- Details
- Category: พาณิชย์
- Published: Monday, 21 January 2019 07:09
- Hits: 2479
พาณิชย์ คุย 62 ปีทองมันสำปะหลัง เซ็น MOU4 สมาคมอัพเกรดคุณภาพ
ไทยโพสต์ : สนามบินน้ำ * ‘สนธิรัตน์’ ลั่น 62 ปีทองผู้ปลูกมันสำปะหลังอีกปี มั่นใจราคาทรงตัวอยู่ใน ระดับสูงได้ต่อเนื่อง ผุดมาตร การช่วยลดต้นทุน วอนเกษตรกร ยกระดับป้องกันโรคใบด่าง
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ในปี 2562 นี้ กระทรวงพา ณิชย์จะดำเนินการทุกวิถีทาง เพื่อรักษาระดับราคามันสำปะ หลังในปี 2562 ให้ทรงตัวอยู่ ในระดับสูงต่อไป เพื่อให้เกษตรกร ผู้ปลูกมันสำปะหลังมีรายได้ และมีเป้าหมายผลักดันให้เป็นปีทองต่ออีกปี หลังจากที่ปี 2561 ราคาได้เคยขึ้นไปสูงสุดถึงกิโล กรัม (กก.) ละ 3.04 บาท เมื่อเทียบกับปี 2560 ที่ กก.ละ 1.81 บาท
"ปัจจุบันราคามันสำปะ หลังเชื้อแป้ง 25% เฉลี่ยอยู่ที่กก.ละ 2.81 บาท เป็นราคาที่เกษตรกรพอใจ เพราะมีต้นทุนการผลิตอยู่ที่ประมาณ 1.90 บาท ซึ่งจะพยายามรักษาระดับ ราคาให้อยู่ในระดับนี้ต่อไป โดยกระทรวงมีแผนจะร่วมมือกับผู้ที่เกี่ยวข้องในการทำตลาด และหาตลาดรองรับผลผลิตที่กำลังออกสู่ตลาด แต่เกษตรกรต้องช่วยกันรักษาคุณภาพมาตร ฐาน และช่วยกำจัดโรคใบด่าง ที่กำลังเป็นปัญหาอยู่ในประ เทศคู่แข่ง อย่าให้มาระบาดใน ไทย ถ้าทำได้แบบนี้ ราคาดีแน่" นายสนธิรัตน์กล่าว
นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า กระทรวงยังได้จัดให้มีการลงนามในบันทึกความร่วมมือ (MOU) จำนวน 2 ฉบับ ได้แก่ การรับซื้อมันสำปะหลังราคาที่เป็นธรรม ระหว่างเกษตรกรและโรงงานแป้งมันสำปะหลัง และแนวทางการพัฒนาและยกระดับอุตสาหกรรมมันสำปะ หลังของไทย ระหว่างสมาคมการค้ามันสำปะหลังไทย สมา คมแป้งมันสำปะหลังไทย สมาคม โรงงานผลิตภัณฑ์มันสำปะ หลังไทย และสมาคมโรงงานผู้ผลิตมันสำปะหลังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังให้ได้รับผลตอบแทนจากการจำหน่ายผลผลิตในราคาที่คุ้มกับต้นทุนการผลิต
ส่วนมาตรการช่วยเหลือ เกษตรกรปี 2561/62 นั้น จะให้สินเชื่อสหกรณ์ ดอกเบี้ยต่ำ 1% ต่อปี ระยะเวลา 12 เดือน วงเงินสินเชื่อ 1,500 ล้านบาท เพื่อรวบรวมรับซื้อมันสำปะ หลังจากเกษตรกร และให้สิน เชื่อเกษตรกร ดอกเบี้ยต่ำ 0.5% ต่อเดือน รายละไม่เกิน 20,000 บาท เป้าหมายเกษตรกร 100,000 ราย วงเงินสินเชื่อ 2,000 ล้าน บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายฉุกเฉินในครัวเรือน เพื่อลดปัญหาการก่อหนี้นอกระบบของเกษตรกร.
