- Details
- Category: พาณิชย์
- Published: Sunday, 14 October 2018 10:04
- Hits: 8268
พาณิชย์ คาดส่งออกปีนี้โตได้ถึง 9%-เตรียมประชุมฑูตวางนโยบายปี62
พาณิชย์ เตรียมประชุมฑูตพาณิชย์จาก 56 สำนักงานทั่วโลก - ผู้บริหารกระทรวง 16 ต.ค.นี้ เตรียมประเมินเป้าส่งออกปีนี้ที่คาดโตได้ถึง 9% พร้อมวางแผนการขยายการค้า - ปัจจัยเสี่ยงที่จะกระทบส่งออกในปีหน้า ดัน นโยบาย Local to Global สั่งลุยอีคอมเมิร์ซ ธุรกิจบริการ และแบรนด์ไทย
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ในวันที่ 16 ต.ค.นี้ จะประชุมกำหนดมอบนโยบายผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ (สคต.) หรือทูตพาณิชย์จาก 56 สำนักงานทั่วโลก และผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ โดยวาระสำคัญ จะมีการประเมินแนวโน้มการส่งออกในช่วงที่เหลือของปีนี้ว่ามีทิศทางอย่างไร โดยมั่นใจว่าเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้ที่ 8% ทำได้แน่นอน และน่าจะทำได้ถึง 9% ส่วนจะมากกว่านี้หรือไม่ต้องประเมินอีกครั้ง และยังจะประเมินแนวโน้มและทิศทางการส่งออกปี 2562 ว่าไทยจะมีโอกาสในการผลักดันการส่งออกได้มากน้อยแค่ไหน ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจคู่ค้าในปัจจุบัน และให้ประเมินผลกระทบทั้งจากปัญหาสงครามการค้า ราคาน้ำมัน และอัตราแลกเปลี่ยน โดยจะเปิดโอกาสให้ผู้แทนระดับสูงจากภาคเอกชนเข้ามาร่วมให้ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะด้วย
นอกจากนี้ จะเตรียมการประชุมประเมินสถานการณ์และวางแผนขยายการค้าการลงทุนไทยในต่างประเทศ โดยมี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ในวันที่ 18 ต.ค. 61 ซึ่งจะรับฟังการชี้แจงมิติใหม่ของ สคต และแผนผลักดันการค้าเชิงรุก ที่จะนำมาใช้ในการดำเนินการสำหรับปี 2562 โดยเรียกได้ว่าเป็นการขับเคลื่อนธุรกิจและการค้าระหว่างประเทศโฉมใหม่ สอดรับยุทธศาสตร์ชาติอย่างชัดเจน จับต้องได้ ผ่านการรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐและเอกชน และจะร่วมกันทำงานในรูปแบบประชารัฐ
โดยในการขับเคลื่อนการส่งออกในปี 2562 กระทรวงฯ มีเป้าหมายในการผลักดันผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก (SMEs) ผู้ประกอบการท้องถิ่น เกษตรกรรุ่นใหม่ ให้มีโอกาสส่งออกได้เพิ่มขึ้น ภายใต้นโยบาย Local to Global โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ น.ส. บรรจงจิตต์ อังศุสิงห์ อธิบดี ขานรับนโยบายดังกล่าว พร้อมลงพื้นที่เข้าไปช่วยเหลือให้คำแนะนำในการผลิต การพัฒนาสินค้า การเพิ่มความรู้ด้านการส่งออก การทำตลาดจนสามารถส่งออกได้ ขณะเดียวกันจะเร่งพัฒนาช่องทางการค้าออนไลน์ โดยใช้กลไกของ Thaitrade.com เป็นช่องทางการเปิดตัวสินค้าไทยออกสู่ตลาดโลก ซึ่งจะเพิ่มจำนวนสินค้าจาก SMEs ให้เข้ามาจำหน่ายผ่านเว็บไซต์เพิ่มขึ้น และยังมีแผนที่จะร่วมมือกับพันธมิตรทางการค้าออนไลน์อื่นๆ ในการผลักดันการจำหน่ายสินค้าไทยออกสู่ตลาดโลก