- Details
- Category: พาณิชย์
- Published: Saturday, 02 November 2019 17:33
- Hits: 11918
พาณิชย์ จับมือจุฬาฯ ชำแหละค่ายา พบโรงพยาบาลยิ่งใหญ่ มีเครือข่ายมาก ยิ่งขายแพง
กรมการค้าภายในจับมือคณะพาณิชย์ศาสตร์และการบัญชี จุฬาฯ วิเคราะห์โครงสร้างต้นทุนราคายาที่โรงพยาบาลเอกชนขาย พบโรงพยาบาลแบบกลุ่มที่มีบริษัทในเครือขายยาแพงกว่าโรงพยาบาลแบบเดี่ยวและแบบมูลนิธิ เล็งศึกษาต่อ หากำไรมาตรฐานที่ควรจะเป็น ก่อนนำมาใช้จัดการ เผยยาที่จำเป็นอย่างยาแก้ปวดลดไข้ พบกำไร 26.58-4,483.34% ยาลดไขมัน กำไร 185.71-11,965.21%
นายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า กรมฯ ได้ร่วมกับคณะพาณิชย์ศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทำการวิเคราะห์โครงสร้างต้นทุนยา ที่โรงพยาบาลเอกชนได้ยื่นราคาซื้อขายมาให้กับกรมฯ ก่อนหน้านี้ โดยพบว่ามีการคิดราคายาที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะกลุ่มโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่มีบริษัทในเครือ ทั้งๆ ที่มีอำนาจในการต่อรองสูงกว่า ต้นทุนในการซื้อยาถูกกว่า แต่ขายในราคาที่แพงกว่าโรงพยาบาลแบบเดี่ยวและแบบมูลนิธิ ที่มีอำนาจต่อรองต่ำ และซื้อยาได้ในต้นทุนที่สูงกว่า แต่ก็สามารถขายในราคาที่ต่ำกว่าได้
ทั้งนี้ กรมฯ จะนำผลศึกษามาวิเคราะห์อีกที และขอให้คณะพาณิชย์ศาสตร์และการบัญชี เข้ามาดูต่อว่ากำไรมาตรฐานที่ควรจะเป็นของยาแต่ละชนิด ควรจะเป็นเท่าใด และจากนั้น ถึงจะมีแนวทางในการดำเนินการต่อ เพราะหากโรงพยาบาลเอกชนยังคิดราคาแพงแบบสุดโต่ง ก็จะต้องเข้าไปจัดการ
ผศ.ดร.สุจิตรา ตุลยาเดชานนท์ อาจารย์ประจำคณะพาณิชย์ศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ผลการศึกษาพบว่า ต้นทุนยาของโรงพยาบาลไม่มีความสัมพันธ์กับขนาดธุรกิจ โดยธุรกิจแบบกลุ่ม ที่มีบริษัทในเครือ ส่วนใหญ่มีการกำหนดราคาขายยาสูง แต่ราคาซื้อต่ำ มีกำไรส่วนเกินสูง ส่วนโรงพยาบาลแบบเดี่ยว กำหนดราคาค่อนข้างต่ำ แต่ซื้อราคาสูง มีกำไรส่วนเกินต่ำกว่าแบบกลุ่ม และยังพบว่าโรงพยาบาลที่ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล และที่ตั้งอยู่ในจังหวัดท่องเที่ยวตั้งราคาขายยาสูงกว่าพื้นที่อื่นๆ
“ตามธรรมชาติของการทำธุรกิจ บริษัทใหญ่ หรือบริษัทที่เป็นกลุ่ม มีบริษัทในเครือมาก จะมีอำนาจต่อรองสูง แล้วซื้อยาได้ในราคาที่ถูกกว่า ทำให้ต้นทุนต่ำ แต่การตั้งราคายากลับสวนทาง มีการตั้งราคาสูงกว่าโรงพยาบาลที่ซื้อยามาในต้นทุนสูง จึงสรุปได้ว่าการตั้งราคายา ไม่สอดคล้องกับต้นทุน คือ ต้นทุนต่ำ แต่กำหนดราคาขายสูง โดยสิ่งที่น่าเป็นห่วง ก็คือ ยาที่มีวอลุ่มการใช้มาก แก้ปวด ลดไข้ พวกนี้ถ้ายิ่งกำไรเยอะ ก็ยิ่งน่าเป็นห่วงสังคม”
นายวรพงษ์ สุธานนท์ หุ้นส่วนสายงานที่ปรึกษา Forensic Services บริษัท ไพร๊ซ์วอเตอร์เฮาส์คูเปอร์ คอนซัลติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งได้เข้ามาช่วยศึกษาและวิเคราะห์ต้นทุนราคายาของโรงพยาบาลเอกชน กล่าวว่า ผลการศึกษาพบว่ามียาเป็นจำนวนมากที่มีต้นทุนการซื้อถูกมาก แต่มีการตั้งราคาสูง และกำไรสูงมาก ทั้งกำไรจากต้นทุน และกำไรส่วนเกิน
