- Details
- Category: พาณิชย์
- Published: Sunday, 23 September 2018 00:18
- Hits: 7603
พาณิชย์ เผยส่งออก ส.ค.61โต 6.68% เพิ่มเป้าทั้งปีเป็น 9%
พาณิชย์เผยส่งออก ส.ค.โต 6.68% มูลค่าเฉียด 2.28 หมื่นลบ.สูงสุดเป็นประวัติการณ์ รับศก.คู่ค้าสดใส สินค้ารถยนต์ - อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องสำอาง ฮ็อตฮิต พร้อมเพิ่มเป้าหมายทั้งปี 61 โตถึง 9% จากเดิมคาด 8% ด้านสงครามการค้าพร้อมจับตาใกล้ชิด
นางสาวพิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยในงานแถลงข่าวตัวเลขส่งออก - นำเข้า ว่า การส่งออกของไทยในเดือนสิงหาคม 2561 มีมูลค่า 22,794 ล้านดอลลาร์ หรือขยายตัว 6.68% เติบโตต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 18 และถือเป็นมูลค่าการส่งออกที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่ 8 เดือนแรกของการส่งออกมีมูลค่า 169,030 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 10.03% สูงสุดในรอบ 7 ปี ด้านการนำเข้าในเดือนสิงหาคมมีมูลค่า 23,383 ล้านดอลลาร์ โต 22.8% และ 8 เดือนมีมูลค่า 166,679 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 15.9% ส่งผลให้ดุลการค้าในเดือนสิงหาคมขาดุล 558.1 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ 8 เดือน เกินดุล 2,351 ล้านดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม การส่งออกที่ขยายตัวดีต่อเนื่อง ส่งผลให้ทั้งปีมั่นใจว่าส่งออกจะเติบโตได้ถึง 9% สูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ที่ 8% แน่นอน
ทั้งนี้ การส่งออกขยายตัวในระดับสูงในภูมิภาคอาเซียน และเอเชียใต้ นอกจากนี้ตลาดส่งออกหลักและตลาดศักยภาพสูงอื่นๆยังมีแนวโน้มขยายตัวดี สำหรับการส่งออกสินค้ากลุ่มอุตสาหกรรมขยายตัว 5.8% ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 18 โดยสินค้าที่ขยายตัวในระดับสูง คือ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องสำอาง สบู่ และผลิตภัณฑ์รักษาผิว เป็นต้น ด้านอุตสาหกรรมเกษตร ขยายตัว 4.1% โดยสินค้าที่ขยายตัวดี คือ ผัก ผลไม้สด แช่แข็ง กระป๋องและแปรรรูป เป็นต้น
ด้านสงครามการค้ามองว่า ยังเป็นปัจจัยที่ต้องติดตามต่อเนื่อง โดยมองว่าไทยอาจจะได้รับผลกระทบจากสินค้าในบางประเภทที่อยู่ในกลุ่มสินค้าเรียกเก็บภาษีเพิ่มจากสหรัฐ โดยกระทรวงพาณิชย์จะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป ขณะที่สถานการณ์อัตราแลกเปลี่ยน ยอมรับว่า ในเดือนสิงหาคมค่าเงินบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้นจากช่วงที่ผ่านมา ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังคงติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ด้านผู้ประกอบการนำเข้าและส่งออก นอกจากการทำประกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนแล้ว ยังต้องการให้ผู้ประกอบการซื้อขายในสกุลอื่นๆแทนสกุลดอลลาร์
นางสาวพิมพ์ชนก กล่าวว่า ปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญต่อการส่งออกในช่วงที่เหลือของปีนี้ คือ เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าที่ยังเติบโตดี โดยเศรษฐกิจสหรัฐและจีน ที่มีสัญญาณขยายตัวต่อเนื่องทั้งภาคการผลิตและการบริโภคที่ขยายตัวแข็งแกร่ง รวมทั้งการส่งออกของจีนยังขยายตัวได้ดี สะท้อนจากเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา การส่งออกไปจีนยังขยายตัว 2.3% ขณะที่เศรษฐกิจกลุ่มประเทศยูโรโซนและญี่ปุ่นยังขยายตัวได้ดี แม้มีความกังวลในประเด็นการคลังและการเงินอยู่บ้าง ด้านสถานการณ์การเงินในประเทศเกิดใหม่ อาจสร้างความกังวลต่อตลาดในระยะสั้น แต่ในหลายประเทศยังมีพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง
