- Details
- Category: พาณิชย์
- Published: Monday, 23 September 2019 17:48
- Hits: 3670
กรมเจรจาฯ โชว์แผนทำงาน ศึกษาผลดีผลเสีย-รับฟังความเห็น ปูทางฟื้นเจรจาเอฟทีเอไทย-อียู
กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศโชว์แผนทำงาน 2 ด้าน เตรียมความพร้อมฟื้นการเจรจาเอฟทีเอไทย-สหภาพยุโรป มอบสถาบันอนาคตศึกษาเพื่อการพัฒนา ทำการวิจัยผลประโยชน์และผลกระทบ คาดแล้วเสร็จพ.ย.นี้ พร้อมเปิดรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน ประเดิมเวทีใหญ่กลางกรุง ก่อนเดินสายไปยังภาคอื่นๆ ทั่วประเทศ คาดรวบรวมผลเสนอระดับนโยบายตัดสินใจได้ช่วงเดียวกับที่อียูมีคณะกรรมาธิการยุโรปชุดใหม่
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยภายหลังเปิดการสัมมนา “โอกาสและความท้าทายของไทยในการเจรจาความตกลงการค้าเสรีไทย-สหภาพยุโรป” วันที่ 23 ก.ย.2562 ณ โรงแรมอนันตรา สยาม กรุงเทพฯ ว่า การเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นในครั้งนี้ เป็นไปตามนโยบายของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่มอบให้กรมฯ เตรียมการเรื่องการฟื้นการเจรจาเอฟทีเอไทย-สหภาพยุโรป (อียู) ซึ่งกรมฯ ได้วางกรอบในการทำงานไว้ 2 ด้าน คือ การศึกษาวิจัย และการหารือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน
ทั้งนี้ ในด้านการศึกษาวิจัย กรมฯ ได้มอบสถาบันอนาคตศึกษาเพื่อการพัฒนา ทำการศึกษาวิจัย วิเคราะห์ประโยชน์และผลกระทบจากการฟื้นการเจรจาเอฟทีเอไทย-อียู มีกำหนดแล้วเสร็จในเดือนพ.ค.2562 ส่วนการหารือผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย กรมฯ จะให้ความสำคัญกับการรับฟังความเห็นจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ผู้ประกอบการทั้งขนาดใหญ่ ขนาดกลาง ขนาดเล็ก เกษตรกร และภาคประชาสังคม เพื่อให้ได้ข้อมูลความเห็นและมุมมองของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต่างๆ ให้รอบด้านและครบถ้วนมากที่สุด
“ในช่วงเดือนส.ค.2562 ที่ผ่านมา กรมฯ ได้เชิญผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกลุ่มต่างๆ มาหารือไปบ้างแล้ว แต่เป็นการหารือในกลุ่มเล็กๆ ส่วนการจัดสัมมนาในครั้งนี้ ถือเป็นการจัดประชุมกลุ่มใหญ่ ที่เชิญทุกภาคส่วนเข้าร่วมพร้อมกัน และจากนี้ไป กรมฯ มีแผนที่จะเดินสายจัดสัมมนารับฟังความเห็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในภูมิภาคต่างๆ ของไทย ในช่วงเดือนต.ค.-พ.ย.2562 และหลังจากนั้น จะรวบรวมผลการศึกษาและรับฟังความเห็นเสนอระดับนโยบายเพื่อประกอบการพิจารณาตัดสินใจเรี่องการฟื้นการเจรจาเอฟทีเอไทย-อียูต่อไป โดยคาดว่า จะสอดคล้องกับช่วงเวลาที่อียูแต่งตั้งคณะกรรมาธิการยุโรปชุดใหม่ ที่จะตัดสินใจหรือมีนโยบายเรื่องการฟื้นการเจรจาเอฟทีเอกับไทยพอดี”นางอรมนกล่าว
นางอรมน กล่าวว่า อียูถือเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพและอำนาจซื้อสูง ด้วยประชากรกว่า 512 ล้านคน เป็นคู่ค้าสำคัญอันดับ 4 และนักลงทุนอันดับ 2 ของไทย การฟื้นการเจรจาเอฟทีเอไทย-อียู ซึ่งหยุดชะงักไปตั้งแต่ปี 2557 จะช่วยเพิ่มโอกาสทางการค้าการลงทุนของไทย โดยเฉพาะในสินค้าที่ไทยมีศักยภาพ เช่น ยานยนต์และชิ้นส่วน สิ่งทอ ยางและผลิตภัณฑ์ อาหารและสินค้าเกษตรต่างๆ เป็นต้น ท่ามกลางภาวะที่เศรษฐกิจโลกมีความผันผวนและความไม่แน่นอนจากสงครามการค้าในปัจจุบัน รวมทั้งน่าจะช่วยเพิ่มแต้มต่อทางการแข่งขันของไทยที่ปัจจุบันหายไป จากการที่ประเทศอื่นๆ เช่น เวียดนาม สิงคโปร์ และบราซิล เป็นต้น มีเอฟทีเอกับอียูแล้ว แต่ไทยยังไม่มี
อย่างไรก็ตาม เอฟทีเอที่อียูทำกับประเทศต่างๆ มีมาตรฐานสูง ทั้งในส่วนการเปิดตลาดสินค้า บริการและการลงทุน ตลอดจนประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการค้าอื่นๆ เช่น พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ การแข่งขันทางการค้า ทรัพย์สินทางปัญญา การจัดซื้อจัดจ้างของรัฐ เป็นต้น จึงต้องพิจารณาเตรียมความพร้อมและการช่วยเหลือเยียวยาอย่างรอบคอบ หากไทยจะฟื้นการเจรจา
Click Donate Support Web