WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

MOCอดลย โชตนสากรณพาณิชย์ ชี้ส่งออกข้าว-ขายข้าวผ่านออนไลน์ต้องขึ้นทะเบียนเป็นผู้ส่งออก

    นายอดุลย์ โชตินิสากรณ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยถึงกรณีแมคนีน่า ฟาร์ม ซึ่งเป็นกลุ่ม Young Smart Farmer ซึ่งผลิตข้าวอินทรีย์ ได้ให้ข้อมูลว่า การส่งออกข้าวมีขั้นตอนยุ่งยาก และยังมีการกำหนดโควตาส่งออกข้าวว่า กรมการค้าต่างประเทศขอชี้แจงว่า การส่งออกข้าวไปขายยังตลาดต่างประเทศแต่ละครั้งไม่ว่ามากหรือน้อย เช่น 10-20 กิโลกรัม หรือส่งออกผ่านช่องทางการสั่งซื้อออนไลน์ จะต้องดำเนินการตามที่กฎหมายกำหนด โดยจะต้องขึ้นทะเบียนเป็นผู้ส่งออก ซึ่งมีขั้นตอนดำเนินการขออนุญาตไม่ยุ่งยาก ยกเว้นกรณีที่ส่งออกโดยมิใช่เพื่อการค้าที่มีปริมาณไม่เกิน 20 กิโลกรัม กำหนดให้ไม่ต้องขออนุญาตส่งออกได้

      ส่วนกรณีที่มีการระบุว่า มีการกำหนดโควตาส่งออกข้าวให้กับผู้ส่งออกรายใหญ่ นายอดุลย์กล่าวยืนยันว่า การส่งออกข้าวไปต่างประเทศ ไม่มีการกำหนดโควตาในการส่งออกแต่อย่างใด ผู้ส่งออกสามารถส่งออกข้าวไปขายได้ทุกประเทศทั่วโลก โดยไม่จำกัดชนิดและปริมาณ ยกเว้นการส่งออกข้าวไปยังสหภาพยุโรป (อียู) ที่มีการลดภาษีเป็นพิเศษ ซึ่งได้มีการกำหนดวิธีการในการจัดสรรโควตาให้แก่ผู้ประกอบการชัดเจน และในปี 2561 ก็ได้มีการนำโควตาข้าวอียูบางส่วนมาจัดสรรให้กับผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์ ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงให้กับชาวนาทั่วไปที่จับกลุ่มแปลงอินทรีย์ให้สามารถส่งออกข้าวไปยังอียูด้วย

       โดยกลุ่มชาวนาที่จะเป็นผู้ส่งออกสามารถจดทะเบียนเป็นผู้ส่งออกได้เช่นกัน และมีกลุ่มที่มีความเข็มแข็งได้มาขอขึ้นทะเบียนเป็นผู้ส่งออกข้าวแล้ว ซึ่งการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์ เป็นหนึ่งในแนวทางการขยายตลาดส่งออกให้กับเกษตรกรที่ผลิตข้าวที่มีคุณภาพตามที่รัฐบาลสนับสนุน ซึ่งมีเกษตรกรและกลุ่มชาวนาเข้าร่วมโครงการเป็นจำนวนมาก และช่วยให้เกษตรกรมีรายได้ที่ดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา หากกลุ่มแมคนีน่า ฟาร์ม ที่เป็นผู้ผลิตข้าวอินทรีย์ และได้รับการรับรองมาตรฐาน USDA หากสนใจ ก็สามารถเข้าร่วมโครงการได้

        ทั้งนี้ ขอแนะนำให้หาตลาดก่อนการผลิต ซึ่งเป็นแนวทางที่รัฐบาลสนับสนุนตามหลักตลาดนำการผลิต (Demand driven) โดยสามารถช่วยเชื่อมโยงตลาดให้ล่วงหน้า

                        อินโฟเควสท์

ส่งออกข้าวทะลัก 5 เดือน 4.2 ล้านตัน เล็งเจาะตลาดจีน

     ไทยโพสต์ : สีลม * สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยฟุ้งปี 61 ไทยส่งออกข้าวไม่ต่ำกว่า 10 ล้านตัน โชว์ 5 เดือนแรกได้ 4.2 ล้านตัน พร้อมนำร่องหนุน 8 จังหวัดปลูกข้าวพันธุ์พิษณุโลก 80, กข 21, กข 71 และกข 77 แจงตลาดจีนมีความต้องการสูง

      นายเจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เปิดเผยในงานสัมมนาครบรอบ 100 ปี สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยว่า ทิศทางการส่งออกข้าวในปี 2561 นี้ ไทยจะสามารถทำได้ตามเป้าหมาย 10 ล้านตัน โดยในช่วง 5 เดือนแรก ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-15 พ.ค.2561 ไทยส่งออกข้าวได้แล้ว 4.21 ล้านตัน เป็นอันดับสองรองจากอินเดียที่ส่งออกได้ 4.77 ล้านตัน