อย่างไรก็ตาม แม้การส่งออกจะเผชิญความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้า แต่ศักยภาพของไทยและการกระจายตัวไปสู่ตลาดใหม่ๆ เชื่อว่าจะช่วยลดผลกระทบดังกล่าวได้ และสนับสนุนให้การส่งออกของไทยเติบโตได้มากกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 8% อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการควรทำประกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน เพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนของค่าเงินบาท และเพื่อรักษารายได้การส่งออกในรูปเงินบาทให้เหมาะสม
“ปัจจัยเสี่ยงของการส่งออกหลังจากนี้ คงต้องจับตาปัจจัยจากภายนอกเป็นหลัก เนื่องจากปัจจัยภายในประเทศส่วนใหญ่เป็นปัจจัยเชิงบวกมากกว่าปัจจัยเชิงลบ ทั้งเศรษฐกิจที่ขยายตัวดีต่อเนื่อง ความเชื่อมั่นทางการเมืองที่เริ่มมีสัญญาณชัดเจนในเรื่องการเลือกตั้งที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปี 2562”นางสาวพิมพ์ชนก กล่าว
พาณิชย์ เผย ส.ค.61 ส่งออกโต 6.68% จากตลาดคาดโต 4.5-4.75% มูลค่า 22,794 ล้านเหรียญฯสูงสุดเป็นประวัติการณ์
สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ แถลงตัวเลขการค้าระหว่างประเทศของไทยในเดือน ส.ค.61 ระบุว่า การส่งออกมีมูลค่า 22,794.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัว 6.68% สูงกว่าตลาดคาดว่าจะขยายตัว 4.5-4.75% ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า 23,382.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัว 22.8% ส่งผลให้ดุลการค้าขาดดุล 588 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
ทั้งนี้ มูลค่าส่งออกในเดือน ส.ค.61 ที่ 22,794 ล้านเหรียญฯ ถือว่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์
สำหรับ การส่งออกในช่วง 8 เดือนแรกปี 61 (ม.ค.-ส.ค.61) มีมูลค่า 169,030.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัว 10.03% ด้านการนำเข้ามีมูลค่า 166,678.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัว 15.89% ส่งผลให้ดุลการค้าเกินดุล 2,351 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
น.ส.พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการ สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า การส่งออกของไทยในเดือนส.ค.61 ขยายตัวได้ 6.68% เป็นการขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 18 ที่มูลค่า 22,794 ล้านดอลลาร์ คิดเป็นมูลค่าการส่งออกที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยการส่งออกไปยังตลาดอาเซียน เอเชียใต้ และกลุ่ม CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม) สามารถขยายตัวได้ในระดับสูง ในขณะที่การส่งออกไปยังตลาดหลัก เช่น สหรัฐฯ ในเดือนนี้กลับมาเป็นบวกเล็กน้อยที่ 0.6% จากเดือนก่อนที่ติดลบ, ตลาดยุโรป ลดลง 4.3%, ตลาดจีน ขยายตัว 2.3% และตลาดญี่ปุ่น ขยายตัว 14.6%
สำหรับการส่งออกสินค้าในกลุ่มอุตสาหกรรม ขยายตัว 5.8% ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 18 โดยสินค้าที่ขยายตัวในระดับสูง ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องสำอาง สบู่ ผลิตภัณฑ์รักษาผิว เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ ขณะที่การส่งออกสินค้ากลุ่มเกษตรและอตุสาหกรรมเกษตร ขยายตัว 4.1% โดยสินค้าที่ขยายตัวได้ดี ได้แก่ ผัก ผลไม้สดแช่แข็ง กระป๋องและแปรรูป ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง เครื่องดื่ม และข้าว
