WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

TNSCกณญภค ตนตพพฒนพงศสภาผู้ส่งออก ปรับเป้าปีนี้เป็นโต 9% จากเดิมคาด 8% หลังก.ค.ขยายตัวต่อเนื่อง แต่เฝ้าระวังปัจจัยเสี่ยงทางการค้า

     นางสาวกัณญภัค ตันติพิพัฒนพงศ์ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เปิดเผยว่า สภาผู้ส่งออกปรับเป้าหมายการส่งออกทั้งปีเติบโต 9% จากก่อนหน้านี้คาดโตได้ 8% หลังการส่งออกเดือนก.ค. 61 มีมูลค่า 20,424 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัวต่อเนื่องในระดับสูงเป็นเดือนที่ 17 ที่ 8.3% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน (YoY)

      "การส่งออกของไทยในเดือนก.ค.61 รายตลาดส่วนใหญ่ยังขยายตัวได้ดีโดยการส่งออกไป ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป ขยายตัวเร่งขึ้นจากเดือนก่อนหน้า อีกทั้งตลาดศักยภาพสูงโดยเฉพาะตลาดอินเดีย อาเซียน และ CLMV ยังสามารถรักษาการเติบโตในระดับ 2 หลักได้อย่างต่อเนื่อง ยกเว้น ตลาดสหรัฐอเมริกา ที่หดตัว 1.9% และตลาดตะวันออกกลาง หดตัว 9.4% เป็นการหดตัวต่อเนื่อง 4 เดือนติดต่อกัน ในขณะที่ยังคงมีความกังวลจากแรงกดดันจากสงครามการค้าอย่างต่อเนื่องซึ่งอาจการส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน"

      ขณะที่ ความเสี่ยงที่อาจเป็นอุปสรรคสำคัญประกอบด้วย 1) ค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น จากการไหลกลับเข้ามาของเงินทุนต่างประเทศในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ (Emerging Market) ส่วนหนึ่งเป็นผลจากวิกฤติค่าเงินตุรกี สถานการณ์ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าและแนวโน้มที่จะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย ที่จะดึงดูดเม็ดเงินนักลงทุนเข้ามาในประเทศทำให้เงินบาทแข็ง และกระทบมูลค่าการส่งออกในรูปเงินบาท 2) มาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ภายใต้กฎหมายการค้ามาตรา 201 และ 232 ยังคงส่งผลกระทบต่อยอดการส่งออกเครื่องซักผ้า แผงโซลาร์เซล เหล็ก ทั้งนี้ สถานการณ์ยังไม่แน่นอนจากการขึ้นภาษีตอบโต้ หากแต่ภาครัฐและผู้ประกอบการต้องติดตามสถานการณ์ที่อาจจะเป็นโอกาสอย่างใกล้ชิด ในขณะเดียวกันต้องระวังสินค้าจากสหรัฐฯ ที่จะไหลเข้าไทย ทั้งถั่วเหลือง ข้าวสาลี แต่ในภาพรวมไม่ได้ส่งผลกระทบด้านลบกับการส่งออกไทยมากนัก

       3) ปัญหามาตรการคว่ำบาตรอิหร่านของสหรัฐ ทำให้ทิศทางราคาน้ำมันดิบปรับขึ้น ราคาน้ำมันดิบปิดตลาดปรับตัวสูงขึ้นกว่า 3% แตะระดับ 75 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตและต้นทุนการขนส่งสินค้าปรับสูงขึ้น กระทบต่อความสามารถในการบริโภคของอุปสงค์ภายในประเทศและผลกำไรของผู้ประกอบการในทางอ้อม 4) ราคาสินค้าเกษตรและประมงบางรายการ ที่ยังคงเผชิญสภาวะตกต่ำ โดยเฉพาะยางพารา (อุปทานล้นตลาด)ข้าว มันสำปะหลัง (จากสภาพอากาศส่งผลให้มีความชื้นสูง) กุ้ง (จากการขาดแคลนวัตถุดิบ)

       5) ปัญหาด้านโลจิสติกส์ อาทิ ปัญหาความแออัดภายในท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อต้นทุนโลจิสติกส์และกฎระเบียบที่ไม่เอื้ออำนวยความสะดวกในการส่งออก 6) สหรัฐอเมริกา เตรียมทบทวนการให้สิทธิ GSP ในช่วงเดือนตุลาคมนี้ กับ 25 ประเทศในภูมิภาคเอเซียแปซิฟิก รวมถึงไทย ที่คาดว่าจะมีการปรับอัตราภาษีการนำเข้าจะเพิ่มขึ้น 10% ในขณะที่ จีน ที่ถูกปรับขึ้นอัตราภาษีที่ 25%

