WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

MOC นนทวลย ศกนตนาคพาณิชย์ เตรียมจัดงาน THAIFEX-World of Food Asia 2018 ตั้งเป้าผู้เข้าชมเพิ่มจากปีก่อน 10%

    กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ร่วมกับ หอการค้าไทย และโคโลญเมสเซ่ ประเทศเยอรมนี เตรียมจัดงาน THAIFEX-World of Food Asia 2018 โดยดึงผู้ประกอบการอุตสาหกรรมอาหารมาร่วมออกงานกว่า 2,500 ราย จาก 40 ประเทศทั่วโลก เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ ขยายวันเจรจาธุรกิจ เพิ่มพื้นที่จัดงานกว่า 1 แสนตร.ม. ตั้งเป้าผู้เข้าชมงานเพิ่มขึ้น 10% มั่นใจไทยยังครองแชมป์ผู้จัดงานแสดงสินค้าอาหารและเครื่องดื่มนานาชาติที่ใหญ่และครบวงจรที่สุดในเอเชีย

    นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ในปี 2560 มีปริมาณการส่งออกอาหารสามารถทำรายได้ให้ประเทศมากกว่า 26 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 830 พันล้านบาท ก่อให้เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้น 10.75 ล้านคนในอุตสาหกรรมเกษตรและประมง ซึ่งสถานการณ์แข่งขันของอุตสาหกรรมอาหารในประเทศไทยนั้นจะเกี่ยวพันกับหลายปัจจัย อาทิ ทรัพยากรและวัตถุดิบการเกษตรที่มีคุณภาพสูง ได้รับการรับรองและเป็นสินค้าบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ไทย (GI) การมีบุคลากรในอุตสาหกรรมอาหารที่มีประสบการณ์ มีความรู้ความสามารถในระดับมาตรฐานนานาชาติ และปัจจัยสุดท้ายคือความสามารถในการกระจายสินค้าในปริมาณมากด้วยระบบการขนส่งที่มีนวัตกรรมทันสมัย พร้อมที่จะให้บริการได้กับทุกความต้องการของตลาด

      ปลัดกระทรวงะณิชย์ กล่าวว่า จุดแข็งของประเทศไทยคือความหลากหลายของประเภทอาหาร รวมไปถึงเครื่องปรุง และส่วนผสมต่างๆ สามารถนำมาผสมผสานกลายเป็นรสชาติของอาหารที่ได้มาตรฐาน มีความคิดสร้างสรรค์ และน่ารับประทาน โดยเมนูอาหารไทยมักจะได้รับการแนะนำว่าเป็นหนึ่งในรายการอาหารระดับโลกจากหน่วยงานที่มีชื่อเสียงต่างๆ โดยล่าสุด CNN ได้ให้การยกย่องเมนูส้มตำ (ลำดับที่ 46) เมนูต้มยำกุ้ง (ลำดับที่ 8) และแกงมัสมั่น (ลำดับที่ 1) เป็นต้น การนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้ปรับปรุงและพัฒนาคุณภาพมาตรฐานอาหารและเครื่องปรุง ทำให้อาหารมีรสชาติที่ดีขึ้น วิธีและขั้นตอนการผลิตที่ดีกว่า คุณภาพของอาหารมีเพิ่มมากขึ้น

      รวมไปถึงการให้บริการที่ดีขึ้น เหล่านี้ล้วนเป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าได้ให้ความสำคัญในเรื่องของความปลอดภัยของอาหาร ผลประโยชน์ที่ได้รับจากการนำโภชนาการมาใช้ ทั้งนี้ในตลาดโลกจะทราบดีว่า ผลิตภัณฑ์อาหาร แบรนด์ไทยนั้นมีความเข้มแข็ง และได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบอาหารไทย เมื่อเดินทางกลับภูมิลำเนาก็มักจะนำผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป กึ่งสำเร็จรูป รวมถึงเครื่องปรุง เพื่อนำไปประกอบอาหารไทยยังภูมิลำเนาของตนเองอีกด้วย และนั่นเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ภาครัฐต้องออกมาให้ตราสัญลักษณ์รับรองในคุณภาพของอาหารว่าผลิตภัณฑ์นั้นๆ มีมาตรฐาน มีรสชาติของอาหารไทยอย่างแท้จริง ภายใต้ตราสัญลักษณ์ "ไทย ซีเล็ค (Thai SELECT)" และตราสัญลักษณ์ "ไทยแลนด์ ทรัสต์ มาร์ค (Thailand Trust Mark)"

