WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

MOCอรมน ทรพยทวธรรมกรมเจรจาฯ เร่งกระชับความสัมพันธ์อียู หวังกระตุ้นการค้าทะลุ 4.01 หมื่นล้านดอลล์

   กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ขานรับนโยบายหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจถือฤกษ์ดีอียูรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับไทยในทุกระดับเดินหน้าเร่งกระชับความสัมพันธ์อียูรายประเทศ ฝรั่งเศส-อังกฤษติดโผประเทศเนื้อหอม หวังกระตุ้นการค้าทะลุ 4.01 หมื่นล้านดออล์ ที่เคยทำได้ในปี 59

     นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม รองอธิบดี รักษาราชการอธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศเปิดเผยว่า ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ได้มอบนโยบายให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการสร้างสัมพันธ์กับประเทศคู่ค้าในลักษณะหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจ (strategic economic partnership) นั้น กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศได้หารือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เช่น กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ผู้แทนคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย เป็นต้นเมื่อกลางเดือนมกราคมที่ผ่านมา เพื่อระดมความเห็นเรื่องการสานสัมพันธ์และยกระดับความสัมพันธ์หุ้นส่วนยุทธศาสตร์กับประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปภายหลังจากที่สหภาพยุโรปหรืออียูมีข้อมติเมื่อเดือนธันวาคม 2560 ให้รื้อฟื้นความสัมพันธ์กับไทยในทุกระดับ

     นางอรมน กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ประชุมเห็นพ้องกันว่าประเทศสมาชิกอียูต่างก็มีความสำคัญและเป็นพันธมิตรที่ดีกับไทยมาช้านาน  จึงเป็นเรื่องดีที่ไทยจะเร่งกระชับความสัมพันธ์กับประเทศสมาชิกอียูอย่างใกล้ชิดและสม่ำเสมอมากขึ้น โดยฝรั่งเศสและอังกฤษติดโผประเทศเนื้อหอม เนื่องจากในปัจจุบัน ไทยและประเทศเหล่านี้มีเวทีพบหารือและร่วมมือกันเป็นประจำอยู่ โดยฝรั่งเศสมีความร่วมมือระหว่าง กกร. กับสภาองค์กรนายจ้างฝรั่งเศส (MEDEF) ทั้งสองประเทศต่างแลกเปลี่ยนลงทุนระหว่างกัน มีการจัดประชุม Thailand-France Business Forum และการประชุมเจ้าหน้าที่ระดับสูงด้านเศรษฐกิจ (High Level Economic Dialogue: HLED) เป็นประจำทุกปี

    ส่วนสหราชอาณาจักรก็มีการประชุมสภาผู้นำนักธุรกิจไทย-สหราชอาณาจักร (Thai-UK Business Leadership Council: TUBLC) และเนื่องจากสหราชอาณาจักรอยู่ระหว่างเจรจาเพื่อออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป (Brexit) จึงจำเป็นต้องติดตามพัฒนาการนี้อย่างใกล้ชิดและเจรจาเพื่อรักษาสิทธิประโยชน์ทางการค้าของไทยให้มากที่สุด ซึ่งขณะนี้ กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศก็ติดตามความคืบหน้าการเจรจาระหว่างสหราชอาณาจักรกับอียูอย่างใกล้ชิดผ่านทางคณะผู้แทนอียู ผู้แทนสถานเอกอัครราชทูตอังกฤษในไทย และสำนักงานผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การการค้าโลกและองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก ณ นครเจนีวา อย่างไรก็ดี อาจต้องรอให้การเจรจาระหว่างสหราชอาณาจักรกับอียูมีความชัดเจนมากขึ้นกว่านี้ จึงจะเห็นภาพชัดเจนว่าไทยจำเป็นต้องเจรจาจัดทำ FTA กับสหราชอาณาจักรหรือไม่ ครอบคลุมเนื้อหาแค่ไหนอย่างไร

      ขณะเดียวกัน ประเทศสมาชิกอื่นในอียู ไม่ว่าจะเป็น เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ เบลเยียม และอิตาลี เป็นต้น ก็มีความสำคัญและเป็นประเทศเป้าหมายที่ไทยต้องกระชับความสัมพันธ์อย่างแข็งขันเช่นกัน โดยประเทศเหล่านี้ เป็นประเทศที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่จะช่วยสนับสนุนนโยบายไทยแลนด์ 4.0 และเชิญชวนลงทุนในเขตระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) อีกทั้งประเทศไทยเองก็มีแผนนำนักธุรกิจไปเยือนและมีการลงทุนในประเทศเหล่านี้มากขึ้น ดังนั้น แม้การเจรจา FTA ระหว่างไทยกับอียูหยุดชะงักและยังไม่สามารถสานต่อในช่วงนี้ได้ แต่ไทยก็สามารถยกระดับความสัมพันธ์โดยการเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจกับรายสมาชิกอียูได้

       ปัจจุบัน อียูเป็นคู่ค้าที่สำคัญของไทย โดยเป็นคู่ค้าอันดับ 4 และนักลงทุนอันดับ 2 ของไทย ในปี 2559 มีมูลค่าการค้ารวมกว่า 40,133 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยไทยส่งออกไปอียูมูลค่า 22,044 ล้านเหรียญสหรัฐ และนำเข้าจากอียูมูลค่า 18,089 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2560 ณ เดือนตุลาคม การค้าระหว่างกันมีการขยายตัวถึง 9.60% การส่งออกของไทยขยายตัวกว่า 8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันเมื่อปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ ประเทศสมาชิกอียูที่มีสัดส่วนมูลค่าการค้ากับไทยสูงที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ เยอรมนี อังกฤษ เนเธอร์แลนด์ ฝรั่งเศส และอิตาลี ในส่วนการลงทุน ในปี 2559 อียูมีการลงทุนในไทย 6,731 ล้านเหรียญสหรัฐ และในปี 2560 ณ เดือนกันยายน ประเทศสมาชิกอียูที่ขอยื่นโครงการเพื่อขอรับการส่งเสริมการลงทุนในไทยสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ อังกฤษ ออสเตรีย และสวีเดน

สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย

 

กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เผยพันธกรณีใน WTO และอาเซียนตั้งเป้าลดต้นทุนธุรกรรมทางการค้าลง10% ภายใน ปี 63

       นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม รองอธิบดี รักษาราชการอธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศเปิดเผยว่า สืบเนื่องจากที่ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ลงนามคำสั่งแต่งตั้ง คณะอนุกรรมการด้านการอำนวยความสะดวกทางการค้าภายใต้คณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (กนศ.) เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2560 เพื่อทำหน้าที่เป็นคณะกรรมการแห่งชาติของไทยด้านการอำนวยความสะดวกทางการค้า (National Committee on Trade Facilitation หรือ NCTF) โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) เป็นประธาน ประกอบด้วยผู้แทนหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย เป็นต้น

     เพื่อกำกับดูแลการปฏิบัติตามพันธกรณีความตกลงว่าด้วยการอำนวยความสะดวกทางการค้าของ WTO และของอาเซียนของไทย รวมทั้งเสนอนโยบายและมาตรการด้านการอำนวยความสะดวกทางการค้า เพื่อลดความซับซ้อนและปรับปรุงกระบวนการส่งออก/นำเข้าที่เป็นอุปสรรคต่อการค้านั้น ล่าสุด เมื่อวันที่19 มกราคม 2561 รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ในฐานะประธาน NCTF ได้ลงนามในคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อติดตามการดำเนินงานของหน่วยงานต่างๆ ของไทยด้านการอำนวยความสะดวกทางการค้าแล้ว โดยมีปลัดกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศเป็นเลขานุการ และมีผู้แทนจากกรมศุลกากร สำนักงานคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กรมโรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น ร่วมเป็นคณะทำงาน

      ทั้งนี้ ความตกลงว่าด้วยการอำนวยความสะดวกทางการค้าของ WTO มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2560 ซึ่งไทยมีพันธกรณีที่จะต้องปรับมาตรการทางการค้าต่าง ๆ ให้อำนวยความสะดวกทางการค้ามากขึ้น โดยมาตรการที่สามารถดำเนินการได้ทันทีในวันที่ความตกลงมีผลบังคับใช้ เช่น การเปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมีช่องทางในการแสดงความเห็น การสร้างวินัยในการจัดเก็บค่าธรรมเนียมพิธีการทางศุลกากร การส่งเสริมให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เครื่องมือทางอิเล็กทรอนิกส์ในพิธีการนำเข้า/ส่งออกและผ่านแดน และการมีมาตรการส่งเสริมความรวดเร็วในกระบวนการตรวจปล่อยสินค้า ส่วนมาตรการที่ไทยขอระยะเวลาการปรับตัว 2 ปี เช่น การจัดทำระบบตรวจปล่อยสินค้าล่วงหน้าผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ และมาตรการที่ไทยขอระยะเวลาปรับตัว 7 ปี เช่น การมีกระบวนการทดสอบที่จะเปิดโอกาสให้มีการขอทดสอบครั้งที่สอง ดังนั้น คณะทำงานฯ ที่ตั้งขึ้นนี้จะทำหน้าที่ติดตามการดำเนินการเตรียมปรับตัวของหน่วยงานไทยว่าเป็นไปตามกำหนดหรือไม่ หรือมีปัญหาหรืออุปสรรคอย่างไร