       7) วิกฤตภาวะเงินเฟ้อประเทศเวเนซุเอลา กว่า 82,766% และการอพยพของประชากร การเพิ่มอัตราค่าแรงและการเปลี่ยนสกุลเงินที่อาจทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อที่หนักขึ้น อย่างไรก็ตามการค้าขายระหว่างไทยและเวเนซุเอลา (7 เดือนที่ผ่านมา) ไทยมีมูลค่าการค้า 11.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จากการนำเข้า 5.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ มีสัดส่วน 0.0040% ของมูลค่าการนำเข้าทั้งหมด และส่งออก 6.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สัดส่วน 0.0042% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด และ 8) มาตรการกีดกันการค้าจากสหรัฐฯ ขึ้นภาษีเหล็กและอลูมิเนียม 50% ส่งผลให้นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจตุรกีและเกิดวิกฤตการค่าเงินตุรกีอ่อนค่ารุนแรง สะท้อนถึงภาระหนี้ต่างประเทศที่สูงขึ้นและจากความไม่มีเสถียรภาพของค่าเงินจะทำให้กลุ่มธนาคารของยุโรปในฐานะเจ้าหนี้ได้รับผลกระทบที่ลุกลามเป็นวงกว้าง และกระทบภาคการส่งออกของตุรกีโดยตรง ผู้ประกอบการไทยต้องระมัดระวังเรื่องการค้าขายกับตุรกีรวมถึงเทอมการชำระเงิน

    สำหรับ ข้อเสนอแนะที่สำคัญของสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย ประกอบด้วย 1) ผู้ประกอบการส่งออก รวมถึง SME ควรสร้างความเข้าใจเตรียมรับมือและพิจารณาการใช้เครื่องมือทางการเงินเพื่อประกันความเสี่ยงทางอัตราแลกเปลี่ยน เช่น Local Currencies, การเปิดบัญชี Foreign Currencies Deposit: FCD 2) กระจายความเสี่ยงอันจะเกิดจากสงครามทางการค้า โดยการเจาะตลาดคู่ค้าใหม่ๆ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบโครงสร้างต้นทุนสินค้าและวัตถุดิบในช่วงที่ค่าเงินมีความผันผวนและการตอบโต้ของมหาอำนาจทางการค้าใน Trade war 3) ส่งเสริมการสิทธิประโยชน์ภายใต้กรอบ FTA อื่นๆ เพื่อทดแทนความเสี่ยงรายอุตสาหกรรมที่เกิดขึ้นจากสงครามการค้าและกระทบผู้ส่งออกในระยะสั้น รวมถึงเร่งผลักดันการเจรจาการค้าเสรีใหม่ CPTPP, RCEP, EU, Pakistan, Turkey, Bangladesh และกรอบความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจที่อยู่ระหว่างสรุปการเจรจาเพิ่มอำนาจการต่อรองทางการค้าในระยะยาว

      4) ส่งเสริมการค้าแบบ e-Commerce B2B Cross Border ให้ครอบคลุมทุกกลุ่มสินค้าและกลุ่ม SME / Startup ทั้งนี้ ควรติดตาม, เฝ้าระวัง และควบคุม มาตรฐานสินค้าและกลไกการกำหนดราคาสินค้าส่งออกที่อาจส่งผลกระทบต่อสินค้าที่ขายในประเทศ จากธุรกิจข้ามชาติ (e-Commerce)

      5) ภาครัฐควรเร่งรัดแก้ไขปัญหาด้านโลจิสติกส์ อาทิ เร่งรัดการเพิ่มประสิทธิภาพการยกขนตู้สินค้าภายในท่าเรือแหลมฉบังและเชื่อมต่อการขนส่งระบบรางและ ICD นอกท่าเรือเพื่อลดแถวคอยของรถบรรทุกภายในท่าเรือ, ส่งเสริมให้มีอุตสาหกรรมการซ่อมตู้คอนเทนเนอร์ภายในประเทศ เพื่อเพิ่มปริมาณและยกระดับตู้สินค้าเพื่อการส่งออกให้เพียงพอและคุณภาพตรงต่อความต้องการ, แก้ไขและปรับปรุงประกาศและกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการค้าระหว่างประเทศ, กำหนดให้บริการที่เกี่ยวเนื่องกับการขนส่งสินค้าทางทะเลระหว่างประเทศในส่วนของต้นทุนภายในประเทศ เป็นบริการควบคุมภายใต้ พระราชบัญญัติราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 เป็นต้น และผลักดันการดำเนินงานด้านการอำนวยความสะดวกทางการค้า (Trade Facilitation Agreement) ที่สอดคล้องกับแนวทางตามกรอบของ WTO เพื่อช่วยส่งเสริมการค้าและการส่งออก