ได้แก่ ตลาดอเมริกา Amazon และ e-Bay , ตลาดจีน Alibaba.com , Tmall.com , Tmall.hk , 1688.com , Ali e-Auction และHKTDC.com , ตลาดเกาหลีใต้ TradeKorea.com และ Coupang.com , ตลาดแอฟริกา Gosoko , ตลาดอาเซียน ShopJJ.co (สิงคโปร์) , Bagantrade.com (เมียนมา) และตลาดอเมริกาใต้ B2Brazil (บราซิล) เป็นต้น และยังจะเชื่อมโยงในด้านการชำระเงิน โลจิสติกส์ และการตลาดดิจิทัล ผ่าน Google และ Facebook ด้วย
กระทรวงฯ ยังมีแผนที่จะขับเคลื่อนธุรกิจบริการที่มีความพร้อมในการประกอบธุรกิจระหว่างประเทศ เช่น บริการด้านสุขภาพโดยเฉพาะธุรกิจผู้สูงอายุ โรงพยาบาล สปา ร้านอาหาร มีเป้าหมายจะผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลาง Wellness ของเอเซีย บริการด้านดิจิทัลคอนเท็นต์ เช่น ภาพยนตร์ สารคดี เกมส์ รวมถึงด้านบริหารจัดการโรงแรม ศูนย์การค้า รับเหมาก่อสร้าง ที่ปัจจุบันมีการขยายตลาดออกไปยังต่างประเทศได้เพิ่มขึ้น โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศพยายามผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลาง outsource และผู้นำด้าน IP ของเอเชีย และบริการด้านโลจิสติกที่พยายามผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางของอาเซียน รวมถึงบริการที่เกี่ยวเนื่องกับภาคการท่องเที่ยว ซึ่งสำหรับธุรกิจบริการที่จะดำเนินการในประเทศ จะส่งเสริมให้ผู้ประกอบการยกระดับมาตรฐานการให้บริการและการประกอบธุรกิจ โดยร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตรต่างๆ อาทิ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงดิจิตัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังผลักดันให้เกิดการขยายตัวของอีคอมเมิร์ซโดยร่วมมือกับพันธมิตรของประเทศต่างๆ อีกทั้ง จะเน้นการผลักดันและสร้างแบรนด์ไทย หรือ Thailand’s Brand โดยจะเร่งประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างภาพลักษณ์สินค้าไทยให้เป็นที่รู้จักเพิ่มมากขึ้น อันจะส่งผลให้มีการส่งออกได้เพิ่มขึ้น ส่วนการเจาะและขยายตลาด จะให้ความสำคัญกับการเจาะตลาดใหม่ ตลาดเมืองรอง และตลาดเฉพาะ โดยในการจัดทำแผนจะต้องมีความชัดเจนในแต่ละตลาดว่าไทยจะเจาะสินค้าอะไร ช่องทางไหน กลุ่มผู้บริโภคเป็นอย่างไร โอกาสเป็นยังไง ใครเป็นคู่แข่ง ซึ่งจะต้องมีความชัดเจนหมด ไม่ใช่แค่มาระบุเป้าหมายว่าตลาดนั้น จะโตเท่านั้นเท่านี้ แต่ต้องมีกลยุทธ์และวิธีการที่จะผลักดันให้การส่งออกเติบโตด้วย ขณะที่ตลาดเฉพาะ เช่น สินค้าฮาลาล ที่ถือเป็นสินค้ากลุ่มที่มีโอกาส จากการขยายตัวของกลุ่มผู้บริโภคชาวมุสลิม ซึ่งต้องมีแผนเจาะตลาดให้ชัดเจนว่าไทยจะเจาะยังไง ประเทศไหนบ้าง ทั้งในอาเซียน จีน ตะวันออกกลาง สหรัฐฯ และประเทศที่มีชาวมุสลิมอาศัยอยู่ ซึ่งจะต้องดูถึงกลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มซุปเปอร์ริช กลุ่มสัตว์เลี้ยง กลุ่มรักสิ่งแวดล้อม เป็นต้น
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย