- Details
- Category: พาณิชย์
- Published: Wednesday, 07 February 2018 21:18
- Hits: 1190
สภาผู้ส่งออก กังวลบาทแข็ง-ขึ้นค่าแรง กดดันส่งออกไทยปี 61 โตได้แค่ 3.5% จากคาด 5.5%
สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) หรือ สภาผู้ส่งออก ยังยืนยันเป้าการส่งออกไทยปี 61 เติบโตได้ 5.5% แต่คาดการณ์ว่าผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาทและการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ อาจส่งผลให้สูญเสียรายได้จากการส่งออกประมาณ 5,000 ล้านเหรียญฯ (อัตราแลกเปลี่ยนที่ 33 บาท/ดอลลาร์) คิดเป็น 1.5% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด ซึ่งอาจทำให้การเติบโตของการส่งออกลดลงเหลือ 3.5%
นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธาน สรท. กล่าวว่า ความสามารถในการแข่งขันด้านการส่งออกกับประเทศเพื่อนบ้านเริ่มถดถอย หลังเผชิญปัญหาเงินบาทแข็งค่า ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจที่ไม่พึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ โดยเฉพาะภาคเกษตรที่ได้รับผลกระทบมากสุด โดยเงินบาทแข็งค่าไปแล้ว 11% และตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน เงินบาทแข็งค่าอีก 2.45% ซึ่งเมื่อเทียบกับประเทศคู่ค้าแล้วพบว่ามีเพียงค่าเงินของกลุ่มสหภาพยุโรป (อียู) อังกฤษ และมาเลเซียเท่านั้นที่แข็งค่ากว่าเงินบาท นอกนั้นค่าเงินอ่อนกว่าเงินบาททั้งสิ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อการแข่งขันทางการค้า ซึ่งผู้ประกอบการจะต้องหาแนวทางแก้ไข เช่น การเจรจากับคู่ค้าเรื่องการกำหนดค่าเงินที่จะใช้ชำระค่าสินค้า
สรท. จึงมีข้อเสนอแนะที่สำคัญสำหรับการแก้ไขปัญหาจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำและการแข็งค่าของเงินบาท ประกอบด้วย สรท.ขอเลื่อนการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำอออกไป 1 ปี เพื่อให้ผู้ประกอบการได้ไปรับปรุงประสิทธิภาพและเพิ่มทักษะแรงงานฝีมือขั้นสูง ขั้นกลาง ให้มีความเชี่ยวชาญในการเรียนรู้เครื่องจักรและเทคโนโลยีขั้นสูงจากต่างประเทศ, สรท.ขอขยายเวลามาตรการช่วยเหลือด้วยการลดหย่อนภาษี SME 1.15 เท่า จากให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.ไปจนถึงสิ้นปี ให้เพิ่มเติมออกไปเป็น 2 ปี จนถึง 31 ธ.ค. 63, ลดเงินสมทบที่ผู้ประกอบการส่งออกต้องจ่ายให้กับประกันสังคมจาก 5% เหลือ 1-3% ในช่วงค่าเงินบาทมีความผันผวน ประกอบกับผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำทั่วประเทศ 5-22 บาท ซึ่งคิดเป็นการเพิ่มขึ้นประมาณ 1.6-7.0%, รวมทั้งขยายเวลาการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลที่นำเข้าเครื่องจักรมาปรับปรุงและนำระบบดิจิทัลและอินเทอร์เน็ตมาช่วยในการจัดการธุรกิจ จกาเดิม 3 ปี เป็นเวลา 5 ปี
สำหรับ ผู้ประกอบการที่นำเข้าเครื่องจักร สำหรับส่งเสริมและปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต โดยเป็นการลงทุนในเครื่องจักรทุกประเภททั้งในประเทศและนำเข้าจากต่างประเทศ ขอให้นำมาหักค่าเสื่อมได้ 2 เท่า ของมูลค่าเครื่องจักรที่ลงทุน, ลดภาษีนำเข้า เครื่องจักรแขนกล (Robot) เหลือ 0-5% เป็นเวลา 1 ปี