       ส่วนราคาข้าวในขณะนี้ ปรับตัวสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยเฉพาะข้าวหอมมะลิอยู่ที่ตันละ 1,250 เหรียญสหรัฐ ใกล้เคียงกับปี 2551 ที่ราคาส่งออกข้าวหอมมะลิเฉลี่ยตันละ 1,200 เหรียญสหรัฐ คิดเป็นราคาข้าวเปลือก 1.7-1.8 หมื่นบาท ใกล้เคียงกับราคาในช่วงที่มีโครงการรับจำนำข้าว เพราะความต้องการข้าวในตลาดโลกมีมาก ขณะที่ผลผลิตมีน้อยลง

      "มีแนวโน้มที่ราคาข้าวหอมมะลิไทยจะปรับขึ้นไปถึงตันละ 1,300 เหรียญสหรัฐ เป็นในช่วงสั้นๆ 2-3 เดือนนี้ ที่ตลาดต่างประเทศยังมีความต้องการสูง และผลผลิตน้อย เนื่องจากบางประเทศประสบภัยแล้ง ส่วนข้าวขาวก็ปรับตัวสูงขึ้นอยู่ที่ตันละ 430-435 เหรียญสหรัฐ ขณะที่ปัญหาต้นทุนราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น กระทบเพียงเล็กน้อย และเชื่อเป็นระยะสั้นเท่านั้น" นายเจริญกล่าว

      นายเจริญ กล่าวว่า สมาคมฯ มีแผนจะทำงานร่วมกับ กรมการค้าภายในจัดทำโครง การพลังประชารัฐพัฒนาข้าวไทย โดยเดือน มิ.ย.นี้จะลงพื้นที่สำรวจ 8 จังหวัดในภาคกลาง เช่น สุพรรณบุรี ราชบุรี นครปฐม เป็นต้น เพื่อนำร่องปลูกข้าวขาวพื้นนิ่ม เช่น พันธุ์พิษณุโลก 80, กข 21, กข 71 และ กข 77 เพราะเป็นข้าวที่ได้รับความนิยมในตลาดจีนปีละ 7-8 ล้านตัน แต่ไทยไม่เคยมีการปลูก ทำให้เวียดนามได้เปรียบส่งออกข้าวชนิดนี้ ไทยจึงควรเร่งพัฒนาพันธุ์ เพื่อขยายตลาดส่งออกข้าวไปยังกลุ่มข้าวพื้นนิ่มให้ได้เพิ่มขึ้น.

ข้าวหอมมะลิมาแรง ตลาดโลกต้องการดันราคาพุ่ง

      แนวหน้า : ร.ต.ท.เจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยเปิดเผยว่าราคาข้าว ขณะนี้ถือว่าปรับตัวสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยเฉพาะข้าวหอมมะลิขณะนี้อยู่ที่ตันละ 1,250 ดอลลาร์สหรัฐ สูงกว่าช่วงที่มีโครงการรับจำนำข้าว เพราะความต้องการข้าวในตลาดโลกยังมีสูงขณะที่ผลผลิตมีน้อย ขณะที่ข้าวขาวถือว่าปรับตัวสูงขึ้นอยู่ที่ตันละ 430-435 ดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากหลายประเทศมีการนำเข้าอย่างต่อเนื่อง เช่น อินโดนีเซียนำเข้า 2 ล้านตัน ขณะนี้นำเข้า ไปเพียง 1.5 ล้านตัน ส่วนฟิลิปปินส์ไทยเพิ่งชนะประมูลนำเข้าข้าว โดยประเมินว่าทิศทางราคาข้าวไทยจะดีต่อเนื่องจนถึงสิ้นปี เพราะผลผลิตมีน้อยและรัฐบาลมีการ ระบายข้าวในสต๊อกจนหมด คาดว่าการส่งออกข้าวปีนี้ไทยจะส่งออกได้ไม่ต่ำกว่า 10 ล้านตัน

      อย่างไรก็ตาม จากราคาข้าวไทยที่สูงขึ้น จึงอยากแนะเกษตรกรผู้ปลูกข้าวทั่วประเทศทุกพื้นที่จะต้องปรับตัวปลูกข้าวชนิดที่เป็นที่ต้องการของตลาดแทนการปลูกข้าวขาวทั่วไปที่ไทยมีคู่แข่งมากทั้งอินเดีย เวียดนาม โดยเฉพาะ เมียนมาที่มีข้าวหลายสายพันธุ์ เชื่อว่าการปลูกข้าวที่เป็นที่ต้องการตลาดจะทำให้ขายข้าวราคาสูงและยังส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้ดีด้วย เช่น การปลูกข้าวพื้นนิ่ม เช่น พันธุ์ กข.21