ยกตัวอย่าง เช่น ยาแก้ปวดลดไข้ (Tylenal) ต้นทุนเม็ดละ 48 สตางค์ มีราคาขาย 1-22 บาท กำไร 26.58-4,483.34% , ยาลดความดัน (Anapril) ขาย 2-56 บาท กำไร 150-9,100% , ยาลดไขมัน (Bestatin) ขาย 2-61 บาท กำไร 185.71-11,965.21% , ยารักษาลมชัก (Depakine) ขาย 300-1,354 บาท กำไร 26.12-470.01% , ยาฆ่าเชื้อ (Ciprobay) ขาย 1,723-3,655.88 บาท กำไร 64.42-255.81% และยามะเร็ง ขาย 86,500-234,767 บาท กำไร 9.98-188.80%
กรมการค้าภายใน ร่วมกับคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แถลงความคืบหน้าการการวิเคราะห์โครงสร้าง ต้นทุนยา เวชภัณฑ์ บริการรักษาพยาบาล บริการทางการแพทย์ และบริการอื่นของสถานพยาบาล
กรมการค้าภายใน ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ แนวทางการวิเคราะห์โครงสร้างต้นทุนยา เวชภัณฑ์ บริการรักษาพยาบาล บริการทางการแพทย์ และบริการอื่นของสถานพยาบาล ร่วมกับคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2562 วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิเคราะห์กำไรส่วนเกินระหว่างราคาขายและต้นทุนที่เหมาะสมของยา เวชภัณฑ์ ค่าบริการรักษาพยาบาล บริการทางการแพทย์ และบริการอื่นของสถานพยาบาล เพื่อให้เกิดความโปร่งใส เป็นธรรม และแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในด้านการกำหนดราคาได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีอาจารย์จากคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และที่ปรึกษา คือ คุณวรพงษ์ สุธานนท์ หุ้นส่วนสายงานที่ปรึกษา Forensic Services บริษัท ไพร๊ซ์วอเตอร์เฮาส์คูเปอร์ส คอนซัลติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด (PwC) ซึ่งเป็นที่ปรึกษาเกี่ยวกับงานบริการด้านการเงินการธนาคาร ประกันภัย ธุรกิจยา โรงพยาบาล โรงแรม และเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น
การศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการกำหนดราคาขายยาของโรงพยาบาลเอกชน
จากการวิเคราะห์ศึกษาข้อมูลราคาซื้อ (ต้นทุนยา) และราคาขายยาที่โรงพยาบาลเอกชนแจ้งเข้ามาในระบบฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ (Big Data) โดยมีวิธีการวิเคราะห์แบบ Visual Analytics ด้วยการเรียงลำดับของราคาขายและราคาซื้อ จากสูงสุดไปต่ำสุด และจำแนกปัจจัยที่อาจมีผลต่อการกำหนดราคาขายและราคาซื้อ ในเบื้องต้นผลการวิเคราะห์มีภาพรวมไปในทิศทางเดียวกัน ดังนี้
- ปัจจัยกลุ่มธุรกิจ แบ่งเป็น 1) แบบกลุ่ม (ที่มีบริษัทในเครือ) 2) แบบเดี่ยว และปัจจัยประเภทธุรกิจ แบ่งเป็น 1) บริษัทจำกัด 2) บริษัทมหาชนจำกัด 3) มูลนิธิ และ 4) บุคคลธรรมดา พบว่า มีผลต่อการกำหนดราคาขายยาของโรงพยาบาลเอกชน
- โรงพยาบาลแบบกลุ่ม (ที่มีบริษัทในเครือ) ประเภทบริษัทจำกัด พบว่า ส่วนใหญ่มีการกำหนดราคาขายสูง ขณะที่มีราคาซื้อค่อนข้างต่ำ ซึ่งโดยปกติเชื่อได้ว่า มีอำนาจต่อรองสูงและน่าจะมีการจัดซื้อในปริมาณที่มาก ดังนั้น ธุรกิจแบบกลุ่มจะมีอัตรากำไรส่วนเกิน (CM Ratio) สูง