       นอกจากไทยจะมีข้อผูกพันด้านการอำนวยความสะดวกทางการค้าในกรอบ WTO แล้ว ยังมีข้อผูกพันในกรอบอาเซียน โดยคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน เมื่อปลายปี 2560 ได้ให้ความเห็นชอบ “แผนปฏิบัติการเชิงยุทธศาสตร์ด้านการอำนวยความสะดวกทางการค้าของอาเซียน” ช่วงปี 2560-2568 มีเป้าหมาย คือ (1) ลดต้นทุนธุรกรรมทางการค้าภายในภูมิภาคลงร้อยละ 10 ภายในปี 2563 (2) เพิ่มการค้าภายในภูมิภาคเป็น 2 เท่าภายในปี 2568 และ (3) ให้ผลการจัดอันดับขีดความสามารถในระดับโลกดีขึ้น ดังนั้น เพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว อาเซียนได้ร่วมกันกำหนดมาตรการเชิงยุทธศาสตร์ต่างๆ เช่น เร่งดำเนินการตามความตกลงว่าด้วยการอำนวยความสะดวกทางการค้าของ WTO พัฒนาระบบการเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียวของอาเซียน (ASEAN Single Window) พัฒนาและะเชื่อมโยงระบบคลังข้อมูลการค้าอาเซียนให้สมบูรณ์ พัฒนาระบบศุลกากรผ่านแดนอาเซียน โดยนำระบบคอมพิวเตอร์มาใช้กับการดำเนินพิธีการศุลกากรผ่านแดนอาเซียน ไม่ใช้บุคคลในการดำเนินการด้านเอกสาร และเร่งสรุปการเจรจาจัดทำระบบการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเอง (Self-Certification) ให้เป็นระบบเดียวกันของอาเซียนให้เสร็จสิ้นภายในปี 2561 เป็นต้น ซึ่งขณะนี้ อาเซียนรวมถึงไทยอยู่ระหว่างจัดลำดับความสำคัญของการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการดังกล่าว เพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามที่กำหนดไว้

       การดำเนินการของหน่วยงานต่าง ๆ ของไทยมีความคืบหน้าไปแล้วหลายส่วน เช่น (1) โครงการนำร่องระบบการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเอง (Self-Certification) ของอาเซียน โครงการที่ 1 (ระหว่าง 6 ประเทศสมาชิก ได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย กัมพูชา บรูไน เมียนมาร์ ไทย) และโครงการที่ 2 (ระหว่าง 5 ประเทศสมาชิก ได้แก่ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ลาว เวียดนาม และไทย)  (2) การใช้หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Form D) ระหว่างอาเซียน 4 ประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ และเวียดนาม ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2561 ซึ่งดำเนินการโดยกรมศุลกากรและกรมการค้าต่างประเทศ และ (3) การปรับปรุงคลังข้อมูลทางการค้าระดับประเทศ (NTR) ของไทย (www.thailandntr.com) โดยรวบรวมมาตรการที่มิใช่ภาษี (NTMs) จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อปรับปรุงข้อมูลในระบบอย่างต่อเนื่อง ซึ่งดำเนินการโดยกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เป็นต้น ซึ่งกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศในฐานะเลขานุการคณะทำงานติดตามการดำเนินการของไทยด้านการอำนวยความสะดวกทางการค้า จะติดตามการดำเนินงานของหน่วยงานต่าง ๆ ของไทย เพื่อให้มั่นใจว่าจะสามารถปฏิบัติตามข้อผูกพันได้ภายในกรอบเวลาที่กำหนดไว้ และช่วยให้ผู้ประกอบการลดต้นทุนการทำธุรกรรมทางการค้าลงได้ตามเป้าหมาย

สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!