      โดยสมาคมจะร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกข้าวพันธุ์พื้นนิ่มและจะรับซื้อไปทำตลาดให้ทั้งหมด เบื้องต้น คาดว่า พื้นที่ภาคกลางจะเริ่มเพาะปลูกเดือนสิงหาคมนี้ ประมาณ 10,000 ตัน ข้าวเปลือกก่อนโดยราคาข้าวเปลือกนิ่มน่าจะอยู่ที่ตันละ 9,000 บาทขึ้นไป ขณะที่ราคาส่งออกน่าจะเกิน 500-600 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันขึ้นไป หลายประเทศเริ่มสนใจบริโภคข้าวนิ่มกันมากขึ้น โดยเฉพาะตลาดจีนและอีกหลายตลาด หากเกษตรกรหันมาปลูกข้าวนิ่มมากขึ้นน่าจะทำให้การทำตลาดข้าวนิ่มทดแทนข้าวแข็งได้ดีขึ้นเพิ่มมากขึ้นได้

     ส่วนปัญหาราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นขณะนี้ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวระบุว่ากระทบเพียงเล็กน้อยและยังไม่จำเป็นต้องปรับราคา เชื่อว่าจะเป็นระยะสั้นเท่านั้น แต่สิ่งที่น่ากังวล คือ ปัญหาค่าเงินบาทที่ไม่มีเสถียรภาพ เพราะค่าเงินเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่กระทบต่อการส่งออกข้าวของไทย ถ้าเงินบาทแข็งจะทำให้ราคาสูงขึ้น การแข่งขันยาก โดยขณะนี้ค่าเงินบาทอยู่ที่ 31.75 ต่อดอลลาร์สหรัฐ ปรับตัวดีขึ้น แต่อัตราที่เหมาะสมควรอยู่ที่ 33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ สำหรับการส่งออกข้าวตั้งแต่เดือนมกราคมถึง 15 พฤษภาคม 2561 ส่งออกได้ 4.21 ตัน เป็นอันดับ 2 รองจากอินเดียที่ 4.77 ล้านตัน และ คาดว่าปีนี้น่าจะส่งออกข้าวได้ไม่ต่ำกว่า 10 ล้านตัน

     ร.ต.ท.เจริญ กล่าวว่าปีนี้โดยเฉพาะวันที่ 9 พฤศจิกายน 2561 จะเป็นวัน ครบรอบ 100 ปี สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยจะมีการจัดกิจกรรมพิเศษเพื่อสร้างการมีส่วนร่วมและสร้างประโยชน์ต่อกลุ่มเกษตรชาวนา ประชาสังคม รวมไปถึงผู้ที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมข้าวไทย โดยได้จัดโครงการ "พลังประชารัฐพัฒนาข้าวไทย" ซึ่งเป็นการร่วมมือกับกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เพื่อเป็นการยกระดับความรู้ความสามารถของเกษตรกรด้านการตลาดร่วมกันบูรณาการในทุกมิติ นอกจากนี้ ยังมีการลงพื้นที่พบปะกับกลุ่มเกษตรกรใน 8 จังหวัดแหล่งผลิตข้าวที่สำคัญของไทยเพื่อส่งเสริมให้มีการผลิตให้ตรงความต้องการของตลาดโลก

สุดอั้น!ราคาข้าวหอมมะลิพุ่ง หงส์ทองคาดทะลุ 300 บาท/ถุง'พาณิชย์'สั่งฟันล้งโกงชาวสวน

     ไทยโพสต์ : ราชประสงค์ *'หงษ์ทอง'คาดราคาหน้าถุงข้าวหอมมะลิปีนี้ทะลุ 300 บาท เผยซัพพลายไม่พอบวกต้นทุนเพิ่ม บอร์ดแข่งขันสั่งจัดการล้งไทยต่างชาติ เอาเปรียบชาวสวนผลไม้

     นายวัลลภ มานะธัญญา ประธานกรรมการบริหาร บริษัท บางซื่อโรงสีไฟ ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายข้าวตรา ‘หงษ์ทอง’ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ของฝนที่ตกมาปริมาณมากเมื่อปี 2560 ที่ผ่านมา มีผลกระทบต่อการปลูกข้าวหอมมะลิของเกษตรกร ซึ่งแม้ไม่ได้ลด จำนวนพื้นที่การเพาะปลูก แต่ฝน ที่มากเกินไปไม่สามารถทำให้ปลูกข้าวหอมมะลิได้ จากปัจจัยดังกล่าว มีผลให้ราคาข้าวหอมมะลิปรับตัว ขึ้นต่อเนื่องทุกเดือน หรือหากเทียบ เดือน ม.ค.ปีนี้กับปีที่ผ่านมาสูงขึ้น 100%