       นางจันทิรา ยิมเรวัต วิวัฒน์รัตน์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า งาน THAIFEX-World of Food Asia 2018 มุ่งเน้นการพัฒนาและส่งเสริมการค้าสินค้าและบริการอาหารไทยให้โด่งดังไกลไปทั่วโลก ซึ่งไม่เพียงแต่ประเทศไทยเท่านั้น หากแต่งานนี้ยังเป็นเวทีสำคัญของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมอาหารจากทุกประเทศทั่วโลกที่จะมีโอกาสได้พบปะเจรจาการค้า ในส่วนของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศนั้น เราดำเนินตามนโยบายกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยส่งออกสินค้าและบริการอาหารไทย โดยเร่งรัดการทำตลาดเชิงกลยุทธ์ ช่วยหาช่องทางเปิดตลาดใหม่ ควบคู่ไปกับการร่วมพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันสูง สามารถยกระดับผู้ประกอบการไปสู่ตลาดโลกอย่างมีประสิทธิภาพและเข้มแข็ง ซึ่งการจัดงาน THAIFEX - World of Food Asia ถือเป็นกลไกหนึ่งเพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว

      ขณะที่ด้านนายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า ความสำคัญของงาน THAIFEX-World of Food Asia 2018 คือการที่ผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs จะได้เรียนรู้รูปแบบธุรกิจ เทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่ๆ จากต่างประเทศที่มาร่วมจัดแสดงในงาน เพื่อนำไปต่อยอดและพัฒนาธุรกิจของตนได้ โดยปีนี้ตั้งเป้าว่าจะมีผู้ประกอบการเข้าร่วมงานกว่า 2,500 ราย จาก 40 ประเทศทั่วโลก แบ่งเป็นผู้ประกอบการต่างประเทศประมาณ 1,250 ราย และผู้ประกอบการไทย 1,250 ราย ในจำนวนนี้เป็นผู้ส่งออกที่เป็น SMEs ถึง 432 ราย และมีผู้ประกอบการรายใหม่อีก 200 ราย เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 23% สำหรับประมาณการผู้เข้าชมงาน คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 10% จากปีที่ผ่านมา

      ด้าน นายมาเธียส คุปเปอร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โคโลญเมสเซ่ จำกัด กล่าวว่า ผู้เข้าชมงาน THAIFEX-World of Food Asia 2018 จะมีโอกาสได้พบปะกับผู้ประกอบการจากนานาประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศในแถบอินโดจีน อาทิ กัมพูชา ลาว พม่า ฯลฯ ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศที่มีศักยภาพสูงมาก สำหรับงานในปีนี้ได้มีการขยายพื้นที่การจัดแสดงงานที่ใหญ่กว่าเดิมกว่า 14% ทำให้มีพื้นที่จัดงานรวมทั้งสิ้นกว่า 1 แสนตร.ม. และได้ขยายวันเจรจาธุรกิจจาก 3 วันเป็น 5 วัน เพื่อให้ผู้เข้าชมงานได้มีเวลาในการสร้างเครือข่ายและเปิดโอกาสใหม่ๆ ทางธุรกิจที่จะส่งผลให้อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มเติบโตมากยิ่งขึ้น โดยในวันสุดท้ายของงานจะเปิดให้ประชาชนทั่วไปได้เข้าชมงาน แม้จะเหลือเวลาอีก 3 เดือนกว่าจะถึงวันงาน แต่เราก็ได้รับทราบถึงยอดผู้ลงทะเบียนที่น่าประทับใจ และแสดงให้เห็นว่างานที่เกิดจากความร่วมมือของภาครัฐและเอกชนประสบผลสำเร็จอย่างดีเยี่ยม

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!