นอกจากนี้ รัฐบาลควรสนับสุน SME ด้วยการจัดหาแหล่งเงินทุนสนับสนุนหรือแหล่งเงินทุนกู้ยืม Soft Loan โดยที่ไม่ต้องคืนเงินต้น ในช่วง Grace period ที่ยาวนานกว่าเงินกู้ปกติ เพื่อชดเชยในช่วงที่ปรับตัวกับค่าแรงและค่าเงินบาท, รัฐบาลต้องคุมต้นทุนการผลิตของผู้ประกอบการทั้ง Supply Chain เพื่อการส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ไม่ใช่เพียงคุมราคาสินค้าอุปโภคบริโภคในประเทศเท่านั้น และรัฐบาลต้องมีการวางแผนล่วงหน้าและจัดทำแผนระยะยาวในการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ โดยการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในอนาคต ควรปรับให้สอดคล้องกับทักษะของแรงงาน โดยต้องมีใบประกาศรับรองมาตรฐานฝีมือแรงงานหรือมาตรฐานคุณวุฒิวิชาชีพของแรงงานไทย เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม การส่งออกไทยยังมีปัจจัยเสี่ยงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เช่น เงินดอลลาร์สหรัฐที่ยังมีแนวโน้มอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เงินบาทยังมีทิศทางแข็งค่าขึ้น 2.มาตรการกีดกันทางการค้า และมาตรการตอบโต้ของประเทศคู่ค้าที่เข้มข้นมากขึ้น โดยเฉพาะนโยบาย American Frist 3.ต้นทุนการส่งออกที่เพิ่มสูงขึ้นจากปัญหาขาดแคลนแรงงาน ตลอดจนการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำทั่วประเทศในอัตรา 5-22 บาท/วัน ส่งผลให้ต้นทุนของผู้ผลิตในภาคการส่งออกเพิ่มสูงขึ้น และขีดความสามารถในการแข่งขันลดลง 4.ความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศคู่ค้าสำคัญ 5.ความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศ 6.ปัญหาสภาพอากาศที่รุนแรงกระทบต่อการชะงักงันในระบบโลจิสติกส์ และ 7.การเลื่อนการเลือกตั้งออกไป ส่งผลทางอ้อมต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ
ขณะที่ปัจจัยบวกที่ส่งผลต่อการส่งออกในปีนี้ ประกอบด้วย 1.การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกและประเทศคู่ค้าหลัก 2.การปรับตัวของสินค้าไทยไปสู่ Digitalization ตามความต้องการของตลาดโลก โดยเฉพาะกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ 3.ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้ราคาสินค้าเกษตรและสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมันมีราคาสูงขึ้นตาม
นายคงฤทธิ์ จันทริก ผู้อำนวยการบริหาร สรท. กล่าวว่า การส่งออกสินค้าสำคัญของปีนี้ ในกลุ่มเกษตรคาดว่า ข้าวจะขยายตัว 1%, ยางพารา ขยายตัว 5%, น้ำตาล ขยายตัว 9% ขณะที่มันสำปะหลัง ลดลง 5% ส่วนกลุ่มอาหาร อาหารทะเลแช่แข็งแปรรูป (ไม่รวมกุ้ง) และผักและผลไม้สด แช่แข็งและแปรรูป ขยายตัว 5-7%, ไก่สดแช่แข็งและแปรรูป ขยายตัว 2.5%, กุ้งสดแช่แข็งและแปรรูป ขยายตัว 5-7%
กลุ่มพลังงาน ผลิตภัณฑ์ยาง ขยายตัว 15%, เม็ดพลาสติก ขยายตัว 6-7%, เคมีภัณฑ์ ขยายตัว 8%, ผลิตภัณพ์พลาสติก ขยายตัว 6-7% กลุ่มยานพาหนะ ขยายตัว 6% และกลุ่มอื่นๆ อัญมณีและเครื่องประดับ ขยายตัว 5%, น้ำมันสำเร็จรูป ขยายตัว 9%, สิ่งทอ ขยายตัว 4%, วัสดุก่อสร้าง ขยายตัว 3%
ด้านนายชัยชาญ เจริญสุข เลขาธิการ สรท. กล่าวว่า สรท. จะมีการประเมินสถานการณ์อีกครั้งหลังไตรมาสที่ 2/61 จึงจะเห็นชัดเจนมากขึ้นว่าทั้ง 2 ปัจจัยส่งผลกระทบมากน้อยเพียงใด
อินโฟเควสท์