"ตอนนี้ตลาดเอเชียถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพ และเป็นตลาดใหญ่ของไทย แนวโน้มนี้ก็จะขยายไปมากขึ้นในปีถัดๆ ไป ดังนั้นกระทรวงพาณิชย์จะต้องเร่งขยายตลาด รวมทั้งจัดทำกลยุทธ์ในการขยายตลาดเอเชียให้มากขึ้น ซึ่งยุทธศาสตร์การค้าการส่งออกในเอเชียนั้น จะต้องมองให้เป็นภาพเดียวกัน" น.ส.พิมพ์ชนกกล่าว
อย่างไรก็ดี สำหรับการนำเข้าในเดือน ส.ค.ที่ขยายตัวสูงถึง 22.8% คิดเป็นมูลค่า 23,382 ล้านดอลลาร์นั้น เป็นผลจากการนำเข้าสินค้าในกลุ่มน้ำมันเชื้อเพลิง เพิ่มขึ้น 37.9% และการนำเข้าทองคำที่เพิ่มขึ้นอันเนื่องมาจากในช่วงที่ผ่านมาราคาทองคำในตลาดโลกปรับตัวลดลง ซึ่งหากหักการนำเข้าในกลุ่มน้ำมันเชื้อเพลิง และทองคำแล้ว การนำเข้าในเดือน ส.ค.จะขยายตัวเพียง 7% เท่านั้น
น.ส.พิมพ์ชนก ยังกล่าวถึงแนวโน้มการส่งออกในปี 61 ว่ามีความเป็นไปได้มากที่จะขยายตัวได้ถึง 9% ที่มูลค่าประมาณ 2.57 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่กระทรวงพาณิชย์ตั้งไว้ทั้งปีที่ 8% เนื่องจากการส่งออกยังมีสัญญาณเป็นบวก เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจในภูมิภาคต่างๆ ยังขยายตัวต่อเนื่องจากปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ดัชนีคาดการณ์ภาวะธุรกิจส่งออก และดัชนีคาดการณ์ความสามารถในการแข่งขัน ไตรมาส 4/2561 ยังสูงกว่าระดับปกติที่ 50 ซึ่งสะท้อนว่าผู้ส่งออกมีความเชื่อมั่นว่าการส่งออกของไทยจะยังขยายตัว แม้จะมีความกังวลต่อเสถียรภาพนโยบายการค้าของประเทศมหาอำนาจ และความผันผวนจากอัตราแลกเปลี่ยนอยู่บ้าง ซึ่งการส่งออกของไทยที่กระจายตัวไปยังตลาดใหม่ๆ และมีศักยภาพในการขยายตลาดที่มากขึ้นในอนาคต จะช่วยลดทอนความเสี่ยง และผลกระทบจากปัจจัยดังกล่าวลงได้
"เป้า 8% เป็นไปได้แน่นอน ซึ่งทั้งปีอาจโตได้ถึง 9% ไม่น่ามีปัญหา....ในภาพรวมเรามั่นใจว่าการส่งออกยังไปได้ดี เศรษฐกิจข้างในของไทยรองรับการเปลี่ยนแปลงของภายนอกได้ดีในระดับหนึ่ง ซึ่งจากตัวดัชนีชี้วัดต่างๆ ของไทยถือว่าอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง" ผู้อำนวยการ สนค.ระบุ
ส่วนสถานการณ์เงินบาทที่กลับมาแข็งค่าขึ้นนั้น มองว่าเป็นผลจากที่นักลงทุนต่างประเทศมีความเชื่อมั่นต่อพื้นฐานเศรษฐกิจไทย จึงนำเงินเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น และจากที่ได้มีการหารือกับนักลงทุนต่างประเทศในหลายบริษัท เช่น จีน สหรัฐ และสหภาพยุโรป ได้เริ่มหันมาสนใจการลงทุนในไทยมากขึ้น โดยมองว่าประเทศไทยมีเสถียรภาพมากกว่าประเทศอื่นๆ ประกอบกับนโยบายของรัฐบาลที่มีเป้าหมายอุตสาหกรรมชัดเจนที่จะดึงดูดการลงทุนของต่างชาติเข้ามาในเขตพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) และที่สำคัญคือโรดแมปการเลือกตั้งที่ชัดเจน จึงทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจและนำเงินเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น
"ปัจจัยภายในประเทศคงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แต่ที่ห่วงคือปัจจัยต่างประเทศ เรื่องความไม่มีเสถียรภาพในระดับมหภาค และเงินบาทที่แข็งค่า ซึ่งก็อาจกระทบต่อรายได้การส่งออกสินค้าในกลุ่มเกษตร และอาหาร ทาง สนค.จึงอยากให้ผู้ประกอบการใช้เงินสกุลอื่นๆ ในการทำการค้าระหว่างประเทศที่ไม่ใช่ดอลลาร์สหรัฐบ้าง เช่น เงินหยวน หรือการใช้สกุลเงินบาทกับกลุ่ม CLMV รวมทั้งทำประกันความเสี่ยงเพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนของค่าเงินบาทจากปัจจัยภายนอกด้วย" ผู้อำนวยการ สนค.ระบุ