รมว.พาณิชย์ ตั้งเป้าปีนี้เป็นปีทองของมันสำปะหลัง ประกาศดันราคาต่อเนื่อง
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ กล่าวภายหลังลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการดำเนินการสหกรณ์การเกษตรปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ภายใต้มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรและรักษาเสถียรภาพราคามันสำปะหลังว่า ปีนี้กระทรวงฯ จะทำทุกวิถีทางเพื่อให้เป็นปีทองสำหรับมันสำปะหลัง หลังจากปี 61 ราคาเคยขึ้นไปสูงถึง 3.04 บาท/กก. จากปี 60 อยู่ที่ 1.81 บาท/กก.
ปัจจุบันราคามันสำปะหลังเชื้อแป้ง 25% เฉลี่ยอยู่ที่ 2.81 บาท/กก. เป็นราคาที่เกษตรกรพอใจ เพราะมีต้นทุนการผลิตอยู่ที่ประมาณ 1.90 บาท/กก.
รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า จะพยายามรักษาระดับราคาให้อยู่ในระดับนี้ต่อไป โดยกระทรวงฯ มีแผนจะร่วมมือกับผู้ที่เกี่ยวข้องในการทำตลาดและหาตลาดรองรับผลผลิต แต่พี่น้องเกษตรกรต้องร่วมมือกับกระทรวงฯ ต้องช่วยกันรักษาคุณภาพมาตรฐาน และช่วยกำจัดโรคใบด่าง ที่กำลังเป็นปัญหาอยู่ในประเทศคู่แข่ง อย่าให้มาระบาดในไทย ถ้าทำได้แบบนี้ ราคาดีแน่นอน
นอกจากนี้ กระทรวงฯ ได้จัดให้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) 2 ฉบับ ได้แก่ การรับซื้อมันสำปะหลังราคาที่เป็นธรรม ระหว่างเกษตรกรและโรงงานแป้งมันสำปะหลัง และแนวทางการพัฒนาและยกระดับอุตสาหกรรมมันสำปะหลังของไทย ระหว่างสมาคมการค้ามันสำปะหลังไทย สมาคมแป้งมันสำปะหลังไทย สมาคมโรงงานผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังไทย และสมาคมโรงงานผู้ผลิตมันสำปะหลังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อช่วยเหลือผู้ปลูกมันสำปะหลังให้ได้รับผลตอบแทนจากการจำหน่ายผลผลิตในราคาที่คุ้มกับต้นทุนการผลิต
ส่วนมาตรการช่วยเหลือผู้ปลูกมันสำปะหลังปี 61/62 นั้น รัฐบาลได้กำหนดมาตรการดูแลทั้งระบบตั้งแต่การผลิตจนถึงการตลาด โดยในด้านสินเชื่อ จะให้สินเชื่อสหกรณ์ ดอกเบี้ยต่ำ 1% ต่อปี ระยะเวลา 12 เดือน วงเงินสินเชื่อ 1,500 ล้านบาท เพื่อรับซื้อมันสำปะหลังจากเกษตรกร และให้สินเชื่อเกษตรกร ดอกเบี้ยต่ำ 0.5% ต่อเดือน รายละไม่เกิน 20,000 บาท เป้าหมายเกษตรกร 100,000 ราย วงเงินสินเชื่อ 2,000 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายฉุกเฉินในครัวเรือน ลดปัญหาการก่อหนี้นอกระบบ
นอกจากนี้ ยังสนับสนุนเงินทุนเพาะปลูกระบบน้ำหยดรายละไม่เกิน 230,000 บาท ดอกเบี้ยต่ำ 4% ต่อปี วงเงินสินเชื่อ 1,150 ล้านบาท , สนับสนุนเครื่องสับมันขนาดเล็ก 740 เครื่อง , เชื่อมโยงตลาด ระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายทั้งในและต่างประเทศ , ยกระดับคุณภาพมันสำปะหลัง ให้ตรงกับความต้องการของตลาด และกำกับดูแลการนำเข้ามันสำปะหลังอย่างเข้มงวด เพื่อไม่ให้ลักลอบนำเข้า รวมทั้งป้องกันโรคพืช เช่น โรคไวรัสใบด่างที่อาจมีการแพร่ระบาดมาจากประเทศเพื่อนบ้าน
อินโฟเควสท์