หวั่นส่งออกสะดุด ส่อโตแค่ 3.5%พิษบาทแข็ง-ค่าแรงขึ้น
แนวหน้า : นางสาวกัณญภัค ตันติพิพัฒน์พงศ์ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เปิดเผยว่า ในปี 2561 ทาง สรท.ยังคงยืนยันเป้าหมายการส่งออกที่ระดับ 5.5% อย่างไรก็ตาม ยังกังวลปัจจัยเสี่ยงจากการแข็งค่า เงินบาท และการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ อาจส่งผลให้สูญเสียรายได้จากการ ส่งออกประมาณ 5,000 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็น 1.5% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด ซึ่งอาจทำให้อัตราการเติบโตของการส่งออกลดลงเหลือ 3.5% ได้
ส่วนภาพรวมค่าเงินบาทในช่วง ที่ผ่านมายังคงมีอัตราแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง โดยในปัจจุบันค่าเงินบาทอยู่ที่ 31.43 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าขึ้นมา 2.85% หรือแข็งค่ากว่า 11% เมื่อเทียบ ช่วงเดียวกันของปีก่อน และเมื่อเปรียบเทียบกับค่าเงินของคู่ค่าและ คู่แข่งทางการค้าสำคัญของไทย ขณะที่ ค่าเงินสกุลเอเชียส่วนใหญ่แข็งค่าไป ในทิศทางเดียวกันกับภูมิภาค
นางสาวกัณญภัคกล่าวว่า สำหรับ สถานการณ์การส่งออกในเดือนธันวาคม 2560 ที่ผ่านมา พบว่า มีมูลค่ารวม 19,741 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 8.6% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน การส่งออกในรูปแบบเงินบาทเท่ากับ 642,583 ล้านบาท ขยายตัว 0.4% เมื่อเทียบกับช่วงเวลา เดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้การส่งออก ทั้งปี 2560 มีมูลค่า 236,694 ล้านเหรียญ สหรัฐ เติบโต 9.9% เมื่อเทียบกับ ช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งสูงสุด ในรอบ 6 ปี ส่วนในรูปแบบเงินบาท มีการส่งออกทั้งปีโดยมีมูลค่า 8,008,374 ล้านบาท เติบโต 6.1% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
ด้านนายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือ แห่งประเทศไทย (สรท.) กล่าวว่า ทาง สรท. มีข้อเสนอแนะที่สำคัญสำหรับการแก้ไขปัญหาจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำและการแข็งค่าของเงินบาท จึงขอเลื่อนการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ออกไป 1 ปี เพื่อให้ผู้ประกอบการ ได้ไปปรับปรุงประสิทธิภาพและเพิ่มทักษะแรงงานฝีมือขั้นสูง ขั้นกลาง ให้มีความเชี่ยวชาญในการเรียนรู้เครื่องจักรและเทคโนโลยีขั้นสูงจากต่างประเทศ และขอขยายเวลามาตรการช่วยเหลือด้วยการลดหย่อนภาษี SME 1.15 เท่า จากให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน ไปจนถึงสิ้นปี ให้เพิ่มเติม ออกไปเป็น 2 ปี จนถึง 31 ธันวาคม 2563 พร้อมขอให้ลดเงินสมทบที่ ผู้ประกอบการส่งออกต้องจ่ายให้กับประกันสังคมจาก 5% เหลือ 1-3% ในช่วงค่าเงินบาทมีความผันผวน และช่วยด้านอื่นๆ
"มองว่า ความสามารถในการแข่งขันด้านการส่งออกกับประเทศเพื่อนบ้านเริ่มถดถอย หลังเผชิญปัญหา เงินบาทแข็งค่า โดยเงินบาทแข็งค่าไปแล้ว 11% และตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันและคาดว่าเงินบาทแข็งค่าอีก 2.45% เมื่อเทียบกับประเทศคู่ค้าแล้วพบว่ามีเพียงค่าเงินของกลุ่มสหภาพยุโรป อังกฤษ และมาเลเซียเท่านั้น ที่แข็งค่ากว่าเงินบาท" นายวิศิษฐ์ กล่าว