- โรงพยาบาลแบบเดี่ยว ประเภทบริษัทจำกัดและมูลนิธิ พบว่า ส่วนใหญ่มีการกำหนดราคาขายค่อนข้างต่ำ ขณะที่มีราคาซื้อค่อนข้างสูง ซึ่งโดยปกติเชื่อได้ว่า มีอำนาจต่อรองต่ำและจัดซื้อในปริมาณที่น้อย ดังนั้น ธุรกิจแบบเดี่ยวจะมีอัตรากำไรส่วนเกิน (CM Ratio) ต่ำกว่าแบบกลุ่ม
- ปัจจัยแหล่งที่ตั้ง แบ่งเป็น 1) กรุงเทพมหานครและปริมณฑล 2) ภาคกลาง 3) ภาคเหนือ
4) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 5) ภาคตะวันออก 6) ภาคตะวันตก และ 7) ภาคใต้ พบว่า โรงพยาบาลส่วนใหญ่ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมลฑล และพื้นที่ในจังหวัดท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะกำหนดราคาขายสูง
- ปัจจัยมาตรฐาน Joint Commission International : JCI โรงพยาบาลเอกชนอ้างว่าการได้รับมาตรฐาน JCI เป็นต้นทุนของยา ซึ่งจากการศึกษา พบว่า มาตรฐาน JCI ไม่มีผลต่อการกำหนดราคาขายยาของโรงพยาบาลเอกชน ทั้งนี้ ไม่ว่าโรงพยาบาลที่มีราคาขายสูงสุดและต่ำสุด 10 อันดับแรกต่างก็ไม่ได้มาตรฐาน JCI เนื่องจากหาก JCI มีผลต่อการกำหนดราคาโรงพยาบาลที่กำหนดราคาขายสูงควรจะแสดงผลว่าเป็นโรงพยาบาลที่ได้มาตรฐาน JCI
- ปัจจัยขนาดโรงพยาบาล โดยใช้จำนวนเตียงเป็นตัวจำแนก แบ่งเป็น 1) ขนาดเล็ก : 1 - 30 เตียง
2) ขนาดกลาง : 31 - 90 เตียง 3) ขนาดใหญ่ : 91 - 200 เตียง และ 4) ขนาดใหญ่มาก : 201 เตียงขึ้นไป พบว่า ไม่ได้มีผลกระทบที่มีความสัมพันธ์กับการกำหนดราคาแต่อย่างใด
ผลการศึกษา
การวิเคราะห์เชิงคุณภาพ จากการวิเคราะห์โรงพยาบาลเอกชนที่มีราคาขายสูง 10 อันดับแรก และราคาขายต่ำ 10 อันดับแรก สรุปได้ดังนี้
- ปัจจัยที่มีผลต่อการกำหนดราคาขายยาของโรงพยาบาลเอกชนส่วนใหญ่จะเกี่ยวเนื่องกับกลุ่มธุรกิจและ
ประเภทธุรกิจ นอกจากนี้ ปัจจัยแหล่งที่ตั้งก็ส่งผลต่อการกำหนดราคาขายยาด้วย
- ต้นทุนการจัดซื้อยาของโรงพยาบาลไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ แต่การกำหนดราคาขาย
มีความแตกต่างมากตามปัจจัยดังกล่าวข้างต้น
การวิเคราะห์เชิงปริมาณ
- การกำหนดราคาขายของโรงพยาบาลเอกชนแบบกลุ่ม ไม่สอดคล้องกับต้นทุน กล่าวคือ ต้นทุนต่ำ แต่กำหนดราคาขายสูง
ประโยชน์จากการศึกษา
ประโยชน์จากการศึกษาครั้งนี้ทำให้เกิดความโปร่งใส เป็นธรรมในด้านการกำหนดราคาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งทำให้ธุรกิจโรงพยาบาลสามารถดำเนินธุรกิจได้ และประชาชนผู้ใช้บริการสามารถเข้าถึงราคายาที่มีความโปร่งใสและเป็นธรรมได้
ระยะต่อไปจะทำการศึกษาให้ครอบคลุมทุกรหัสยามาตรฐานของไทย (Thai Medicines Terminology : TMT) ตามที่โรงพยาบาลเอกชนแจ้งให้กรมการค้าภายใน
******************************************
กด L Ike - แบ่งปัน เพจเวลา Corehoon-Powerเพื่อติดตามเคล็ดลับข่าวสารเทรนด์และ บทวิเคราะห์ดีๆอัพเดตทุกวันคัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
คลิกบริจาคเว็บสนับสนุน