WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือฯ เผย ส่งออก ก.ค. 57 ลดลง 0.85% ขณะ7เดือนลดลง 0.42% ประเมินส่งออกปีนี้อาจต่ำกว่า 1%

    นายนพพร เทพสิทธา ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย หรือ สรท. เปิดเผยว่า การส่งออกไทยเดือน ก.ค. 2557 มีมูลค่า 18,896 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงร้อยละ 0.85 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ส่งผลให้ภาพรวมการส่งออกช่วง 7 เดือนแรก (ม.ค. - ก.ค.) มีมูลค่า 131,601 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 0.42 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ มูลค่าการส่งออก เดือน ก.ค. ในรูปเงินบาท มีมูลค่า 608,640 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 4.2 ช่วง 7 เดือนแรกมีมูลค่า 4.243 พันล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 8.4 โดยสินค้าส่งออกสำคัญที่มีการปรับตัวลดลง อาทิ เครื่องปรับอากาศยางพารา และผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง จากความต้องการของตลาดโลกชะลอตัวลงและปัจจัยราคายางตกต่ำ ส่วนสินค้าที่มีแนวโน้มขยายตัวดีอย่างต่อเนื่อง อาทิ ยานพาหนะ ข้าว ไก่สดแช่แข็งและแปรรูป

     ทั้งนี้ พบว่า ตลาดส่งออกไปยังจีน อาเซียน และทวีปออสเตรเลีย ชะลอตัว ขณะที่ตลาดส่งออกไปยังสหรัฐฯ สหภาพยุโรป สหภาพยุโรปและญี่ปุ่น เริ่มฟื้นตัวดีขึ้น โดยการส่งออกไปยังญี่ปุ่น เริ่มฟื้นหลังจากติดลบไปถึง 3 เดือน เนื่องจากเริ่มปรับตัวกับภาษีได้แล้ว และคาดว่าตลาดญี่ปุ่นจะกลับมาเติบโตอีกครั้งในเดือนพฤศจิกายน ขณะที่การส่งออกไปยังตลาด CLMV ยังขยายตัวดี ถึงร้อยละ 9.3

     ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่จะกระทบต่อสถานการณ์ส่งออกของไทยจากนี้ คือ ความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจและการเงินระหว่างประเทศ สถานการณ์ด้านการเมืองระหว่างประเทศ และภัยสงคราม สถานการณ์การระบาดของอีโบลา ที่ส่งผลต่อการเดินทางเจรจาธุรกิจระหว่างประเทศอิทธิพลของจีน และความสามารถในการแข่งขันของไทยในอาเซียนและความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน สภาพอากาศและภัยธรรมชาติ รวมถึงสงครามของโลกไซเบอร์ ซึ่งอาจจะส่งผลต่อการส่งออก และส่งผลทำให้การคาดการณ์ในการเติบโตการส่งออกในปีนี้ที่ร้อยละ 1-1.6 อาจมีโอกาสต่ำกว่าร้อยละ 1 ได้ ถ้าหากการส่งออกในช่วงระยะเวลาที่เหลือจากนี้เฉลี่ยแล้วติดลบ

   อย่างไรก็ตาม สภาผู้ส่งออก มองว่าเศรษฐกิจโลกในช่วงไตรมาสที่ 3 และ 4 จะเป็นบวกมากกว่าไตรมาสที่ 1 และ 2 ดังนั้นจึงต้องรอดูตัวเลขการส่งออกในช่วงไตรมาสที่ 3 ก่อนที่จะทำการแถลงปรับคาดการณ์การส่งออกอีกครั้ง

    นอกจากนี้ นายนพพร เปิดเผยว่า เอกชน มองว่า รัฐบาลและคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ที่ประกอบด้วย ทหาร และพลเรือน ถือเป็นข้อดี โดยเฉพาะเรื่องของความรวดเร็วด้านการดำเนินงาน ซึ่งเชื่อว่า รัฐบาลชุดใหม่จะมีการบูรณาการร่วมกันนับเป็นจุดแข็งและมีวิสัยทัศน์ความเป็นผู้นำที่จะดำเนินการตามยุทธศาสตร์ที่วางไว้ โดยเฉพาะผู้ดูแลกระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงคมนาคม ซึ่งหวังว่า บุคคลที่ดูแลอยู่จะเข้าใจถึงยุทธศาสตร์ และสามารถทำสงครามเศรษฐกิจ โดยมีแผนการดำเนินงานทั้งระยะสั้น ระยะยาว และเป้าหมายที่ชัดเจน ซึ่งในระยะเวลา 1 ปีต่อจากนี้ เอกชนหวังว่าจะเห็นถึงเป้าหมายที่ชัดเจนไม่ใช่เพียงแค่ด้านนโยบาย อาทิ ในการแก้ไขปัญหาภาคใต้ การเร่งเจรจาการค้า FTA การดำเนินการโครงสร้างพื้นฐานทางคมนาคม เพื่อก่อให้เกิดการลงทุน และความเชื่อมั่นที่ชัดเจนมากขึ้น พร้อมเสนอว่า ทางรัฐบาลควรเร่งดำเนินการข้อตกลงทางการค้า กระตุ้นการส่งออก การพัฒนาบุคลากรและการศึกษา

สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!