      สำหรับ บริษัทได้ทำการเสนอเรื่องการปรับราคาข้าวถุงไปยังกรมการค้าภายในกระทรวงพาณิชย์ในช่วงที่ผ่านมาแล้ว โดยยื่นขอปรับราคาหน้าถุงของข้าวหอมมะลิขนาด 5 กิโลกรัมไปประ มาณ 290 บาท/ถุง เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ราคาขายอยู่ที่ 260 บาท/ถุง ส่วนตัวเชื่อว่าในปี 2561 นี้หลังมีโอกาสที่จะเห็นราคาข้าวหอมมะลิพุ่งสูงเป็นประวัติศาสตร์ 300 บาท/ถุงอย่างแน่นอน

       "ในช่วงที่ผ่านมาผู้ประกอบการพยายามประคับประคองไม่ให้ราคาขายปลีกสูงจนเกินไป แต่ต้องยอมรับว่าราคาต้นทุนปรับตัวสูงขึ้นมาระยะหนึ่งแล้ว เห็นจากราคาข้าว เปลือกหอมมะลิที่มีแนวโน้ม 18,000 บาทต่อเกวียน แม้ว่าเราจะขอปรับ ราคาหน้าถุงเป็น 290 บาท แต่ราคา ขายจริงของขนาด 5 กิโลกรัมจะอยู่ที่ประมาณ 250 บาท/ถุง นับว่าสูงกว่าเดิมที่จำหน่ายในราคา 220-230 บาท" นายวัลลภกล่าว

       ขณะที่แผนการลงทุนของบริษัทในช่วง 5 ปีนับจากนี้ เบื้องต้นน่าจะใช้เงินลงทุนปีละกว่า 100 ล้านบาท เพื่อยกระดับสายการผลิต ไปสู่ระบบอัตโนมัติมากยิ่งขึ้น ด้าน ยอดขายของปี 2561 ตั้งเป้าหมายว่าจะมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 10-15% จากปีที่ผ่านมา โดยแบ่งเป็นสัดส่วนการขาย (เชิงปริมาณ) ใน ประเทศ 55% และต่างประเทศ 45% ทั้งยังตั้งเป้ายอดขายเป็น 9,000-10,000 ล้านบาทในอีก 5 ปีข้างหน้า จากที่ผ่านมายอดอยู่ที่ 5,000 กว่าล้านบาทมาหลายปีแล้ว

       นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการเป็นประธานประชุมคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า เมื่อวันที่ 17 พ.ค.ที่ผ่าน มา ว่า ที่ประชุมได้มีมติให้ส่งหนังสือ แจ้งเตือนไปยังผู้ประกอบการที่คัด และบรรจุผลไม้ (ล้ง) บางราย ทั้ง คนไทยและต่างชาติ เพื่อให้หยุดพฤติกรรมที่เข้าข่ายผิดมาตรา 57 (2) ที่กำหนดห้ามไม่ให้ทำธุรกิจที่จะเกิดความเสียหายต่อผู้ประกอบธุรกิจรายอื่น โดยการใช้อำนาจตลาดหรืออำนาจต่อรองที่เหนือกว่าอย่างไม่เป็นธรรม หลังจากได้มีการตรวจสอบพบว่าล้งดังกล่าวมีพฤติกรรมที่กระทำผิดกฎหมายจริง จึงได้ขอให้ยุติการกระทำดังกล่าวทันที

       "ที่ผ่านมา ได้มีการลงพื้นที่ ส่งทีมงานไปตรวจสอบมาโดยตลอด และพบพฤติกรรมของล้งบางรายว่ามีการเอาเปรียบชาวสวนผลไม้ โดยใช้อำนาจเหนือตลาด เช่น ทำสัญญาที่ไม่เป็นธรรม ซื้อผลไม้ในราคาที่ไม่เป็นธรรม มีการกดราคารับซื้อ ซึ่งได้ตรวจสอบจนแน่ใจว่าทำจริง จึงได้ใช้อำนาจตามกฎหมายเข้าไปจัดการสั่งให้หยุดพฤติกรรมที่กระทำอยู่ เรียกได้ว่ากฎหมายฉบับใหม่นี้มีอิทธิฤทธิ์แล้ว ดีกว่าฉบับเก่าที่ต้องไปสืบสวนสอบสวนก่อน และใช้เวลานาน แต่กฎหมายใหม่ คณะกรรมการฯ ใช้อำนาจได้ทันที" นายสนธิรัตน์กล่าว.

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!