลอดภัยของสุขอนามัย จึงเป็นโอกาสดีในการขยายตลาดส่งออกสินค้ากลุ่มอาหาร ซึ่งสินค้าไทยมีภาพลักษณ์ดีและได้รับมาตรฐานระดับสากล
ด้านการส่งเสริมการส่งออกในปีนี้ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ มีแผนนำคณะทำงานและภาคเอกชนเดินทางไปเปิดตลาด ตามกลยุทธ์รักษาตลาดเดิม เปิดตลาดใหม่ ฟื้นฟูตลาดเก่า อย่างน้อย 18 ประเทศ เช่น แอฟริกาใต้ ตะวันออกกลาง รัสเซีย อังกฤษ เยอรมนี และเป็นเทศอื่นๆ ในเอเชีย เช่น เวียดนาม กัมพูชา บังกลาเทศ อินเดีย เป็นต้น เพื่อผลักดันการส่งออกและสร้างโอกาสทางการค้าให้กับไทย
ส่วนนโยบายการค้าระยะยาว กระทรวงพาณิชย์ จะเร่งผลักดันการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) ที่อยู่ระหว่างการดำเนินการให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว ได้แก่ ไทย-ตุรกี คาดว่าจะแล้วเสร็จสิ้นปี ไทย-ปากีสถาน และ ไทย-ศรีลังกา และเตรียมความพร้อมสำหรับการเจรจา FTA ในอนาคต เพื่อขยายฐายตลาดส่งออกให้ครอลคลุมมากขึ้นด้วย