       ประธาน สรท.กล่าวว่า เป็นห่วงผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) ในเรื่องการบริหารความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน โดยได้กำชับให้ดูแลเรื่องนี้เป็นพิเศษ ขณะเดียวกันคงต้องเดินหน้าขยายตลาดใหม่เพิ่มเติมเพื่อลดความเสี่ยง ตลอดจนการทำตลาดในรูปแบบอีคอมเมิร์ชเพิ่มมากขึ้นด้วย

       "คาดการณ์ส่งออกในปี 62 น่าจะบอกได้ในการแถลงข่าวเดือนหน้า แต่อาจไม่ก้าวกระโดดเหมือนในปีนี้ โดยเฉพาะเรื่องสินค้าเกษตรที่มีปัญหาภัยแล้งเมื่อปีก่อน" ประธาน สรท.ระบุ

       ส่วนสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศนั้น ขณะนี้ยังไม่มีอะไรเป็นกังวลหรือเป็นน่าเป็นห่วง เพราะทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนโรดแมพของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งเชื่อว่าจะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นในปี 62 แน่นอน

      นายคงฤทธิ์ จันทริก ผู้อำนวยการบริหาร สรท. กล่าวว่า สรท.ปรับได้เป้าส่งออกปี 61 เป็นเติบโต 9% เนื่องจากการส่งออกในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-ก.ค.61) มีอัตราเติบโตที่ดีต่อเนื่อง ภายใต้ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องระมัดระวังหลายประการ ทั้งนี้ คาดว่าการส่งออกในช่วง 5 เดือนที่เหลือ (ส.ค.-ธ.ค.61) จะต้องมีมูลค่าเฉลี่ยเดือนละ 22,240 ล้านเหรียญสหรัฐ

      ด้านนายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธาน สรท. กล่าวว่า สรท.กำลังติดตามความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน หลังเกิดวิกฤตเศรษฐกิจในประเทศเวเนซูเอล่า และตุรกี เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการที่สหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีเหล็กและอลูมิเนียม โดยเบื้องต้นการส่งออกของไทยยังไม่ได้รับผลกระทบมากนัก แต่ในทางตรงกันข้ามกลับจะเป็นโอกาสให้ไทยสามารถส่งออกทดแทนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะเห็นความชัดเจนเรื่องผลกระทบจากสงครามการค้าไป

      "ถึงแม้เงินบาทจะอ่อนค่า แต่เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ แล้วบาทยังแข็งค่ากว่า" นายวิศิษฐ์ กล่าว

                              อินโฟเควสท์

ปลื้ม 7 เดือนส่งออกทะลุ 10% สรท.เล็งขยับเป้าเพิ่มขึ้น 9%

      ไทยโพสต์ : ลุมพินี * นางสาวกัณญภัค ตันติพิพัฒน์พงศ์ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย หรือ สรท. (สภาผู้ส่งออก) เปิดเผยว่า ภาพรวมสถานการณ์ส่งออกของไทยในเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา มีมูลค่ารวม 20,424 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 8.3% ขยายตัวต่อเนื่องในระดับสูงเป็นเดือนที่ 17 ขณะที่สถานการณ์การส่งออกในช่วง 7 เดือนแรก (ม.ค.-ก.ค.) ที่ผ่านมา มีมูลค่ารวม 146,235.6 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 10.6%

        "การส่งออกในช่วง 7 เดือน (ม.ค.-ก.ค.) ยังมีแนวโน้มขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่องตามพื้นฐานเศรษฐกิจของคู่ค้า ประกอบกับค่าเงินบาทเริ่มมีแนวโน้มอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้านี้ ซึ่งจะช่วยให้สินค้าไทยสามารถแข่งขันกับทั่วโลกได้มากยิ่งขึ้น" นางสาวกัณญภัค กล่าว

       สำหรับ การส่งออกในเดือน ก.ค. กลุ่มสินค้าเกษตรและอุตสาห กรรมเกษตรมีอัตราการขยายตัวได้ดีที่ 3.2% ขณะที่กลุ่มสินค้า อุตสาหกรรมยังคงขยายตัวได้ในระดับสูงอย่างเนื่องเป็นเดือนที่ 17 อยู่ที่ 7.7% อย่างไรก็ตาม สรท.ได้มีการปรับเป้าการส่งออกของไทยในปี 2561 นี้ จะมีอัตราการขยายได้ที่ 9% จากเดิมที่เคยคาดการณ์ไว้ที่กว่า 8% โดยมีเงื่อนไขในช่วงเวลาที่เหลือการส่งออกของไทยต้องมีค่าเฉลี่ยส่งออกต่อเดือนอยู่ที่ 22,240 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ.

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!